(Minghui.org) 12 ปีหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดตัวโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative, BRI) เพื่อผลักดันอุดมการณ์และอิทธิพลทางเศรษฐกิจในระดับโลก ความจริงที่ไม่พึงประสงค์ของ “ข้อได้เปรียบของความด้อยทางสิทธิมนุษยชน” ก็ปรากฏออกมาชัดเจน

เหตุการณ์ที่เกิดจากโครงการ BRI

เมียนมาอยู่ที่จุดตัดของ "ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Corridor)" และ "ระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมา (Bangladesh-China-India-Myanmar Economic Corridor)" ของ BRI ประเทศไทยก็อยู่ในตําแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สําคัญเช่นกัน จีนและไทยทํางานอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเสนอ BRI ในปี 2013 จากข้อมูลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บริษัทของจีนเกือบ 700 แห่งได้ลงทุนในประเทศไทยภายในปี 2023

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริคเตอร์ เกิดขึ้นในเมียนมาและส่งผลกระทบต่อประเทศไทย อาคารสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในประเทศไทยถล่ม อาคารนี้ดำเนินการก่อสร้างโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง “บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)” และ “บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด” โดย “บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด”รับผิดชอบการก่อสร้างโดยรวม ยอดผู้เสียชีวิตจนถึงวันนี้รวม 15 คน และอยู่ระหว่างติดตามอีก72 คน ในซากปรักหักพัง โครงสร้างหลักของอาคารเสร็จสมบูรณ์แล้ว อาคารนี้สูง 30 ชั้น และเป็นอาคารสูงเพียงตึกเดียวที่พังถล่มในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ระหว่างเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม

ในยุโรป เซอร์เบีย (ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่าน) ให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับโครงการ BRI เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 หลังคาสถานีรถไฟ Novi Sad ทางตอนเหนือของเซอร์เบียพังถล่มลงมา คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 14 คน โครงการก่อสร้างนี้เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท China Railway และ China Communications Construction

เคนยาซึ่งอยู่ทางใต้ของแอฟริกา เป็นช่องทางสําคัญที่โครงการ BRI ใช้ในการเข้าสู่ภูมิภาคนี้ และเป็นประเทศที่แสดงความร่วมมือระหว่างจีนและแอฟริกา เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2017 สะพาน SIGIRI ในเคนยาพังถล่ม ทําให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 27 คน โครงการนี้สร้างโดย “บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (China Railway 10th Bureau Group)

เหตุการณ์ร้ายที่เกิดอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลที่ตามมาของการทํางานร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน การก่อสร้างที่มีคุณภาพต่ําเช่นนี้ ซึ่งมักเรียกว่า "กากเต้าหู้ (tofu dregs)" ในภาษาจีน ไม่เพียงทําร้ายแต่คนจีนเท่านั้น แต่ยังทำร้ายคนในประเทศอื่น ๆ ด้วย

"กระบวนการทุจริตที่ติดต่อได้"

เจิ้งกังซึ่งเข้าร่วมในการก่อสร้างทางหลวงที่มีระยะทาง 28 กิโลเมตร ในปี 2017 ที่ตำบลเร่สุ่ย อำเภอหรู่เฉิง มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ได้ให้รายละเอียดบางอย่างหลังจากที่เขาออกจากประเทศจีนและย้ายไปสหรัฐอเมริกา เดิมทีมีการวางแผนที่จะติดตั้งท่อระบายน้ําคอนกรีตมาตรฐานยาว 2 เมตร 2 ท่อ เพื่อป้องกันน้ําท่วมฉับพลัน แต่หน่วยงานก่อสร้างใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเป็นท่อที่บางกว่าซึ่งยาว 60 เซนติเมตร 4 ท่อ เมื่อพื้นที่ดังกล่าวประสบกับน้ําท่วมฉับพลัน และทางหลวงระบายน้ําได้ไม่เร็วพอ ส่งผลให้มีน้ําสะสมบนถนนสูงกว่า 2 เมตร เมื่อรถ 2 คัน ขับผ่าน พวกเขาตกลงไปในน้ําและคนขับ 2 คนเสียชีวิต

ทำไมจึงเปลี่ยนท่อกว้างเป็นท่อที่แคบกว่า เจิ้งบอกว่าเจ้าหน้าที่ทุกระดับรับสินบน และเกือบทุกแผนกเรียกเงินใต้โต๊ะเพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้ หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ระดับสูงกลับออกคําสั่งหลายฉบับเพื่อปกปิดความจริง

เจิ้งทํางานในวงการก่อสร้างมานาน 30 ปี และคุ้นเคยกับมาตรฐานทางวิศวกรรม งบประมาณสําหรับโครงการทางหลวงนี้อยู่ที่ 120 ล้านหยวน แต่เมื่อทางหลวงสร้างเสร็จ มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 270 ล้านหยวน โดยมีการยักยอกเงิน 150 ล้านหยวน จํานวนเงินที่ยักยอกมากกว่าต้นทุนจริงของโครงการ นี่เป็นเรื่องปกติในประเทศจีน

เจิ้งพูดว่า "เพื่อนร่วมงานและเพื่อนของผมบางคนทํางานในโครงการ BRI โครงการนี้ส่งออกการฉ้อโกง สินค้าด้อยคุณภาพ และการทุจริตของจีนไปยังต่างประเทศ การพูดว่าโครงการ BRI เป็นกระบวนการทุจริตที่ติดต่อได้ก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง ภายใต้ “วัฒนธรรมคอร์รัปชันของจีน” ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าสู่วงจรทุจริตได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ในประเทศจีน มองเผิน ๆ โครงการ BRI กําลังส่งออกโครงการ แต่ในความเป็นจริงแล้วกําลังส่งออกวัฒนธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน"

ถ้าแผ่นดินไหวในเมียนมาเกิดขึ้นช้ากว่านี้ 1 ปี ในช่วงนั้นอาคารสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินในกรุงเทพฯ ก็จะสร้างเสร็จแล้ว และคาดว่าจะมีคนทำงานที่นั่นหลายร้อยหรือหลายพันคน เช่นนั้นจะมีคนเสียชีวิตมากเท่าไรถ้าตึกถล่ม

ไม่เคารพชีวิต

ชีวิตในสายตาของคอมมิวนิสต์คืออะไร "ชีวิตเป็นรูปแบบการดํารงอยู่ของร่างกายที่เป็นโปรตีน" Friedrich Engels เขียนในปี 1883 เมื่อคนคนหนึ่งเสียชีวิต ก็เป็นเพียงกองโปรตีนที่เปลี่ยนรูปแบบการดํารงอยู่เท่านั้น ลัทธิคอมมิวนิสต์ละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาโดยเทพและมีสิทธิโดยธรรมชาติ การเชื่อมโยงระหว่างเทพกับมนุษย์กลายเป็นความเชื่องมงายแบบศักดินา สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในเทพ เขาจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่มองเห็นได้ สิ่งที่มองไม่เห็นจะไม่เชื่อ พระเจ้าอยู่ที่ไหน กฎของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ที่ไหน

ครั้งหนึ่ง เพลโตเคยกล่าวว่า "สิ่งที่มองเห็นได้คือเงาของสิ่งที่มองไม่เห็น" สำหรับคนที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะรู้สึกผิดหลังจากทําผิด และจะกังวลถ้าต้องเผชิญหน้ากับเทพหรือผลของกรรม แต่สำหรับคนที่ไม่มีความเชื่อเช่นนี้ เขาจะถูกผลักดันให้ทําร้ายผู้อื่นได้ง่ายกว่าโดยไม่ลังเล

เหมาเจ๋อตงกล่าวว่า "นักวัตถุนิยมโดยสมบูรณ์ไร้ความกลัว" นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอํานาจ มีชาวจีน 80 ล้านคนที่เสียชีวิตอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนจีนจํานวนมากจะเข้าใจข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นี้ พวกเขาก็ยังคิดว่าชีวิตที่สูญเสียไปเป็นเพียงตัวเลข

บางคนอาจมองว่า รถไฟความเร็วสูงของจีน สินค้าราคาถูก และการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากประสิทธิภาพและความเร็วภายใต้ระบอบสังคมนิยม แต่ต้นทุนทางสังคม การทุจริต การสิ้นเปลือง การใช้อํานาจโดยมิชอบ และการดูหมิ่นชีวิต วาดภาพที่แตกต่างออกไป ข้อมูลที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนนําเสนอต่อโลกถูกเซนเซอร์และถูกควบคุมอย่างหนัก ความเจริญรุ่งเรืองนี้จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร มีความจริงอะไรบ้างที่คนนอกไม่มีโอกาสได้เห็น

หลังฉาก

ผู้คนในประเทศอื่นอาจไม่ทราบว่ารถไฟความเร็วสูง อาคารสูง และสินค้าราคาถูกของจีนผลิตขึ้นมาโดยการใช้แรงงานราคาถูกในรูปแบบของแรงงานผู้อพยพ นักวิชาการบางคนเรียกสิ่งนี้ว่า "ข้อได้เปรียบของความด้อยทางสิทธิมนุษยชน" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้ม่านเหล็กของลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับแรงงานผู้อพยพของจีน :

เกษตรกรเป็นแหล่งแรงงานราคาถูกหลักในประเทศจีน

คนส่วนใหญ่คิดว่าแรงงานเด็กและแรงงานทาสถูกลิดรอนเสรีภาพส่วนบุคคลของพวกเขา และถูกบังคับให้ทํางานในเรือนจําหรือที่อื่น ในความเป็นจริงเกษตรกรจีนเป็นแรงงานระดับต่ําที่สุด เมื่อพวกเขาถูกมองว่าไม่มีคุณค่าแล้ว สิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงความเจ็บป่วยและความตายเท่านั้น

สถิติอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนแสดงให้เห็นว่าอัตราการฆ่าตัวตายของผู้สูงอายุในชนบทของจีนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 4-5 เท่า และหลายคนเลือกที่จะฆ่าตัวตายเมื่อเจ็บป่วย

เงินบํานาญของเกษตรกรชาวจีนอยู่ระหว่าง 100 ถึง 200 หยวนต่อเดือน ในขณะที่เงินบํานาญเฉลี่ยสําหรับคนงานในเมืองมากกว่า 3,000 หยวน เมื่อเกษตรกรแก่ชรา พวกเขาจะไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่ต้องพูดถึงการจ่ายเงินเพื่อรักษาโรคร้ายแรง

ประมาณปี 2014 หลิว เยี่ยนอู่ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ไปเยี่ยมหมู่บ้านมากกว่า 40 แห่ง ใน 11 มณฑลในประเทศจีน เช่น หูเป่ย์ ซานตง เจียงซู ซานซี เหอหนาน กุ้ยโจว ฯลฯ ตลอดระยะเวลานานกว่า 6 ปี เธอค้นพบความน่าสะพรึงกลัวว่าอัตราการฆ่าตัวตายของเกษตรกรสูงมากจนชาวบ้านชินชา

ตัวอย่าง ลูกชายคนหนึ่งทํางานอยู่ไกลบ้าน เขาขอลา 7 วัน เพื่อกลับบ้านหลังจากที่เขารู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก เมื่ออาการของพ่อดีขึ้น ลูกชายถามเขาว่า "พ่อจะตายไหม ผมขอลมาเพียง 7 วัน ในนี้รวมจำนวนวันที่จะจัดงานศพของพ่อด้วย" พ่อของเขาฆ่าตัวตาย

อีกตัวอย่างหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งในอำเภอจิงซาน มณฑลหูเป่ย์ สวมเสื้อผ้าที่สะอาดและนั่งอยู่กลางบ้าน เผาเงินกระดาษให้ตัวเองในเตาขณะดื่มยาฆ่าแมลง เมื่อเงินกระดาษถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง ชายคนนี้ก็หมดสติ เมื่อมีคนพบเขา เขาหยุดหายใจไปแล้ว ชาวบ้านพูดว่า "เขากลัวว่าหลังจากที่เขาตาย ลูก ๆ ของเขาจะไม่เผาเงินกระดาษให้เขา ดังนั้นเขาจึงทําเอง"

แม้เรื่องเหล่านี้จะฟังดูน่าขนลุก แต่เรื่องราวที่คล้ายกันนี้กําลังเกิดขึ้นในชนบทของจีนจริง ๆ หลังจากการล้างสมองหลายสิบปีโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความเมตตาและศีลธรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนหายไปนานแล้ว การพรากชีวิตพ่อแม่ที่เป็นไปไม่ได้แม้แต่ในหมู่สัตว์ มันได้เกิดขึ้นจริง ๆ ในประเทศจีนภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เจีย ซูหวา จากมหาวิทยาลัยการแพทย์ต้าเหลียน เคยทำการสืบสวนและพบว่า "90% ของคนที่ฆ่าตัวตายในพื้นที่ชนบทไม่เคยขอความช่วยเหลือใด ๆ และความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการที่ครอบครัวของผู้ที่ฆ่าตัวตายได้รับผ่านช่องทางระดับชาติและรัฐบาลนั้นเกือบเป็นศูนย์"

บทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMC Public Health ในเดือนเมษายน 2020 แสดงให้เห็นว่า อุบัติการณ์ของครัวเรือนล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล (incidence of catastrophic health expenditure) ของประชาชนในวัยกลางคนและผู้สูงอายุในประเทศจีน (20.3%) สูงกว่าในประเทศที่มีรายได้ต่ําและรายได้ปานกลางอื่น ๆ เช่น โคลอมเบีย (9.6%) และอินเดีย (7%) ในอิหร่าน อุบัติการณ์ของครัวเรือนล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับครัวเรือนในชนบทอยู่ที่ 0.5% - 14.3% และในเมืองอยู่ที่ 0.48% - 13.27%

ข้อมูลจากสํานักข่าวซินหัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม 2020 แสดงให้เห็นว่า ในบรรดาครัวเรือนยากจนที่ขึ้นทะเบียนของจีน มีมากกว่า 42% ที่อยู่ในภาวะยากจนหรือกลับสู่ความยากจนเนื่องจากความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความยากจนในหมู่ประชากรในชนบท

เกษตรกรซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรจีน คือแรงงานหลักที่สร้างรถไฟความเร็วสูง เมือง และที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชย์ราคาถูก แต่หลังออกจากสถานที่ก่อสร้างหรือโรงงาน พวกเขาจะกลายเป็นประชากรที่ถูกทอดทิ้งหรือ "ไร้ประโยชน์" เกษตรกรจีนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเพียงเครื่องมือ และพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่สนใจว่าพวกเขาจะอยู่รอดหรือไม่

การซื้อแบบรวมเป็นหนึ่งเดียวของสังคมนิยม : ฝันร้ายทางสังคม ไม่ใช่ข้อได้เปรียบของสถาบัน

สังคมนิยมเป็นฝันร้ายของเกษตรกร ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดําเนินการจัดซื้อและทำการตลาดแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว เกษตรกรมักถูกบังคับให้ส่งธัญพืช "เจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านของฉันบังคับให้ผู้คนอดอยากจนตาย การปันส่วนอาหารทั้งหมดของเราถูกยึด และพวกเขาก็ยังไม่เชื่อเรา ในสภาพอากาศหนาว ประชาชนไม่มีเสื้อใส่ … พวกเขาทนไม่ไหว จึงผูกคอตาย" สวี เจียหยวน ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเหวินเจิ้นในมณฑลเจ้อเจียงในปี 1958 พูด "ฉันคิดว่าการซื้อและขายธัญพืชแบบรวมเป็นหนึ่งเดียวเป็นแนวคิดซ้ายจัด มันคร่าชีวิตผู้คนมากมาย" แต่คําพูดดังกล่าวถูกโจมตี และสวีก็ตกเป็นเป้าหมายระหว่างการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา

อีกคนหนึ่งพูดว่า "รัฐบาลของประชาชนต้องการข้าวทุกเมล็ด... แต่เราไม่มีแม้แต่โจ๊กที่จะกินได้ครบสามมื้อ เจียงไคเช็ค [ผู้นํารัฐบาลชาตินิยมที่ปกครองจีนก่อนพรรคคอมมิวนิสต์จีน] ถูกกล่าวหาว่าเลวร้าย [ตามโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน] แต่ตอนนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวขาวกินครบสามมื้อ" พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังพุ่งเป้าไปที่บุคคลนี้ด้วย

อีกคนหนึ่งที่รัฐบาลนี้โจมตีในมณฑลซานตงพูดว่า "คนงานมีรายได้ 40 ถึง 50 หยวนต่อเดือน เกษตรกรมีรายได้ 40 ถึง 50 หยวนต่อปี ฉันขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่านี่ไม่ใช่ความเหนือกว่า"

เกษตรกรไม่มีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวและค่าจ้างก็ไม่พอที่จะเลี้ยงตัวเอง สภาพของพวกเขาเหมือนถูกขังอยู่ในค่ายกักกัน นี่คือสถานการณ์ที่แท้จริงของเกษตรกรจีนเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ช่องว่างของรายได้ระหว่างพวกเขากับประชาชนในเขตเมืองประมาณ 15 ถึง 30 เท่า นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประเทศจีน ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา การทำให้เกษตรกรตกอยู่ในสภาพทาสของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่หยุดเลย

ภาพลักษณ์ที่สวยหรู "โฆษณาชวนเชื่อต่อชาวต่างชาติ"

ทำไมผู้คนไม่รู้สึกเห็นใจความทุกข์ทรมานเหล่านี้อีกแล้ว ทั้งหมดนี้เกิดจาก "โฆษณาชวนเชื่อต่อชาวต่างชาติ" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภาพลักษณ์ที่ชาญฉลาด และการใช้สื่อของรัฐเพื่อเผยแพร่แต่ด้านที่ดูดีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่โศกนาฏกรรมของผู้คนที่เกิดขึ้นจริงและชีวิตที่ต่ำต้อยกลับไม่มีใครพูดถึง

ในทางกลับกัน สินค้าราคาถูกที่ประเทศจีนส่งออกทําให้ชาวตะวันตกเชื่อว่า ไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเลวร้ายแค่ไหน แต่สินค้าที่พวกเขาผลิตก็มีคุณภาพดีและราคาถูก จึงมองว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ยังคงมีข้อดีอยู่บ้าง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูกเพื่อทําให้ชาวตะวันตกต้องพึ่งพา และกลายเป็นจุดเชื่อมโยงที่ขาดไม่ได้ในห่วงโซ่อุปทานของโลก

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสินค้าส่งออกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ก่อให้เกิดสารอันตรายร้ายแรงในอเมริกาเหนือคือเฟนทานิล (fentanyl)

ยาเสพติดและอาวุธ

นิตยสาร The Economist รายงานว่า แม้พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะอ้างว่าได้ปิดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดบางแห่งในเดือนมกราคมปีนี้ แต่การซื้อขายสารเคมีทางออนไลน์ยังคงแพร่หลายมาก ตัวอย่างหนึ่งคือแพลตฟอร์มการซื้อขายสารเคมีในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งโฆษณาอย่างเปิดเผยว่า "จัดส่งอย่างปลอดภัยไปยังเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา" และโพรโมตสารตั้งต้นของเฟนทานิลที่ถูกห้ามคือ 1-boc-4-AP สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ใช้เงินเพียง 3,600 ดอลลาร์จากผู้ขายออนไลน์ชาวจีน เพื่อผลิตเฟนทานิล 750,000 เม็ด (มูลค่าประมาณ 3 ล้านดอลลาร์)

รายงานของคณะกรรมาธิการสองพรรคของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน 2024 ชี้ให้เห็นปัญหาสําคัญว่า แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีความสามารถในการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวด แต่ก็ปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับยาเสพติดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ภายในประเทศเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน จีนได้ใช้ปัญหาเฟนทานิลเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ "ความเสื่อมโทรม" ของประเทศประชาธิปไตยตะวันตก

ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Centers for Disease Control and Prevention, CDC) ปี 2023 รายงานจํานวนผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐอเมริกามากกว่า 100,000 ราย ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 ปี ในจำนวนนี้เป็นฝิ่นสังเคราะห์ 68% แคทเทอรีน คียส์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สารเสพติดจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา พูดว่าตัวเลขนี้น่าสะเทือนใจมาก "นี่เป็นจํานวนผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดที่เราไม่เคยเห็นในประเทศนี้มาก่อน" Associated Press รายงาน

เฟนทานิลไม่ใช่แค่ปัญหายาเสพติด แต่กลายเป็นเครื่องมือต่อรองในเวทีระหว่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตราบใดที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังอยู่ในอำนาจ วิกฤตเฟนทานิลก็ไม่มีวันสิ้นสุด

ความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษยชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

พรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีขีดจำกัด—มันไม่สนใจชีวิต กําจัดศรัทธา และพยายามควบคุมทุกสิ่ง พรรคคอมมิวนิสต์ใช้ความเชื่อแบบอเทวนิยมเพื่อทําลายวัฒนธรรมดั้งเดิมและศีลธรรม ควบคุมประชาชนด้วยความรุนแรงและการโกหก และทําให้ชนชั้นล่างเป็นทาสเพื่อแลกกับความเจริญรุ่งเรืองที่ภายนอก

พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ได้ควบคุมเพียงประชาชนจีน แต่ยังเผยแพร่ค่านิยมที่บิดเบี้ยวของตนไปทั่วโลกผ่าน BRI และ "สงครามไร้ข้อจํากัด" ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เทคโนโลยี การบริโภค วัฒนธรรม และสาขาอื่น ๆ การใช้เฟนทานิลเป็นอาวุธเป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น

สรุป

พรรคคอมมิวนิสต์จีนสาบานว่าจะต่อต้านค่านิยมดั้งเดิมดังเช่นหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน สิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์เรียกคือ "ข้อได้เปรียบเชิงระบบ" และ "ข้อได้เปรียบของความด้อยทางสิทธิมนุษยชน" เป็นเพียงคําโกหกที่ใช้เพื่อหลอกลวงประชาคมโลก ประเทศที่นําระบบนี้มาใช้อาจได้รับความรุ่งโรจน์ในระยะสั้นเช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายนั้นเป็นระยะยาว นั่นคือพวกเขาจะสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชน ระบบนี้กลายเป็นวงจรทุจริตของกลุ่มผลประโยชน์ และรัฐบาลที่ปกปิดความจริง

ผู้ที่ยอมรับอุดมการณ์ต่อต้านมนุษย์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะนำอันตรายมาสู่อนาคตของตน พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังได้รับผลกรรมตอบสนองในหลายด้านจากการประทุษร้ายความจริง-ความเมตตา-ความอดทน หากประเทศไม่หันกลับคืนสู่ค่านิยมดั้งเดิม สิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็จะร้ายแรงยิ่งกว่าแผ่นดินไหวและตึกถล่ม มีเพียงการมองทะลุหน้ากากของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจนเห็นธาตุแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น ที่จะทำให้ประชาชนและประเทศต่าง ๆ หลุดพ้นจากภัยอันตรายของลัทธิมาร์กซิสต์ สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ได้ และเมื่อนั้นความชั่วร้ายเหล่านี้จะออกจากเวทีของประวัติศาสตร์ได้ในที่สุด สิ่งที่จะสร้างประเทศจีนขึ้นมาใหม่คือค่านิยมดั้งเดิมอย่างเช่นหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน ไม่ใช่การอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน