(Minghui.org) ครูที่คนนับถือซึ่งได้คะแนนประเมินการสอนสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยลังเลที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ถูกบังคับให้ออกจากงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต้องย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประทุษร้ายเนื่องจากความเชื่อมั่นในฝ่าหลุนกงซึ่งสอนให้ยกระดับจิตใจ แต่ถูกประทุษร้ายในประเทศจีนตั้งแต่ปี 1999

ในช่วง 22 ปีของการประทุษร้ายที่ผ่านมา โจว ชิง ถูกจำคุกอย่างผิดกฎหมายเป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน และถูกบังคับให้ย้ายที่อยู่และเปลี่ยนงานอย่างน้อย 3 ครั้ง

ขณะนี้โจวและภรรยาของเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกฝ่าหลุนกงเช่นกัน กำลังอยู่ระหว่างซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมอีก ตำรวจรังควานสมาชิกในครอบครัวของคู่นี้เพื่อพยายามค้นหาที่อยู่ ของพวกเขา

โจวเคยอยู่ที่เมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว ก่อนที่เขาจะซ่อนตัว ในเดือนมิถุนายน 2021 เจ้าหน้าที่ 3 คน จากเมืองกุ้ยหยางไปที่บ้านเกิดของเขาในตำบลหลัวเตี้ยน เมืองจิงซาน มณฑลหูเป่ย์ เพื่อตามล่าเขา พวกเขาเริ่มจากสอบปากคำแม่ของโจวซึ่งอยู่ในวัย 80 ปีเศษ แต่เธอปฏิเสธที่จะเปิดเผยที่อยู่ของลูกชาย ตำรวจจึงไปที่ตำบลซินชื่อ ซึ่งอยู่ในเมืองเดียวกันเพื่อข่มขู่ลูกชายและพ่อตาของโจว

ลูกชายของเขาล้มป่วยด้วยวัณโรคกระดูกและยังคงอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการผ่าตัดใหญ่ ตำรวจบังคับให้ทั้งชายหนุ่มและตาของเขามอบโทรศัพท์มือถือให้ และตำรวจใช้เวลาตรวจสอบหลายชั่วโมงก่อนที่จะคืนให้ ตำรวจยังบังคับหลานชายและตาให้พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อบันทึกการสอบสวนด้วย

หลังจากที่ตำรวจออกไปที่เวลา 22.00 น. พ่อตาของโจวก็นอนไม่หลับทั้งคืน เขาล้มในวันรุ่งขึ้นและจบลงด้วยการนั่งรถเข็น ทว่าตำรวจกุ้ยหยางยังคงโทรรังควานเขาและหลานชายอย่างต่อเนื่อง

เป็นที่นับถือของนักเรียนและเพื่อนร่วมงาน

ตอนที่โจวเป็นครูสอนฟิสิกส์ที่โรงเรียนมัธยม Jingshan City First High School การสอนของเขาดีขึ้นมากหลังจากที่เขาฝึกฝ่าหลุนกงในฤดูร้อนปี 1996 เขาทำเครื่องหมายในการบ้านของนักเรียนอย่างเอาใจใส่ อธิบายปัญหา และเขียนคำให้กำลังใจ เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษาหนึ่ง นักเรียนในชั้นเรียนที่เขาสอนห้องหนึ่งมีทั้งหมด 76 คน ทุกคนให้คะแนนประเมินการสอนเขาที่ระดับดีที่สุดคือ A

โจวเคยทุกข์ทรมานจากอาการไอเรื้อรังและมีเสมหะข้นเหนียว ปัญหานี้หายไปหลังจากที่เขาเริ่มฝึกฝ่าหลุนกง สุขภาพโดยรวม บุคลิกภาพ อารมณ์ และจรรยาบรรณในการทำงานของเขาดีขึ้น นักเรียนและเพื่อนร่วมงานต่างก็นับถือเขา

วันหนึ่งครูคนหนึ่งโทรมาลาป่วย ครูทุกคนไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ยกเว้นโจวที่อยู่สอนแทนในชั้นเรียนของครูที่ป่วย เมื่อทางโรงเรียนแจ้งเขาว่าเขาจะได้รับค่าสอนและหักเงินเดือนของครูที่ป่วย เขาปฏิเสธที่จะรับเงิน

ไม่กี่วันต่อมา ผู้ดูแลที่โรงเรียนยังคงจ่ายค่าตอบแทนให้เขาพร้อมกับโบนัสเพิ่มเติม เขาคืนโบนัสและบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะรับรางวัลจากการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ผู้ดูแลบอกเขาว่าโรงเรียนต้องการครูแบบเขามากกว่านี้ และ “รางวัลคือการให้กำลังใจผู้ที่มีจิตใจเช่นนี้” ไม่กี่วันต่อมาโรงเรียนประกาศการทำความดีของเขาให้กับทั้งโรงเรียนทราบ และสรรเสริญเขาว่า “ไม่แสวงหาเงินและชื่อเสียง”

ถูกจองจำในโรงเรียนและครอบครัวถูกกันอยู่นอกบ้าน

เมื่อการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม 1999 ลูกชายของโจวเพิ่งอายุได้ 1 ปี ลูกน้อยของเขาเติบโตขึ้นมาโดยขาดพ่ออยู่ใกล้ ๆ เพราะพ่อถูกจองจำหลายครั้ง และถูกบังคับให้อยู่ห่างจากบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม

เมื่อผู้อำนวยการสำนักการศึกษาท้องถิ่นไปเยี่ยมโรงเรียนของโจวในปี 2000 และรู้ว่าโจวยังฝึกฝ่าหลุนกงอยู่ เขาสมคบคิดกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน และขังโจวไว้ในโรงเรียน

ในช่วงเวลานั้น โรงเรียนทำการสำรวจผลการปฏิบัติงานของครู และผู้ปกครองจำนวนมากเรียกร้องให้โจวกลับมาสอนต่อ หนึ่งในพ่อแม่แน่วแน่เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะคะแนนวิชาฟิสิกส์ของลูกสาวเธอเพิ่มจาก 39 เป็น 123 ด้วยการสอนของโจว หวง เสี่ยวซิ่ว ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ตะโกนใส่ผู้ปกครองคนนี้ในห้องทำงานของเขา และอ้างสิทธิ์ว่าเป็นหน้าที่ของเขาในการจัดการกับครู

โจวสอนพิเศษให้นักเรียนบ่อย ๆ โดยไม่คิดเงิน ในขณะที่ครูอื่น ๆ หลายคนคิดค่าตอบแทนสำหรับการช่วยเหลือพิเศษนอกเวลาเรียน นักเรียนคนหนึ่งบอกว่า “โจวเป็นครูที่ฉันชื่นชอบที่สุด ครูที่ดีแบบนี้โดนกักขัง ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ”

เนื่องจากการเรียกร้องอย่างแข็งขันของนักเรียนของเขาและพ่อแม่เด็ก ๆ โจวได้รับการปล่อยตัวใน 1 เดือนต่อมา

อาจารย์ใหญ่ไม่ยอมแพ้และยังคงรังควานโจวและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เขายุยงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตึกให้พาเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจซินชื่อเข้ามา และจับกุมโจวในวันที่ 10 กรกฎาคม 2000 คราวนี้โจวถูกขังอยู่ในศูนย์กักกันเป็นเวลา 16 เดือน แม้จะมีการประท้วงที่แข็งขันของนักเรียนและพ่อแม่ เขาถูกทุบตีอย่างป่าเถื่อนในขณะที่ถูกกักขัง

เมื่อนักเรียนร่วมกันเขียนจดหมายเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวครูอันเป็นที่รักของพวกเขา โรงเรียนและสำนักงานการศึกษาก็แพร่ข่าวลือว่าโจวยุยงให้นักเรียนของเขาก่อการกบฏต่อรัฐบาล

ขณะที่โจวถูกกักขัง เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน 610 ในพื้นที่ได้ระงับการจ่ายเงินเดือนให้เขา เพื่อตัดแหล่งการเงินเพียงแหล่งเดียวของครอบครัวของเขา อาจารย์ใหญ่ทำเรื่องให้แย่ลงอีกโดยการไม่ให้เขากลับไปทำงานเมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในเดือนพฤศจิกายน 2001

ต่อมาอาจารย์ใหญ่ใช้แรงงานของโจวมากเกินไปโดยไม่จ่ายเงินให้เขาอย่างเหมาะสม ในช่วงสิ้นปี 2001 หนึ่งเดือนหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัว ครูใหญ่ไปเยี่ยมเขาที่บ้าน และขอให้เขาสอนนักเรียนรุ่นพี่ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ 2 ห้อง และสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้เขาหลังจากสอบเสร็จพร้อมกับโบนัสเพิ่มเติม โจวตกลงช่วยและเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้น การสอบจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2002 และอาจารย์ใหญ่จ่ายเงินให้เขาประมาณ 1,000 หยวนเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าที่สัญญาไว้มาก

ขณะที่โจวอาศัยอยู่ในบ้านพักที่โรงเรียนจัดสรรให้ บางครั้งครูใหญ่สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกันครอบครัวของเขาไม่ให้ออกนอกบริเวณโรงเรียน ไม่ให้ออกไปแม้ในเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องซื้ออาหารหรือไม่ให้เด็กออกไปเล่น ครั้งหนึ่งอาจารย์ใหญ่กักขังเขา และในทันทีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตึกก็ล็อกตัวภรรยาและลูกของเขาไม่ให้เข้าบ้าน ไม่ยอมให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าด้วยซ้ำ

สี่ปีในเรือนจำฟานเจียไถ

โจวถูกจับในวันที่ 8 กรกฎาคม 2004 และถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักกันเซี่ยวก่าน ผู้คุมทรมานเขาจนเป็นอัมพาตและพูดไม่ได้ ประมาณในช่วงเวลาเดียวกัน ตำรวจได้จับกุมภรรยาของเขา และกักตัวเธอไว้ที่ศูนย์ล้างสมองเมืองจิงเหมิน ซึ่งเธอถูกล้างสมองตามที่ออกแบบมาเพื่อบังคับให้เธอละทิ้งความเชื่อของตัวเอง เมื่อทั้งคู่ถูกจำคุก ลูกของพวกเขาจึงต้องไปอยู่กับตายาย

ภรรยาของเขาได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมาหลังจากที่เธอป่วย ขณะที่โจวถูกตัดสินจำคุก 4 ปี เจ้าหน้าที่ทางการขยายเวลาจำคุกเขาเพิ่มอีก 8 เดือนตามอำเภอใจ และส่งเขาไปศูนย์ล้างสมองหลังจากนั้น

ในช่วง 4 ปี โจวถูกขังอยู่ในเรือนจำฟานเจียไถในอำเภอซาหยาง ภรรยาและลูกชายของเขาต้องเดินบนถนนที่ภูเขานาน 16 ชั่วโมง เพื่อมาพบเขา ลูกชายของเขามักจะถือของเล่นชิ้นโปรดมาด้วยและพูดว่า “ผมจะเล่นกับพ่อ” แต่ทุกครั้งที่พวกเขามาถึงเรือนจำด้วยความหวังเต็มเปี่ยม สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือใบหน้าที่เย็นชาของผู้คุม และการปฏิเสธคำขอเยี่ยมของพวกเขา

บางครั้งเด็กน้อยไม่ยอมออกไปและรออยู่นอกคุกเป็นเวลา 2 หรือ 3 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นวันในฤดูร้อนหรือวันที่หิมะตกในฤดูหนาว โดยหวังว่าผู้คุมจะเปลี่ยนใจ เมื่อเด็กน้อยร้องไห้อย่างสิ้นหวัง “พ่อ พ่อ…” พวกผู้คุมจะออกมาขับไล่แม่และลูกชายออกไป

ที่บ้าน บางครั้งเด็กชายก็พูดกับแม่ว่า “ผมเกือบลืมไปแล้วว่าพ่อหน้าตาเป็นอย่างไร” จากนั้นเขาก็จะหาอัลบั้มและมองหารูปถ่ายของเขาที่ถ่ายไว้กับโจว

ครั้งหนึ่งเมื่อทั้งโจวและภรรยาถูกจองจำ เด็กชายร้องไห้กับยายหลังจากเห็นเด็กคนอื่น ๆ อยู่กับพ่อแม่ของพวกเขา “ผมต้องการพ่อและแม่ ช่วยซื้อให้ผมสักคน”

หลังจากกลับบ้านจากเรือนจำ ภรรยาของโจวไปที่สำนักงาน 610 ในพื้นที่ ซึ่งรับผิดชอบการประทุษร้าย เพื่อขออนุญาตเข้าเยี่ยมเขาแต่ก็ไม่มีประโยชน์

เธอรู้สึกท้อแท้ และถูกรถบรรทุกคันใหญ่ชนระหว่างทางกลับบ้าน เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากกระดูกที่แตกหักเป็นหลายชิ้นและเอ็นร้อยหวายที่ขาทั้งสองข้างขาด แม้เธอจะเลี่ยงการถูกตัดขาได้ แต่เธอก็ทำงานไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากเงินเดือนของโจวถูกระงับ การบาดเจ็บจึงทำให้ชีวิตของภรรยาและลูกชายทุกข์ยากมากขึ้น

ถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ที่มณฑลอื่น อำเภออื่น และกลายเป็นคนยากจน

หลังจากที่โจวได้รับการปล่อยตัวในที่สุด ครอบครัวก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจวเพื่อหลีกเลี่ยงการประทุษร้าย ในเมืองกุ้ยหยาง เขาสอนพิเศษแบบส่วนตัวให้กับนักเรียนเพื่อหาเลี้ยงชีพ เนื่องจากความสามารถในการสอนที่โดดเด่นและบุคลิกภาพที่น่านับถือ เขาจึงโด่งดังในหมู่นักเรียนในท้องถิ่น และมีโอกาสในการสอนมากมาย เขามีความมั่นคงทางการเงินครั้งใหม่ และได้ซื้อบ้านในกุ้ยหยาง

ตำรวจและเผิง อี้หลิน ซึ่งมีบ้านเกิดเดียวกันกับเขาค้นพบที่อยู่ของโจวในปี 2013 ตำรวจปิดศูนย์กวดวิชาที่เขาเป็นเจ้าของร่วมกับคนอื่นอีกไม่กี่คน จากนั้นเขาก็เริ่มทำงานในโรงเรียนเอกชน

เช้าวันหนึ่งของฤดูร้อนในปี 2019 โจวไปที่สถานีตำรวจสือจือเฉิงเพื่อทำเอกสารทะเบียนบ้านสำหรับลูกของเขา เขาถูกกักตัวที่สถานีตำรวจหลายชั่วโมง เมื่อเขาพยายามโทรหาญาติในสหรัฐอเมริกาเพื่อขอความช่วยเหลือ ตำรวจคว้าโทรศัพท์มือถือของเขาและบังคับให้เขาบอกรหัสผ่าน

ตำรวจขู่ว่าจะปิดโรงเรียนเอกชนหากอาจารย์ใหญ่ยังคงจ้างเขาต่อไป เพื่อบีบบังคับให้โจวลาออกจากงาน เมื่อไม่มีรายได้แล้ว โจวจึงต้องขายบ้านที่เพิ่งซื้อมาในอำเภอกวนซานหู และย้ายไปอยู่อำเภอไป๋หยุนในกุ้ยหยาง

เจ้าหน้าที่ 3 คนคือ อัน เหรินหมิง, โอหยาง หลิน และชายนามสกุลเชอ จากอำเภอกวนซานหู มาที่ที่อยู่ใหม่ของโจวและสอบสวนเขาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2020 พวกเจ้าหน้าที่บังคับให้โจวเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ไปที่เขตไป๋หยุนอย่างเป็นทางการ ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จากเขตไป๋หยุนก็เริ่มก่อกวนเขาและบังคับเจ้าของที่พักให้ไล่เขาออกไป

ตำรวจท้องที่จากเขตไป๋หยุนรีบส่งรถตำรวจไปติดตามโจวตลอดเวลา และออกหมายเรียกเขาวันเว้นวัน เพื่อกันเขาให้ทำงานสอนไม่ได้และเพื่อทำลายเขาทางด้านการเงิน

คณะกรรมการของที่พักอาศัยของเขตไป๋หยุนสั่งครอบครัวของเขาให้ย้ายอีกครั้ง ในเวลานี้ลูกชายของเขาหายใจลำบากและเดินลำบากเพราะอาการวัณโรคที่กระดูกของลูกรุนแรงมาก เด็กไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เขาติดโรค เพราะเขาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา และต้องย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเนื่องจากการประทุษร้าย

หลังจากที่ครอบครัวย้ายออกจากเมืองกุ้ยหยาง เด็กก็กลับไปอยู่กับตาที่มณฑลหูเป่ย์ ในไม่ช้าเด็กก็เป็นอัมพาตและต้องผ่าตัดใหญ่ที่กระดูกสันหลัง เขาเกือบเสียชีวิตในระหว่างการผ่าตัด

โจวและภรรยาของเขาไม่ได้อาศัยอยู่กับลูกของพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ลูกต้องทุกข์จากการประทุษร้าย หลังจากที่พวกเขาถูกบังคับให้ต้องพลัดถิ่น ตำรวจจากกุ้ยหยางเดินทางไปยังบ้านเกิดของเขาในมณฑลหูเป่ย์ และคอยก่อกวนเด็กเพราะต้องการข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกเขาซึ่งเด็กเองก็ไม่รู้ ตำรวจโทรหาเด็กอยู่เรื่อย ๆ หลังจากพวกเขาจากไปและกดดันเด็กอย่างหนัก

ค่าผ่าตัดของลูกชายมากกว่า 200,000 หยวน และยังต้องผ่าตัดอีก ทำให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก

คำเตือนด้วยความกรุณาต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประทุษร้าย

เพื่อนผู้ฝึกของโจวอยากเตือนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการประทุษร้ายด้วยหลักการที่ว่าทำดีได้ดีและทำชั่วได้ชั่ว ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงที่อยู่นอกประเทศจีนได้รวบรวมรายชื่อของผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการประทุษร้าย และส่งรายชื่อดังกล่าวไปยังรัฐบาลของตน เพื่อผลักดันให้ลงโทษผู้กระทำความผิดในรายชื่อโดยการปฏิเสธวีซ่า หรือการเข้าประเทศ และอายัดทรัพย์สินของพวกเขา

หลักการที่ว่าความดีและความชั่วจะได้รับผลของการกระทำตอบสนองอาจปรากฏให้เห็นในรูปแบบอื่นด้วย เจ้าหน้าที่หลายคนที่มีส่วนร่วมในการประทุษร้ายโจวประสบอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า ผู้ฝึกเชื่อว่าเป็นการเตือนที่รุนแรงสำหรับคนอื่นให้หยุดการประทุษร้ายฝ่าหลุนกง

หวง เสี่ยวซิ่ว ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยม Jingshan City First High School ถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากอาการป่วย และลูกของเขาอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรา

หลี่ เต๋อฮุ่ย รองหัวหน้าสำนักงาน 610 เมืองจิงซานถูกรถชนและเสียชีวิตในวัย 40 ปีเศษ แต่คนที่อยู่กับเธอขณะเกิดอุบัติเหตุไม่ได้รับบาดเจ็บ

อีกหลายคนที่ไม่ได้ประทุษร้ายโจว แต่ประทุษร้ายผู้ฝึกอื่นก็ประสบชะตากรรมคล้าย ๆ กัน

โจว จิ้นซง เจ้าหน้าที่ตำรวจในกรมตำรวจเซี่ยวเหอในเมืองกุ้ยหยาง เคยพูดกับผู้ฝึกหลังจากทุบตีเธอว่า “ฉันทุบตีคุณหรือ มีใครเห็นไหม” ในระหว่างคาบเรียนล้างสมองของผู้ฝึก จ้าวอ้างว่า “ฉันไม่สนว่าจะตกนรกหรือไม่ ฉันแค่ต้องการประทุษร้ายผู้ฝึกฝ่าหลุนกง” ไม่กี่ปีต่อมา ทั้งเขาและภรรยาเสียชีวิตที่บ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ

หวัง โหย่วฟา เป็นหัวหน้าแผนกการศึกษาในเรือนจำหยางอ้าย เขาอายุ 41 ปี ตอนที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในระหว่างปี 2005 ถึง 2006 เพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้

หลี่ ปิน เป็นเลขานุการของคณะกรรมการวินัย (Discipline Committee) ของตำบลหย่งเวินในมณฑลกุ้ยโจว เขาได้รับรางวัลใหญ่ในปี 2003 จากการมีส่วนร่วมในการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงอย่างแข็งขัน เขามีเลือดออกในสมองก่อนวันตรุษจีนปี 2008 และเสียชีวิตในอีก 4 วันต่อมา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 ขณะนั้นเขาอายุเพียง 34 ปี

โก เหวิน เป็นรองผู้อำนวยการที่สถานีตำรวจเอ้อร์เกอจ้ายในเมืองกุ้ยหยาง เขาติดตามผู้ฝึกในขอบเขตอำนาจของเขาอย่างใกล้ชิด และรื้อค้นบ้านและจับกุมพวกเขาบ่อยครั้ง เมื่อผู้ฝึกกำชับเขาว่าอย่าทำชั่ว เขาไม่ยอมฟัง และยังคงวางแผนการประทุษร้ายเป็นการส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในปี 2015 ขณะนั้นเขาอายุ 47 ปี

บทความที่เกี่ยวข้อง :

ครูดีเด่นที่ถูกบังคับให้ออกจากงานเพราะปฏิเสธที่จะเลิกฝึกฝ่าหลุนกง

บทความ กราฟิก และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บน Minghui.org มีลิขสิทธิ์ อนุญาตให้ทำสำเนาที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ได้ แต่ต้องระบุแหล่งที่มาพร้อมชื่อบทความและลิงก์ไปยังบทความต้นฉบับ