(Minghui.org) ฉันมานิวยอร์กเพื่อเข้าร่วมการประชุมฝ่าเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ทำงานกับโครงการสื่อที่ดำเนินการโดยผู้ฝึก
ในปีที่ผ่านมา ความยากลำบากเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทั้งการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำและกระแสข่าวจากสื่อที่ตามมา ซึ่งเผยให้เห็นจิตยึดติดที่ซ่อนเร้นอยู่มากมายของฉัน
อารมณ์ของฉันขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนรถไฟเหาะ แม้ว่าฉันจะพยายามอย่างหนักในการรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่ฉันมักรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจเมื่อถูกอารมณ์ครอบงำ ฉันรู้สึกว่าความคิดของฉันไม่ชัดเจนและเฉียบคมเหมือนเมื่อก่อน เกิดอะไรขึ้น
ปีนี้ฉันมักนั่งเงียบ ๆ หน้าภาพถ่ายของท่านอาจารย์หลี่และถามว่า "ท่านอาจารย์ ฉันควรทําอย่างไร ฉันสับสนเหลือเกิน ฉันกำลังทําสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ฉันผิดหรือเปล่า" ความขัดแย้งระหว่างคนยากกว่าการแก้ปัญหาเอกสารหรือข้อมูลอย่างมาก ครั้งหนึ่งฉันเคยรู้สึกเหนื่อยล้าและโหยหาชีวิตที่เงียบสงบ ฉันคิดว่าบางทีการลาออกอาจจะดีกว่า แต่ถ้ามีความคิดเช่นนั้น ฉันจะยังเป็นศิษย์ต้าฝ่าได้อย่างไร ไม่ได้ ฉันต้องอยู่ต่อ !
ต่อไปนี้เป็นการรับรู้และประสบการณ์บางส่วนของฉันในปีที่ผ่านมาในขณะที่ฉันพยายามปล่อยวางจิตยึดติด ฉันหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับผู้ฝึกอื่น มันเป็นกระบวนการที่ฉันดึงตัวเองออกจากรังไหมและออกจากวิธีคิดที่เป็นลบ
เรียนรู้ที่จะเป็นมืออาชีพมากขึ้น
เมื่อผู้นำชุดใหม่เข้ามา ฉันมีโอกาสติดต่อสื่อสารและเรียนรู้จากผู้ฝึกชาวตะวันตกที่เคยทํางานในบริษัททั่วไปมาก่อน
ฉันชอบการทำงานด้วยกันแบบนี้ ความคิดที่ชัดเจนและการแสดงออกที่ตรงไปตรงมาทำให้ฉันไม่ต้องคาดเดา ซึ่งทําให้ฉันเต็มใจที่จะทํางานกับพวกเขามากขึ้น พวกเขาเป็นเหมือนกระจกสะท้อนถึงปัญหาหลายอย่างของฉัน เช่น การเร่งรีบให้งานเสร็จ ใช้ทางลัด ไม่คำนึงถึงผลระยะยาว และมุ่งหวังผลเฉพาะหน้าเท่านั้น
แน่นอนว่าในกระบวนการเรียนรู้และทํางานกับพวกเขา มีบางครั้งที่ฉันไม่อดทนอยู่บ้าง พวกเขาอยู่ในวงการสื่อมาหลายปี คุ้นเคยกับรายละเอียดภายในและมีประสบการณ์ ต่างจากฉันที่เพิ่งเข้ามาและยังไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจมากนัก
ในระหว่างการประชุม ถึงแม้ภายนอกฉันจะดูสงบและพูดด้วยน้ําเสียงที่สุภาพ แต่ในใจฉันว้าวุ่นอยู่ บางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่พวกเขาเสนอดูเหมือนสมบูรณ์แบบในแวบแรก แต่ที่จริงวิธีเหล่านี้ยังห่างไกลจากสถานการณ์ปัจจุบันของเรามากเกินไปและไม่สามารถนําไปใช้ได้เลย หลายครั้งที่ฉันสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรได้ไม่ดี ฉันกังวลมากจนโทรหาพวกเขาโดยตรง หลังจากวางสาย ฉันรู้สึกไม่สบายใจอยู่นาน
ขณะนั่งรถไฟกลับบ้าน ฉันเริ่มไตร่ตรองว่าทําไมฉันถึงเป็นแบบนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนใจร้อน แต่ลึก ๆ แล้วมันเป็นการผสมผสานที่ซับซ้อนของจิตยึดติดที่ฝังรากลึก ทั้งความอิจฉาริษยา ความอยากมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ ความรู้สึกด้อยค่า และแม้แต่ความหยิ่งทะนง ดูเผิน ๆ ฉันเป็นคนใจร้อน คิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งออกคำสั่งโดยไม่รู้อะไรมากนัก แต่ที่จริงแล้วมันคือความอิจฉาริษยาและความรู้สึกด้อยค่า
พวกเขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แสดงออกแบบมืออาชีพ และมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมท้องถิ่นโดยธรรมชาติ ในขณะที่ฉันต้องศึกษาเพิ่มเติมเกือบทุกอย่างเพื่อให้ผ่านบททดสอบ ตั้งแต่บทสนทนาในชีวิตประจําวันจนถึงคำศัพท์เฉพาะทาง เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ
ฉันอิจฉาพวกเขาที่สามารถทํางานเป็นเวลา เลิกงานตรงเวลา มีเวลาใช้ชีวิต และทํางานจากระยะไกลได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนผู้ฝึกของเราจากแผ่นดินใหญ่คุ้นเคยกับการอดทนต่อความยากลําบากและรับผิดชอบงาน พวกเขารับงานเร่งด่วนโดยไม่ปริปากบ่น หัวใจของฉันรู้สึกไม่สมดุลอย่างมาก
ช่างเป็นความอิจฉาที่รุนแรงเหลือเกิน ! อย่างไรก็ตาม การค้นพบจิตยึดติดเป็นก้าวแรกในการขจัดมัน หลังจากไตร่ตรองมากขึ้น ฉันก็เห็นว่าเรารับภาระงานได้มากขึ้นด้วยความเต็มใจหลังจากรับรู้ในฝ่า ถ้าเราทําได้ดี ก็เป็นเพราะปัญญาที่เราได้รับจากฝ่า
เพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกมีอัธยาศัยดี ที่จริงพวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากและมีระบบ ใจของฉันค่อย ๆ สงบลง การพร่ำบ่นและความไม่พอใจในตอนแรกของฉันก็เปลี่ยนเป็นความตั้งใจที่จะร่วมมือกันและทําสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันให้ดี
การเสริมกันและร่วมมือกันเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว
ปีนี้บริษัทได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงระบบเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดเคร่งครัดขึ้น บางงานที่ฉันเคยเป็นผู้รับผิดชอบในตอนแรกถูกโอนให้คนอื่นในวันถัดไปแม้ฉันได้ทําไปแล้ว ฉันถูกถอดออกจากบางกลุ่มงานโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า สถานการณ์เหล่านี้ทําให้ฉันรู้สึกสับสนในบางครั้ง
ฉันยังคงทํางานต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่ในใจฉันก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า "ฉันไม่เห็นแก่ตัว" จริงหรือ หลังจากทําบางอย่างมาเป็นเวลานาน มันก็ง่ายที่จะก่อเกิดวิธีคิดโดยไม่รู้ตัว เช่น "นี่คืองานของฉัน นี่คือขอบเขตงานที่ฉันรับผิดชอบ" หรือ "คุณไม่เข้าใจ ฉันจึงต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง" ความคิดแบบนี้คือจิตยึดติดและความเห็นแก่ตัว
ครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งส่งข้อความถึงฉันเป็นการส่วนตัวว่า "ทําไมคุณถึงถูกเตะออกจากกลุ่ม" ฉันตกใจมาก "กลุ่มอะไร ทําไมฉันไม่รู้เรื่องเลย" ความรู้สึกด้านลบก็ตามมา : ฉันรู้สึกไม่มีตัวตน ไม่ได้รับการยอมรับนับถือ รู้สึกเสียหน้า และกระทั่งอยากออกไป แต่หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ฉันก็ถามตัวเองว่า "เธอทําทั้งหมดนี้เพื่ออะไร"
อาจารย์บอกเราว่า
"ยึดฝ่าเป็นใหญ่ ปกป้องโครงการต้าฝ่าให้ดี ทำให้โครงการบังเกิดผลในการช่วยเหลือคนให้ดี เป็นหนึ่งเดียวที่ต้องคิดต้องทำ" (ในเวลาสำคัญดูจิตใจคน)
ไม่สําคัญว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบตราบใดที่โครงการดําเนินไปอย่างราบรื่น หากผู้รับผิดชอบคนปัจจุบันไม่คุ้นเคย ฉันสามารถช่วยเหลือ ส่งต่องาน หรือเขียนขั้นตอนให้ ไม่เป็นไรเลย ตราบใดที่ไม่ทำให้ล่าช้า ทุกอย่างก็สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความร่วมมือ เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของฉันก็เบาขึ้นมาก
ฉันจําความฝันเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ ในฝันมีสงครามเกิดขึ้นในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า มีตึกสูงหลังหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉัน และดูเหมือนว่ามันกําลังจะถูกโจมตี ฉันจึงคิดว่า ไม่นะ ! ดังนั้น ด้วยความคิดเดียว ฉันได้ย้ายตึกนั้นไปยังโลกของฉัน โลกเล็ก ๆ ของฉันเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ที่สงบสุข และตึกระฟ้าหลังนี้ตั้งอยู่บนที่ดินว่างเปล่าโดยไม่มีรากฐาน รอจนกว่าสงครามในเมืองจะยุติ แล้วฉันก็ย้ายมันกลับไป
แล้วฉันก็คิดว่า นั่นไม่ใช่ภาพสะท้อนของช่วงหลายปีที่ฉันทํางานในสื่อหรือ ฉันไม่มีพื้นฐานด้านสื่อที่แข็งแกร่ง แต่ฉันเป็นคนเรียนรู้เร็ว วงการสื่อมีการหมุนเวียนของบุคลากรสูง และมีช่องว่างในการส่งต่องาน ฉันเลยรับงานหลายโครงการที่คนก่อนทิ้งไว้ บางโครงการก็เกินความสามารถของฉัน แต่ฉันก็ต้องรับมา เช่นเดียวกับตึกนั้น ที่วางไว้ชั่วคราวอย่างมั่นคงในที่ของฉัน คิดว่า เมื่อคนที่เหมาะสมเข้ามา ฉันจะส่งคืนให้เขา และก่อนที่ใครจะรับผิดชอบ ฉันจะเติมเต็มอย่างเงียบ ๆ และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทําให้ถูกต้อง
เทพทำสําเร็จด้วยหนึ่งความคิด
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลายโครงการติดอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายสำนวน "ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน" ใครควรเป็นผู้นํา จะดําเนินการอย่างไร
เช้าวันหนึ่ง คําสอนของท่านอาจารย์ก็ผุดขึ้นในใจของฉันอย่างฉับพลัน :
"เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยบอกทุกท่านแล้ว เทพจะสร้างอะไร เพียงแต่คิดก็สำเร็จ" (ศิษย์ต้าฝ่าจำเป็นต้องศึกษาฝ่า การบรรยายฝ่า ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยวอชิงตัน 2011)
ในช่วงนั้น ฉันครุ่นคิดถึงฝ่านี้ซ้ําแล้วซ้ําเล่า ฉันรับผิดชอบการดําเนินงานด้านรายได้จากการโฆษณา และหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดที่สื่อต้องเผชิญในปัจจุบันคือความน่าเชื่อถือของแบรนด์
รายงานของหน่วยงานจัดอันดับสื่อบางแห่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาให้คะแนนเราต่ํามาก ทำให้ผู้ลงโฆษณา แพลตฟอร์มโฆษณา และ SSPs จํานวนมากบล็อกเรา ปฏิเสธเรา หรือยุติความร่วมมือกับเรา เราควรดําเนินการทางกฎหมายหรือควรรอให้สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลง การรอไม่ใช่ทางเลือก
ท่านอาจารย์ต้องการให้เราทำสื่ออย่างเที่ยงธรรมและมีฐานที่มั่นคงในสังคมกระแสหลัก เมื่อหน่วยงานจัดอันดับสื่อกระแสหลักให้คะแนนเราต่ํามาก ประชาชนทั่วไปจะมองเป็นสัญลักษณ์ของการสูญเสียความน่าเชื่อถือของเรา สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่เราควรมี แต่ยังเพิ่มความยากลําบากในการอธิบายความจริงและช่วยเหลือผู้คนอีกด้วย สถานการณ์นี้ต้องพลิกกลับ !
ทันทีที่ฉันมีความคิดว่าฉันต้องทําอะไรบางอย่าง โอกาสก็เกิดขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว จู่ ๆ ฉันก็ได้รับคําเชิญให้เข้าร่วมงานใหญ่สำหรับผู้ประกอบการสื่อ โดยได้รับการยกเว้นค่าที่พักและค่าเข้างาน ฉันไม่มีประสบการณ์ แต่คิดว่านี่เป็นโอกาสในการอธิบายความจริง ฉันจึงตอบรับคําเชิญอย่างมั่นใจและไปคนเดียว
งานนี้เปิดโลกทัศน์ของฉัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวงการนี้ได้มากขึ้น ได้พบปะกับซัปพลายเออร์และเพื่อนในวงการโดยตรง และมีโอกาสอธิบายความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ด้วยความร่วมมือของทีมงานและฝ่ายต่าง ๆ เราก็สามารถติดต่อกับบริษัทจัดอันดับอีกครั้ง และแก้ไขอันดับคะแนนของเราได้สําเร็จ
ในเดือนมีนาคมปีนี้ มีอีกงานหนึ่งที่ผู้บริหารระดับสูงที่มีอำนาจตัดสินใจในวงการโฆษณามาร่วมงาน งานนี้อยู่ในแผนงานของเราด้วย ราวกับท่านอาจารย์เห็นความตั้งใจของเรา ขณะที่ฉันกังวลและลังเลเพราะค่าลงทะเบียนแพง เพื่อนร่วมงานและฉันก็โชคดีมากที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมฟรี 2 ที่นั่ง จากทั้งหมดเพียง 30 ที่ !
ฉันรู้สึกประหลาดใจปนยินดีที่เห็นชื่อคุ้น ๆ ในรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิ์เข้าฟรี ชื่อนี้คือประธานบริษัทจัดอันดับอีกแห่งหนึ่ง ฉันมีภาวะจำใบหน้าไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่ฉันจะจําเธอได้ท่ามกลางผู้คนหลายร้อยคนในงานนี้ แต่บังเอิญเธอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันในช่วงพัก เป็น "ความบังเอิญ" แค่นั้นหรือ เราได้ติดต่อกันอีกครั้งและได้เชื่อมต่อการสื่อสารพูดคุยกัน
ทั้งหมดนี้เหมือนถูกจัดวางไว้ ทําให้ฉันนึกถึงข้อความหนึ่งในฝ่าของท่านอาจารย์ :
“ในการบำเพ็ญ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมอะไร ไม่ว่าจะเป็นระดับช้ั้นไหน ไม่ว่าท่านจะมีฐานะอะไร ท่านรู้สึกว่า เรื่องเหล่าน้ีที่ตนเองทำ เป็นเรื่องบังเอิญ เป็นความโชคดีหรือโชคร้าย หากท่านสามารถมองเห็นไดจริงๆ แล้ว ก็จะพบว่า นั่นล้วนเป็นเพราะคำสัญญาของท่านก่อให้เกิดเส้นทางน้ี้ข้้ึน ไม่มีเรื่องบังเอิญเลย” (การบรรยายฝ่าที่ฝ่าฮุ่ยซานฟรานซิสโก ค.ศ. 2014
ความรับผิดชอบและพันธะสัญญา
ปีนี้เป็นปีที่วงการสื่อทั้งภายในและภายนอกแปรปรวนมาก ฉันเองก็ประสบกับอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันมีพลังงานมากแม้จะทํางานดึกดื่น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้ฉันจะเข้านอนเร็ว ฉันก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ ฉันถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ทําไมฉันถึงบำเพ็ญ ทําไมฉันถึงเข้ามาทำงานสื่อ
ผู้ฝึกเก่ามักเข้าสู่ต้าฝ่าเพื่อบำเพ็ญหลังจากค้นหาในหมู่มนุษย์ ฉันก็เหมือนกับผู้ฝึกหนุ่มสาวหลายคนที่บำเพ็ญกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับการบําเพ็ญจึงมาจากมุมมองทางอารมณ์ คือฉันรู้ว่าความจริง-ความเมตตา-ความอดทนดี และฉันตั้งใจที่จะหลอมรวมตัวเองเข้ากับหลักการนี้และยึดมั่นในการปฏิบัติตามหลักการนี้ นี่คือความเข้าใจในระดับของความรู้สึกมากกว่าความเข้าใจด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความลี้ลับของการบําเพ็ญและความหมายแฝงของการบำเพ็ญสำเร็จบริบูรณ์
ความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับการต่อต้านการประทุษร้ายและการถ่ายทอดความจริงเพื่อช่วยเหลือผู้คนอยู่ในระดับความรู้สึกของมนุษย์อย่าง "ความจงรักภักดี" และ "ความชอบธรรม" มากกว่า ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก แม่ของฉันซึ่งเป็นเพื่อนผู้ฝึกของฉัน บอกฉันว่าการเกิดของฉันเป็นปาฏิหาริย์ และบอกว่าต้าฝ่าและท่านอาจารย์มอบชีวิตให้ฉัน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกขอบคุณเสมอมา และยอมรับแนวคิดเรื่อง "การตอบแทนบุญคุณ" "การเสียสละ" และ "การอุทิศตน" ในหมู่คนธรรมดาโดยธรรมชาติ เราจะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรในเมื่อต้าฝ่ากําลังลำบาก ถูกกดขี่ และถูกใส่ร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ชั่วร้าย ฉันเข้ามาทำงานด้านสื่อด้วยใจแบบนี้เป็นส่วนใหญ่
จุดเริ่มต้นนี้อาจดีในบางระดับ แต่ถ้ามองจากระดับที่สูงขึ้น ความเข้าใจนี้ที่จริงแล้วยังเป็นอารมณ์ และยังคงมีรากฐานมาจากอารมณ์ความรู้สึก มันทําให้ฉันอยู่ในสภาวะของ "การทําสิ่งต่าง ๆ" ถ้าสิ่งที่ฉันทําดูเหมือนจะได้ผลหรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับการอธิบายความจริงและช่วยเหลือผู้คน ฉันจะรู้สึกมีแรงจูงใจ ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ใจของฉันก็จะย่อหย่อนได้ง่าย
ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่สามารถรักษาสภาวะการบำเพ็ญได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และร่างกายของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง หลังจากผ่านไปนาน ร่างกายของฉันก็ทนไม่ได้อีกต่อไป สิ่งที่ทําให้ฉันเหนื่อยยิ่งกว่าคือการรับมือกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันมุ่งเน้นที่การทํางานตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการโฆษณาหรือการพัฒนาทางเทคนิคเพื่อแก้ปัญหาหรือรองรับงานบางอย่าง ฉันเต็มใจที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตามคําแนะนํา
แต่ในช่วง 1 หรือ 2 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่เพียงต้องทํางานของตัวเองให้เสร็จ แต่ยังต้องประสานงานความร่วมมือระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ช่วยบุคลากรใหม่ให้ปรับตัวเข้ากับระบบ จัดการการส่งมอบงาน จัดการการสื่อสารกับภายนอก และมีส่วนร่วมในการวางแผนโครงการ เมื่อต้องพบกับกับผู้นําที่แตกต่างกันที่มีสไตล์และความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ฉันซึ่งเป็นผู้รับจ้างจากภายนอก ก็จําเป็นต้องรักษาสมดุลของทุกฝ่ายและผลักดันงานที่สําคัญให้เดินหน้าไปได้ ความกดดันและความยากลําบากจึงเพิ่มขึ้นมาก
ผู้นํามีความคาดหวังสูงและพยายามสอนงานฉัน แต่ฉันมักจะรู้สึกว่าฉันยังไม่เข้มแข็งพอและยังห่างไกลจากจุดที่ฉันต้องการบรรลุ บางครั้งฉันก็พยายามหลีกเลี่ยงเพราะกลัวว่าจะทําให้เกิดความขัดแย้ง และตอบเพียงว่า "ฉันจะทําในสิ่งที่คุณบอก" แต่กลับนำไปสู่ความสับสนและความขัดแย้งภายใน
แต่พอฉันพยายามให้มากขึ้นในการชําระจิตใจให้บริสุทธิ์ และเลิกสนใจการเปรียบเทียบแข่งขัน ฉันก็ค้นพบว่า เมื่อฉันทําสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิดถูกต้องอย่างแท้จริงโดยไม่แสวงหาผลตอบแทน ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อคุณเทสิ่งสกปรกออกจากขวด ขวดก็จะลอยขึ้นมาเล็กน้อย และระดับชั้นของคุณจะยกระดับขึ้นตามธรรมชาติ อารมณ์ด้านลบมากมายที่เคยกวนใจฉันในตอนนั้น ฉันจําไม่ได้แล้ว ไม่ว่าฉันจะพยายามนึกแค่ไหนก็นึกไม่ออก
นี่ไม่ใช่กระบวนการเปลี่ยนผ่านจากความเข้าใจตามความรู้สึกไปสู่ความเข้าใจด้วยเหตุผลและยกระดับในฝ่าหรือ มีเพียงการบำเพ็ญตนเองอย่างมั่นคงเท่านั้นที่จะสามารถแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ มิฉะนั้น ไม่ว่าคนเราจะมุ่งมั่นแค่ไหน ก็จะไม่สามารถแบกรับภาระได้ ฉันได้ยินผู้ฝึกอาวุโสหลายคนแสดงความผิดหวังที่พวกเราซึ่งเป็นศิษย์หนุ่มสาวยังตามหลังห่างจากพวกเขา ฉันรู้สึกละอายใจมาก และหวังว่าจะแก้ไขตัวเองโดยเร็วที่สุดและรับหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
คําส่งท้าย : ทะนุถนอมความสัมพันธ์และยกระดับไปด้วยกัน
ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ฉันตั้งใจฟังเพื่อนผู้ฝึกเล่าประสบการณ์ที่เขาได้รับฝ่า ความบังเอิญอะไรที่นําเราจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันบนเวทีสื่อแห่งนี้เพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ใช้พลังของสื่อเพื่ออธิบายความจริงและช่วยเหลือสรรพชีวิต การสัมพันธ์นี้ล้ำค่ายิ่ง และฉันเห็นคุณค่าของมันมาก
แม้จะมีความขัดแย้งมากมายดังที่กล่าวถึงในบทความนี้ แต่ที่จริงแล้วเราทํางานด้วยกันได้ดีมากเกือบตลอดเวลา ทุกคนแสดงจุดแข็งของตัวเองและเสริมซึ่งกันและกันเพื่อเอาชนะความยากลําบากร่วมกัน บางคนเก่งด้านการสื่อสารภายนอกและการสร้างความสัมพันธ์ บางคนเชี่ยวชาญด้านการประสานงานและดูแลการดำเนินงานภายใน บางคนมีความสามารถในการกระตุ้นขวัญกําลังใจของทีม บางคนมีความคิดสร้างสรรค์ และบางคนเน้นปฏิบัติและมุ่งมั่นทำงานของตัวเองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
ดังที่ท่านอาจารย์ได้เน้นย้ําในฝ่าหลายครั้ง เราต้องร่วมมือกันให้ดีในโครงการต่าง ๆ บนเส้นทางข้างหน้า ศิษย์จะพากเพียรในการศึกษาฝ่า บำเพ็ญอย่างขยันหมั่นเพียร และร่วมมือกันอย่างดี เพื่อบรรลุข้อกำหนดของท่านอาจารย์ !
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ !
ขอบคุณเพื่อนผู้ฝึก !
บทความที่ผู้บำเพ็ญพูดถึงความเข้าใจของพวกเขาโดยปกติจะสะท้อนถึงการรับรู้ของบุคคลในช่วงเวลาหนึ่งตามสภาวะการบำเพ็ญของพวกเขา และการนำเสนอบทความเหล่านี้มีเจตนาในการช่วยให้ยกระดับร่วมกัน ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์