(Minghui.org) “ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันเป็นชีวิตเก่าก่อน—ความทรงจำของชีวิตในอดีตของฉันไม่ได้ถูกลบไปอย่างสิ้นเชิง และฉันค้นหาหนทางเพื่อกลับไป” เซี่ย เหมิงกุ้ยพูด ไม่มีใครทายได้เลยว่าเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จจะมีการเริ่มต้นที่ลำบาก
วัยเด็กของเธอยากลำบากมาก ครอบครัวของเธอย้ายที่อยู่บ่อยและพ่อแม่ของเธอทะเลาะกันบ่อย ๆ เธอสงสัยว่าจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร “เมื่อไหร่ที่เห็นวัด ฉันรู้สึกว่าฉันต้องแสดงความเคารพต่อพระพุทธ” เธอรู้สึกเหมือนเธอกำลังค้นหาบางสิ่งอยู่เสมอ
เซี่ย เหมิงกุ้ย เรียนดีตั้งแต่เด็ก และหลังจากที่มหาวิทยาลัยในไต้หวันรับเธอเข้าเรียน เธอก็เริ่มมองหาความเชื่อต่าง ๆ “ฉันอ่านคัมภีร์ไบเบิล ศาสตร์แห่งตัวเลข และปรัชญา และได้ลองบำเพ็ญหลายแนวทาง แต่ก็ยังคงมีคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบอีกมากมาย"
หลังจากที่เธอเรียนจบ เธอทำงานเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพราะเธอต้องการซื้อบ้านให้พ่อแม่ของเธอ ผลงานของเธอโดดเด่นมากและเธอเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อายุน้อยที่สุดในไต้หวัน ต่อมาเธอตัดสินใจเข้าอบรมเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีน เพื่อนร่วมชั้นแนะนำหนังสือเล่มหลักของฝ่าหลุนต้าฝ่า–จ้วนฝ่าหลุน ให้กับเธอ
“ฉันอ่านจ้วนฝ่าหลุนจบเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2002 จากนั้นฉันก็ซื้อหนังสือต้าฝ่าทั้งหมด” เธอบอกว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบการฝึกบำเพ็ญที่เที่ยงธรรมที่ตอบทุกคำถามของเธอได้
เซี่ย เหมิงกุ้ย ฝึกท่าชุดที่ 5 ของฝ่าหลุนต้าฝ่า—การทำสมาธิ
เธอเรียนอย่างหนักด้วยความหวังว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน พ่อของเธอป่วยและต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา เนื่องจากเธอใช้เงินเก็บทั้งหมดของเธอไปกับการเตรียมตัวสอบ เธอจึงต้องยืมเงินจากญาติเพื่อช่วยพ่อของเธอ ปี 2005 เธอเลิกกับแฟนที่คบกันมา 6 ปี นี่เกือบทำให้เธอสติแตก
“ฉันคิดว่าฉันเข้มแข็ง แต่ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว ฉันยังคิดที่จะจบชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ” เมื่อเธอมองภาพของท่านอาจารย์ น้ำตาของเธอก็พรั่งพรูออกมา และเธอพูดว่า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว ท่านอาจารย์โปรดช่วยฉันด้วย”
เธออ่านฝ่าและฝึกท่ากับผู้ฝึกอื่นทุกวัน “ฉันบอกตัวเองให้ศรัทธาในต้าฝ่า ฉันผ่านเรื่องนี้มาได้ด้วยการพึ่งพาท่านอาจารย์และพลังของต้าฝ่า”
หลังจากที่เธอรวบรวมสติได้เธอก็กลับมาเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ครั้งนี้เธอเลือกที่จะทำงานกับอสังหาริมทรัพย์ที่หรูหราในไทเปซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอ เธอไม่มีข้อมูลติดต่อของลูกค้าระดับสูงเลย เธอต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงทุกวัน เธอติดต่อทุกครัวเรือนในชุมชนเพื่อเสนอบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ของเธอ
หลังจากทำงานอย่างหนักนาน 6 เดือน เธอก็เห็นผลในที่สุด และมีคนขอนามบัตรของเธอ ลูกค้ารายหนึ่งแนะนำเหมิงกุ้ยให้กับญาติคนอื่น ๆ ซึ่งขอให้เธอช่วยพวกเขาซื้อบ้าน พวกเขากลายเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้คนในสังคมระดับสูงหรือยอมให้จัดการทรัพย์สินของพวกเขา แต่เหมิงกุ้ยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีสินทรัพย์สุทธิมาก ลูกค้ารายหนึ่งบอกเธอว่า “คุณเซี่ย คุณทำตัวไม่เหมือนนายหน้าทั่วไป”
นายหน้าอสังหาริมทรัพย์บางรายโกหกเพื่อให้ได้ทำธุรกรรม แต่เหมิงกุ้ยประพฤติตนตามหลักการของความจริง ความเมตตา ความอดทน และพูดแต่เรื่องจริงเท่านั้น เธอพูดวว่า “ฉันเป็นผู้ฝึกและฉันโกหกไม่ได้ บริการที่ฉันให้คือความซื่อสัตย์”
ตัวอย่างเช่น เอกสารตามมาตรฐานต้องมีลายเซ็นของลูกค้า นายหน้าส่วนใหญ่ลงนามในเอกสารในนามของลูกค้า แต่เหมิงกุ้ยรู้สึกว่าเธอไม่ควรทำเช่นนี้ “ฉันไม่สามารถลงนามในนามของลูกค้าได้ เอกสารจะต้องลงนามโดยลูกค้าเอง”
นี่อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ แต่ด้วยความซื่อสัตย์ของเธอ ลูกค้าจึงเห็นว่าเหมิงกุ้ยปฏิบัติตามกฎหมายแม้ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด
ถ้าเธอไม่ทราบคำตอบสำหรับคำถามของลูกค้า เธอจะไม่แสร้งทำว่าเธอรู้ทุกอย่าง เธอพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาด้วยการปรึกษาทนายความหรือนักบัญชี
“ท่านอาจารย์บอกเราว่าเราต้องคิดถึงคนอื่น เราควรพยายามซื่อสัตย์ มีน้ำใจ และอดทน” เหมิงกุ้ยพูดว่าความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของเธอ ลูกค้าของเธอไว้วางใจเธอและบางคนถึงกับเชิญเธอไปร่วมวันหยุดเทศกาลกับครอบครัวของพวกเขาด้วย
พฤติกรรมที่ซื่อสัตย์ของเธอทำให้เหมิงกุ้ยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าระดับสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันมานานที่เธอไว้ใจชุบมือเปิบลูกค้าคนสำคัญรายหนึ่งที่เหมิงกุ้ยทำงานมาหลายปี เธอสูญเสียเงินหลายล้านและส่วนที่ยากที่สุดคือเธอถูกเพื่อนเก่าที่ไว้ใจหักหลัง เมื่อเธอขอคำแนะนำจากทนาย เขาบอกเธอว่าเนื่องจากเธอมีข้อตกลง ถ้าเธอยื่นฟ้องร้องคดี โอกาสชนะก็จะสูง
เหมิงกุ้ยตระหนักว่าเวลาของผู้ฝึกมีค่า “บางทีฉันคงเป็นหนี้เธอในอดีตชาติและฉันต้องชดใช้หนี้นี้ ฉันควรปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ”
เหมิงกุ้ยเดินผ่านอาคารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกวัน ตอนแรกเธอรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่มองมัน ต่อมาเธอไม่รู้สึกอะไรเลย “ฉันสำนึกในพระคุณของท่านอาจารย์จริง ๆ เพราะฉันฝึกบำเพ็ญ ฉันจึงไม่เสียใจกับการสูญเสียอีกแล้ว ถ้าฉันไม่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ฉันจะยื่นฟ้องเธอเพราะฉันมีหลักฐาน หรือฉันอาจใช้วิธีอื่นเพื่อแก้แค้น แต่ฉันปล่อยวางทุกอย่างได้จริง ๆ”
มีช่วงหนึ่งที่พนักงานของเหมิงกุ้ยเข้าใจเธอผิด เธอติดเรื่องอื่นจนไม่มีเวลาเข้าร่วมการประชุมของบริษัท ทำให้เพื่อนร่วมงานของเธอคิดกับเธอในแง่ลบ และบรรยากาศในที่ทำงานก็ตึงเครียด
เธอค้นหาจากภายในและพบว่าเธอมีทัศนคติว่าเธอสูงส่งและมีอำนาจเหนือพนักงานของเธอ เธอตัดสินใจปล่อยวางการถือว่าตัวเองสำคัญและจิตยึดติดต่อชื่อเสียงผลประโยชน์ และทัศนคติเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของเธอ
“ฉันเริ่มต้นด้วยการขอโทษพวกเขาอย่างจริงใจและอธิบายความเข้าใจผิดนี้ ฉันยังพยายามเข้าร่วมกิจกรรมของพวกเขาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าฉันจัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร” หลังจากที่เธอเปลี่ยนพฤติกรรม เหมิงกุ้ยสังเกตว่าความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานก็หายไป และทุกคนทำงานร่วมกันฉันมิตร
เหมิงกุ้ยคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้พบความหมายของชีวิตและหนทางกลับบ้านที่เธอค้นหามาตั้งแต่เด็ก เธอดีใจที่ได้นำความจริง ความเมตตา และความอดทนมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเธอ