(Minghui.org) แม่อุปถัมภ์ของพ่อของฉันแสดงอาการ "สติฟั่นเฟือนจริง" ในช่วงสามปีสุดท้ายก่อนเธอเสียชีวิต ย่าของฉันเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง และฉันก็เห็นด้วยตาตัวเองในสิ่งเหนือธรรมดาบางอย่างที่เธอทำด้วย ฉันขอเล่าประสบการณ์ของเธอเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า "สติฟั่นเฟือนจริง" มีอยู่จริง ๆ

ชดใช้กรรม

แม่อุปถัมภ์อาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกับย่าทวดของฉัน แม่สามีของเธอเสียชีวิตไปก่อน พ่อสามีจึงอาศัยอยู่กับพวกเขา เธอให้เขาใส่เสื้อผ้าที่ดูดี แต่ไม่ได้ให้กินอาหารที่ดี และไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาให้ดี พ่อสามีของเธอต้องทำงานอยู่กลางทุ่งนาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับบ้านเขาจะได้กินอาหารหลังจากที่ทุกคนในครอบครัวกินเสร็จแล้วเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงผอมลงมาก

ในช่วงเทศกาลตรุษจีนของปีหนึ่ง อยู่ ๆ แม่อุปถัมภ์ก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ เธอไปที่ห้องครัวของทุกคนในหมู่บ้านแล้วดื่มน้ำเย็นจากถังเก็บน้ำของพวกเขา 3 กระบวย จากนั้นก็คุกเข่าคำนับผู้ที่มีอายุมากที่สุดของแต่ละครอบครัว กล่าวขอบคุณพวกเขาที่ให้เธอดื่มน้ำ เธอยังล้างชามที่เธอใช้แล้ววางมันกลับที่เดิมก่อนจะออกมาเพื่อไปยังบ้านต่อไป

ไม่ใช่เรื่องปกติที่ชาวจีนจะดื่มน้ำที่ไม่ได้ต้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว ทุกคนจึงตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เธอกำลังทำ เธอบอกผู้คนว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำของคุณที่ช่วยชำระจิตใจให้ฉัน ฉันปฏิบัติต่อพ่อสามีไม่ดีและได้ทำผิดครั้งใหญ่ เหล่าเทพบนสวรรค์กำลังลงโทษฉัน ฉันจึงต้องดื่มน้ำเย็นจากทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเพื่อชำระจิตใจของฉันให้บริสุทธิ์ ฉันทำผิด ถ้าคุณยกโทษให้ฉัน ฉันจึงจะลุกขึ้น ถ้าคุณไม่ยกโทษให้ฉัน ฉันจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะยกโทษให้”

เธอเดินเท้าเปล่า เธอเกล้าผมเหมือนนักแสดงในโอเปร่า และเธอสวมแต่กางเกงสีขาวกับเสื้อสีขาวเท่านั้น ในฤดูหนาวเธอเดินจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งโดยใส่แค่เสื้อกันหนาวบาง ๆ เพียงตัวเดียว เธออธิบายว่าเธอกำลังถูกเทพลงโทษและนั่นเป็นเหตุผลที่เธอไม่ควรใส่เสื้อโคต

สติฟั่นเฟือนแต่ไม่โง่

ในระหว่างนั้นเธอยังคงทำอาหารให้คนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกคนกินเสร็จแล้วเธอจึงจะกินซุปที่เหลือหลังจากขอโทษพ่อสามีแล้วทุกวัน จากนั้นเธอจะล้างจานและวิ่งออกไปข้างนอกอีกครั้ง ไม่มีใครหยุดเธอได้

เธอนอนในกองฟางทุกคืนแม้แต่ในฤดูหนาว ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เธอจะกลับเข้าบ้านและทำงานบ้านทุกอย่างให้ครอบครัวของเธอ

ครอบครัวของเธอต้องการพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาปัญหาทางจิต แต่ไม่มีใคร (แม้แต่ชายหนุ่ม) แข็งแรงมากพอที่จะฉุดลากเธอไปโรงพยาบาลได้ พวกเขาจึงเลิกยุ่งกับเธอ

ในฤดูใบไม้ผลิเมื่อเริ่มมีงานในฟาร์ม เธอขนมูลสัตว์ ไถนา และทำงานบ้านที่สกปรกทุกอย่างซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่ยอมทำ หลังจากทำงานอย่างหนักให้ครอบครัวของเธอเสร็จแล้ว เธอจะไปช่วยครอบครัวอื่น ๆ เมื่อไม่มีงานอะไรให้ทำ เธอจะวิ่งไปรอบ ๆ หมู่บ้านโดยไม่สนใจอันตรายใด ๆ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ยิ่งอากาศเลวร้าย เธอก็จะวิ่งออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น เธอยังเก็บก้อนกรวดและอิฐที่อยู่บนถนนแล้วนำไปทิ้ง เมื่อขอทานขออาหารจากเธอ เธอจะพาพวกเขาไปที่บ้านและให้อาหารพวกเขามากเท่าที่พวกเขาต้องการ

เธอปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แต่โหดร้ายกับตัวเอง ในฤดูหนาวผิวหนังที่เท้าของเธอถูกทำลายจากความเย็นจัดเพราะเธอไม่ค่อยสวมรองเท้าออกไปข้างนอก มูลของลาที่อยู่ข้างถนนถูกแช่แข็งเหมือนก้อนหิน แต่เธอก็หยิบขึ้นมากิน ไม่มีใครเอามันไปจากเธอได้ เธอบอกว่าเธอกำลังกิน “ลูกชิ้นแสนอร่อย” เธอดื่มปัสสาวะของสัตว์ด้วย ชาวบ้านเลิกผูกล่อและม้าของพวกเขาไว้ข้างนอก เพื่อไม่ให้สัตว์เหล่านี้ถ่ายมูลไว้ตามถนน

คนในครอบครัวขังเธอไว้ในห้องของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เธอออกไปข้างนอก แต่เธอก็สามารถปลดล็อกได้ในทันที ไม่มีเชือกชนิดใดที่จะยับยั้งเธอไว้ได้ แม้แต่โซ่ก็ไร้ประโยชน์ ในวันหยุดเทศกาล เธอเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารมื้ออร่อยของวันเทศกาลซึ่งเป็นส่วนของเธอ

แม้ว่าเธอดูเหมือนจะเสียสติไปแล้วแต่เธอก็ไม่ได้โง่เลย เมื่อลูกชายคุกเข่าคำนับเธอในวันตรุษจีน เธอบอกพวกเขาให้กตัญญูต่อผู้สูงอายุและอย่าทำเหมือนที่เธอเคยทำกับพ่อสามีในอดีต

ความสามารถเหนือธรรมชาติ

สามปีต่อมาในวันเดียวกับที่เธอเริ่มสติฟั่นเฟือน เธอไม่ได้วิ่งออกไปข้างนอกหลังจากล้างจาน เธอต้มน้ำหนึ่งหม้อ สระผมและอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปกติของเธอ และสวมรองเท้ากับถุงเท้า หลังจากนั้นเธอก็ตัดผมและหวีผมทรงเดียวกับที่เธอเคยทำเมื่อสามปีก่อน

ตอนที่พ่อของฉันอายุได้เพียงหนึ่งเดือน เขาป่วยหนัก หมอหมดหนทางช่วยเขา เมื่อไม่มีความหวัง ปู่กับย่าก็พาพ่อของฉันไปที่บ้านของย่าทวด แล้วแม่อุปถัมภ์ก็มาและบอกว่าถ้าพวกเขายอมให้เธอเป็นแม่อุปถัมภ์ของพ่อ เธอจะรักษาเขาให้หาย เธอเป่าหัวพ่อสามครั้ง พ่อร้องออกมาและหายเป็นปกติ ก็แค่นั้น

แม่อุปถัมภ์ดูเหมือนจะมีกงเหนิงหยั่งรู้อดีตและอนาคตด้วย ในช่วงที่การปฏิวัติทางวัฒนธรรมรุนแรงสูงสุด พ่อของฉันไปที่บ้านของย่าทวดเพื่อซ่อนตัวจากความโกลาหลในเมือง คืนหนึ่งแม่อุปถัมภ์ไปที่บ้านของพวกเขาและบอกพ่อว่า “จะมีคนทุบวัดในสามวัน อย่าไปที่นั่น !” สามวันต่อมาวัดก็ถูกทำลายจริง ๆ

ความทรงจำในวัยเด็กของฉันเกี่ยวกับแม่อุปถัมภ์

ฉันยังเด็กมากตอนที่พบเธอครั้งแรก ตามประเพณีแล้วแม่อุปถัมภ์ของพ่อก็เป็นย่าอุปถัมภ์ของฉัน พ่อกับแม่จึงพาฉันไปเยี่ยมเธอที่บ้าน เธอให้ลูกพีชที่หวานมากแก่ฉันและบอกกับแม่ของฉันว่า “เด็กคนนี้เป็นคนโชคดี…”

มื้อเที่ยงวันนั้นเธอกินเกี๊ยวหนึ่งชาม หลังจากนั้นก็หยุดกินอาหารทุกอย่าง แต่ละมื้อเธอแค่ดื่มน้ำถ้วยเล็ก ๆ เท่านั้น พ่อกับแม่และย่าเป็นห่วงเธอ พวกเขาจึงพาฉันไปเยี่ยมเธออีกครั้ง เธอนั่งอยู่ที่ลานบ้านของเธอใต้โครงไม้เลื้อยเถาองุ่น เมื่อเธอเห็นพวกเรา เธอก็ยืนขึ้นทักทาย เธอเดินและพูดเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอเธอและน้ำหนักของเธอดูเหมือนจะไม่ได้ลดลงเลย เมื่ออาหารเย็นพร้อม เธอพูดว่า “ฉันอยู่เป็นเพื่อนพวกเธอไม่ได้แล้ว” จากนั้นเธอก็ไปที่ห้องของเธอ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเธอ

ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ หลาน ๆ ของเธอกลับไปที่บ้านพร้อมกับภรรยาและลูก ๆ เพื่อร่วมงานฉลอง ในคืนวันที่ 15 สิงหาคม แม่อุปถัมภ์นั่งอยู่ที่ลานบ้านพร้อมกับทุกคนและมองดูครอบครัวของเธอกินแตงโม ก่อนเข้านอนเธอกอดเด็กทีละคน เช้าวันรุ่งขึ้นครอบครัวของเธอก็พบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว

เมื่อฉันเรียนในมหาวิทยาลัย ฉันค้นหาคำอธิบายว่าแม่อุปถัมภ์เกิดอาการผิดปกติทางจิตแล้วก็หายดีโดยไม่ได้รับการรักษาได้อย่างไร ไม่มีหนังสือเล่มใดในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่สามารถตอบคำถามของฉันได้ จนเมื่อฉันอ่านจ้วนฝ่าหลุนที่เขียนโดยอาจารย์หลี่หงจื้อซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งฝ่าหลุนกง ฉันก็เข้าใจว่าแม่อุปถัมภ์อาจมีภาวะ "สติฟั่นเฟือนจริง" ตอนนี้ฉันเข้าใจสิ่งที่แม่อุปถัมภ์ต้องเผชิญแล้ว ขอขอบพระคุณคำสอนของฝ่าหลุนกง

บทความ กราฟิก และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บน Minghui.org มีลิขสิทธิ์ อนุญาตให้ทำสำเนาที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ได้ แต่ต้องระบุแหล่งที่มาพร้อมชื่อบทความและลิงก์ไปยังบทความต้นฉบับ