(Minghui.org) เมื่อต้นเดือนมกราคม 2021 ทางการจีนล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายเมืองในมณฑลเหอเป่ย์ รวมทั้งฉือเจียจวงและซิงไถ หลายวันต่อมา มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ไปสู่การแยกกักแบบรวมศูนย์ (centralized isolation) โดยการนำผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องที่ไปกักกันในสถานที่ที่กำหนด

แม่ของเด็กอายุ 3 ขวบคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหนานกง เมืองซิงไถ ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 11 มกราคม เธอบอกว่าเมื่อเธอและลูกถูกบังคับให้อยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ล็อกและปิดผนึกประตูบ้านจากด้านนอก ต่อมาเธอได้รับแจ้งให้รายงานตัวไปที่สถานแยกกักแบบรวมศูนย์ที่โรงเรียนมัธยมเฟิงยี่ซึ่งความโกลาหลทำให้เธอยิ่งกังวลมากขึ้น

ขณะนี้จำนวนพื้นที่เสี่ยงในประเทศจีนมี 73 แห่งแล้ว “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่” ในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ดังการโฆษณาชวนเชื่อที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้โน้มน้าวอยู่เสมอ กลายเป็นการโกหกครั้งใหญ่

ประเทศจีน : จำนวน กลเม็ด และการปกปิด

การแยกกักแบบรวมศูนย์ถูกบังคับใช้ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศจีน วิดีโอที่โพสต์บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านทุกคนในเมืองซานหลี่จวงของหนานกง ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเซิงชุนของฉือเจียจวง (ประมาณ 20,000 คน) และชุมชนหลายแห่งในเมืองฮาร์บินของมณฑลเฮย์หลงเจียงถูกนำตัวขึ้นรถบัสไปยังสถานกักกันที่กำหนด

นี่ทำให้เกิดความสับสนและวิตกกังวลต่อสาธารณชน เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนมักอ้างว่าตัวเองสามารถควบคุมการแพร่ระบาดใหญ่ได้อยู่เสมอ นอกจากนี้ทางการจีนยังใช้การแพร่ระบาดใหญ่มาสนับสนุนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ (โดยอ้างว่ามีเพียงประเทศจีนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาด) และระบบเฝ้าระวังที่มากเกินความจำเป็น (โดยอ้างว่ามีความจำเป็นเพื่อใช้ระบุและติดตามรายที่ติดเชื้อ)

“ในหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้รับแจ้งว่าการรณรงค์ต่อต้านการแพร่ระบาดประสบความสำเร็จ แล้วทำไมฉันกลับบ้านเกิดตอนตรุษจีนไม่ได้ เป็นเพราะว่ามีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือเปล่า” คนหนึ่งเขียนลงโซเชียลมีเดียว่า “ยิ่งกว่านั้น ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการยังมีอีกเท่าไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ไม่มีอาการเหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง”

การยักย้ายตัวเลขเกิดขึ้นอีกแล้ว ตามข้อมูลจากคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติของประเทศจีน มีการยืนยันจำนวนผู้ติดเชื้อ 90 รายทุกวันในมณฑลเหอเป่ย์ระหว่างวันที่ 12 ถึง15 มกราคม ยกเว้นวันที่ 13 มกราคม ที่พบ 81 ราย

มีคนหนึ่งเขียนที่เพจของ CCTV (China Central Television) บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเวย์ปั๋วว่า “ไวรัสนี้เก่งคณิตศาสตร์มากขนาดสร้างข้อมูลได้แม่นยำอย่างนั้นเชียวหรือ” อีกโพสต์หนึ่งเขียนว่า “เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักมากเพื่อทำตัวเลขที่เรียบร้อยเหล่านี้ได้” บางคนเขียนว่า “ฉันคิดว่าตัวเลขเหล่านี้ไม่ถูกต้องแม้แต่นิดเดียว” “จำนวนที่รายงานสูงขึ้นมากในทุกวันนี้ ทำไมเราไม่เห็นมันในตัวเลขพวกนั้นเลย”

นับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของไวรัสในช่วงปลายปี 2019 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ปกปิดจำนวนผู้ติดเชื้อโดยไม่มีความโปร่งใสและไม่คงเส้นคงวาจนทำให้ประชาชนสับสนและคาดเดาว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น

นักระบาดวิทยาชาวอังกฤษ : ผลที่ได้จากการล็อกดาวน์มีน้อย

นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ บอริส จอห์นสัน กล่าวเมื่อวันที่ 22 มกราคมว่าอัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนายังคง "สูงจนน่าตกใจ" นอกจากนี้ British New and Emerging Respiratory Virus Threats Advisory Group (Nervtag) สรุปว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ B117 อาจเพิ่มอัตราการเสียชีวิตถึง 30-40%

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนผลักดันให้มีการควบคุมโดยอ้างอิงจากความชุกของสายพันธุ์ใหม่ สตีเวน ไรลีย์ จากวิทยาลัยอิมพีเรียล (Imperial College) ที่ลอนดอนพบว่าการล็อกดาวน์ระดับชาติครั้งที่สามที่บังคับใช้ในสหราชอาณาจักรเมื่อเร็ว ๆ นี้มีผลเพียงเล็กน้อยในการควบคุมไวรัส

แม้จะมีมาตรการที่เข้มงวดในหลายรัฐเพื่อต่อต้านโรคระบาด ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ยอมรับว่าสถานการณ์จะยังคงเลวร้ายต่อไปในระยะสั้นๆ นี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนคิดทบทวนถึงข้อดีและข้อเสียของการล็อกดาวน์ใหม่

เมื่อวันที่ 23 มกราคมบทความที่เผยแพร่ในนิวยอร์กไทมส์(New York Times) อ้างอิงการศึกษา ในวารสารไซเอนซ์(Science) ที่วิเคราะห์ผู้ป่วยในมณฑลหูหนาน ประเทศจีน ในช่วงที่เริ่มระบาด แม้ว่าการประกาศใช้เคอร์ฟิวและล็อกดาวน์ดูเหมือนจะลดการแพร่กระจายภายในชุมชน แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อภายในครัวเรือน บทความเดียวกันชื่อ “Do Curfews Slow the Coronavirus?” ยังอภิปรายข้อเสียของการจำกัดวงที่เข้มงวด เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสำหรับคนงานและครอบครัวของพวกเขา มาเรีย พอลยาโควา นักเศรษฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ดตั้งคำถามว่า “เคอร์ฟิวคุ้มค่าหรือเปล่า”

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่นก็แสดงความเป็นห่วงที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่น ในเดือนตุลาคม 2020 นักวิทยาศาสตร์มากกว่า 6,000 คน ได้ลงนามในคำร้องต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ โดยบอกว่าการล็อกดาวน์ก่อให้เกิดความเสียหายที่กู้กลับคืนมาไม่ได้ อ้างอิงผู้ร่วมประพันธ์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาร์ติน คูลล์ดอร์ฟฟ์ ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ดร. ซุเนตรา กุปตา และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด เจย์ บาททาชาร์ยา คำร้องนี้เรียกว่า Great Barrington Declaration

“ในฐานะนักระบาดวิทยาโรคติดเชื้อและนักวิทยาศาสตร์ด้านสาธารณสุข เรามีความกังวล อย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของนโยบายที่จะเอาชนะโควิด-19 และแนะนำแนวทางที่เราเรียกว่า มุ่งเน้นการป้องกัน... นโยบายการล็อกดาวน์ในปัจจุบันกำลังสร้างผลเสียหายร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” จากรายงานของนิวส์วีก(Newseek) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2020 ในบทความเรื่อง “นักวิทยาศาสตร์มากกว่า 6,000 คน ลงนามในคำร้อง 'ต่อต้านการล็อกดาวน์' โดยบอกว่ามันทำให้เกิด 'ความเสียหายที่กู้กลับคืนมาไม่ได้'”

สวีเดนเชื่อว่าแนวทางไม่ล็อกดาวน์เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อต้านไวรัสโคโรนา ปีเตอร์ นิลส์สันจากมหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University) กล่าวว่าเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว การเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาต่ำกว่าการเสียชีวิตที่เกิดจากการการล็อกดาวน์และความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง

ภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้ผลแล้ว

นักวิทยาศาสตร์หวังพึ่งภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อควบคุมไวรัสโคโรนา ทฤษฏีคือเมื่อเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมากพอ ทั้งจากการฉีดวัคซีนหรือจากการติดเชื้อมาก่อน ชุมชนจะให้การป้องกันทางอ้อมแก่ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

แต่นั่นไม่ได้ผลสำหรับไวรัสโคโรนา ตัวอย่างเช่น นูโน ฟาเรีย จากวิทยาลัยอิมพีเรียล ที่ลอนดอนรู้สึกแปลกใจที่พบว่าจำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองมาเนาส์ ประเทศบราซิล นี่ทำให้สับสนเพราะเขาเป็นผู้ประพันธ์ร่วมของบทความในวารสารไซเอนซ์ ที่ประเมินว่าสามในสี่ของผู้ที่พำนักในเมืองติดเชื้อโควิด-19 แล้วซึ่งมากเกินพอที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้

การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บในเดือนธันวาคม 2020 เพิ่มเติมเผยให้เห็นถึงไวรัสเชื้อสายใหม่ที่เรียกว่า P.1 ฟาเรียพบว่าเชื้อสาย P.1 หลบหนีการตอบสนองภูมิคุ้มกันของมนุษยซึ่งถูกกระตุ้นโดยเชื้อสายที่สร้างความเสียหายให้เมืองเมื่อต้นปี 2020 พร้อมด้วยสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.7 ที่พิสูจน์เอกลักษณ์ในสหราชอาณาจักร ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ "มุ่งเน้นที่ภัยคุกคามใหม่ที่อาจเกิดขึ้น : สายพันธุ์ที่สามารถยุติการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของมนุษย์ 'การหลบหนีภูมิคุ้มกัน' ดังกล่าวอาจหมายถึงประชาชนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากกว่าที่คาดไว้ยังคงไวต่อการติดเชื้อซ้ำ และวัคซีนที่เคยพิสูจน์ว่าได้ผลแล้วอาจจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงในบางจุด” จากบทความในวารสาร Science ลงวันที่ 15 มกราคม ชื่อเรื่อง “New coronavirus variants could cause more reinfections, require updated vaccines. (ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำมากขึ้นจนต้องปรับปรุงวัคซีน)

สถานการณ์นี้น่าวิตกเพราะโควิด-19 แตกต่างจากโรคอื่นๆ ที่ผู้คนเคยประสบ ประการแรก แอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ของโควิด-19 ลดลงครึ่งหนึ่งภายในเวลาเพียง 36 วัน ตามข้อมูลในบทความเดือนกรกฎาคม 2020 ใน New England Journal of Medicine ขณะที่ไวรัสโคโรนาอื่น ๆ เช่น SARS และ MERS สามารถคงระดับแอนติบอดีไว้ได้สูงเป็นเวลาหนึ่งหรือสองปี “ผลการวิจัยเรียกร้องให้ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับ ‘พาสพอร์ตภูมิคุ้มกัน’ ภูมิคุ้มกันหมู่ และอาจรวมถึงช่วงเวลาที่วัคซีนกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน โดยอ้างอิงจากระดับของแอนติบอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโคโรนาในมนุษย์ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน” จากข้อมูลในบทความเรื่อง “Rapid Decay of Anti–SARS-CoV Antibodies in Persons with Mild Covid-19.”

ประการที่สอง ด้วยสายพันธุ์ใหม่ที่พิสูจน์เอกลักษณ์ในสหราชอาณาจักร บราซิล แอฟริกาใต้ และแคลิฟอร์เนีย ความหวังที่จะควบคุมไวรัสโคโรนากำลังเผชิญกับความท้าทายซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ประการที่สาม การค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ว่าไวรัสสามารถหลบหนีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้หมายความว่าอนาคตจะมืดมนกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

กลับสู่พื้นฐาน

ตั้งแต่สมัยโบราณ ประชาชนจากหลากหลายวัฒนธรรมได้สำรวจเรื่องพื้นฐานมากมายเกี่ยวกับสุขภาพ ชีวิต และสังคม ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิงใน (คัมภีร์ลับจักรพรรดิเหลือง) ซึ่งเป็นหนึ่งในตำราการแพทย์แผนจีนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด มีการสนทนาระหว่างจักรพรรดิเหลืองและฉีป๋อซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณ

จักรพรรดิ: ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าเมื่อมีโรคระบาด ผู้คนจะติดเชื้อจากกันและกันโดยไม่ขึ้นกับอายุของพวกเขา อาการของพวกเขาจะคล้ายกันและยากต่อการรักษา คุณรู้วิธีป้องกันการติดเชื้อหรือไม่

ฉีป๋อ: เมื่อคนคนหนึ่งมีลมปราณ(ชี่) ที่ถูกต้องเที่ยงธรรมอยู่ในตัว ความชั่วร้ายจะกล้ำกรายเข้าไปไม่ได้

นี่แสดงให้เห็นจริงได้โดยฝ่าหลุนกง ซึ่งเป็นระบบการทำสมาธิตามหลักการของความจริง - ความเมตตา – ความอดทน ฝ่าหลุนกงเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม และมีคนสนใจฝึกประมาณ 100 ล้านคน ทำให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้น และยกระดับศีลธรรมของตัวเอง

ปาฏิหาริย์ของฝ่าหลุนกงมีมาตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มเผยแพร่สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ในงานนิทรรศการสุขภาพชาวตะวันออก (Oriental Health Expo) ในเดือนธันวาคม 1992 ท่านอาจารย์หลี่หงจื้อซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งฝ่าหลุนกงได้ช่วยรักษาโรคให้ผู้คนจำนวนมาก

หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมางานนิทรรศการกับสามีของเธอ ท้องของเธอใหญ่กว่าหญิงตั้งครรภ์เก้าเดือนอีก ในขณะที่ผู้คนเฝ้าดูอาจารย์หลี่ปรับร่างกายของเธอ ทันใดนั้นท้องของเธอก็แบนราบ คนที่ดูอยู่ถึงกับตะลึงและนิ่งเงียบ จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง ผู้หญิงคนนั้นและสามีคุกเข่าเพื่อขอบคุณอาจารย์หลี่ พวกเขาเขียนจดหมายขอบคุณในทันทีและส่งจดหมายไปที่ผู้จัดงานนิทรรศการด้วย

หลี่ หยูซง ผู้จัดการทั่วไปของงานนิทรรศการบอกว่าฝ่าหลุนกงได้ผลตอบรับทางบวกมากที่สุดจากผู้เข้าร่วมงานและจำนวนผู้ตอบรับมากที่สุดก็คือฝ่าหลุนกงด้วย

ด้วยเหตุนี้ China Foundation For Justice And Courage ซึ่งเป็นองค์กรร่วมระหว่างกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนและกรมการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเริ่มทำการในเดือนมิถุนายน 1993 จึงเชิญอาจารย์หลี่หงจื้อไปบรรยายในเดือนสิงหาคม 1993 มูลนิธินี้ยังได้ออกจดหมายจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนขอบคุณอาจารย์หลี่สำหรับผลกระทบทางบวกของฝ่าหลุนกง

ในระหว่างการสำรวจโดยกรมการกีฬาแห่งชาติที่ดำเนินการในเดือนพฤษภาคม 1998 แบบสอบถามที่ได้รับการตอบกลับจากผู้ฝึก 12,000 คน แสดงให้เห็นว่า 98% ของผู้ฝึกมีสุขภาพดีขึ้นจากการฝึกฝ่าหลุนกง

ในปัจจุบัน จ้วนฝ่าหลุน และคำสอนอื่น ๆ ของฝ่าหลุนต้าฝ่าได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 40 ภาษา และฝ่าหลุนกงเป็นที่ยอมรับในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

คำทำนายสมัยโบราณและนิทานสมัยใหม่

นอสตราดามุส นักพยากรณ์ชาวฝรั่งเศสเคยเขียนไว้ว่า

“ชายจากตะวันออกจะออกมาจากที่นั่งของเขา

ผ่านเทือกเขาแอเพนไนน์ไปฝรั่งเศส

เขาจะบินผ่านท้องฟ้า ฝน และหิมะ

และตีทุกคนด้วยไม้เรียวของเขา”

ในวันที่ 5 กรกฎาคม 1994 ชายชาวฝรั่งเศส 2 คน ปรากฏตัวที่การบรรยายของอาจารย์หลี่ในเมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง และบอกว่า พวกเขาเป็นพ่อและปู่ของเด็ก เด็กชายคนนี้อายุประมาณ 7 ขวบ มีโรคประจำตัวที่หายากที่แพทย์รักษาไม่ได้ เด็กชายคนนี้มีความบกพร่องทางสติปัญญา เขาพูดไม่ได้และต้องนอนติดเตียง ชายสองคนนี้บอกว่าพระเจ้าของพวกเขาบอกให้พวกเขามาประเทศจีนเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หลี่

หลังจากสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเด็กแล้ว อาจารย์หลี่ก็เริ่มรักษาโดยดูคล้าย ๆ อาจารย์กำลังดึงเส้นด้าย หลังจากนั้นครู่หนึ่งอาจารย์ก็บอกว่าเด็กชายไม่เป็นไรแล้ว และแนะนำให้ชายทั้งคู่โทรไปฝรั่งเศส หลังจากชายสองคนนี้กลับถึงโรงแรมแล้ว พวกเขาก็โทรกลับบ้าน แม่ของเด็กบอกว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ห้องของเด็กชายเต็มไปด้วยแสงสีทอง และทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวและพูดได้ เด็กถามแม่ว่า “เกิดอะไรขึ้นครับแม่”

ในปี 1995 อาจารย์หลี่ได้รับเชิญไปบรรยายที่สถานเอกอัครราชทูตจีนในฝรั่งเศส ผู้ฝึกหลายคนเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูต หลังจากนั้น อาจารย์หลี่ได้บรรยายชุดหนึ่งที่ปารีส นั่นเป็นครั้งแรกที่อาจารย์หลี่เผยแพร่ฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ

ในระหว่างการสำรวจปี 2003 ที่สอบถามผู้ฝึก 235 คนในอเมริกาเหนือ ผู้ฝึกที่ตอบคำถามจากการสำรวจ 224 คนบอกว่าสุขภาพของพวกเขาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งหายจากโรคเรื้อรัง

หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ผู้ติดเชื้อจำนวนมากฟื้นตัวหลังจากท่องอย่างจริงใจว่า “ฝ่าหลุนต้าฝ่าห่าว (ดี)” และ “เจิน - ซั่น – เหยิ่น - ห่าว (ความจริง - ความเมตตา – ความอดทน – ดี)”

เนื่องจากการแพร่ระบาดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ทำความเสียหายให้กับโลก จึงอาจถึงเวลาที่เราต้องกลับมาคิดใหม่ว่าเราอยู่ที่ตำแหน่งใดโดยอ้างอิงบทเรียนจากประวัติศาสตร์ ด้วยการการเชิดชูคุณธรรมและปฏิเสธความชั่วร้าย เราจะได้รับพรด้วยการมีสุขภาพดีและปลอดภัยในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้

เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ความกระจ่างถึงวิธีการอยู่อย่างปลอดภัยท่ามกลางการแพร่ระบาดใหญ่

บทความ กราฟิก และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บน Minghui.org มีลิขสิทธิ์ อนุญาตให้ทำสำเนาที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ได้ แต่ต้องระบุแหล่งที่มาพร้อมชื่อบทความและลิงก์ไปยังบทความต้นฉบับ