(Minghui.org) ซุน ซือเม่า เป็นหนึ่งในแพทย์ที่ดีที่สุดของจีน เขามีชีวิตอยู่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 7 ในสมัยราชวงศ์ถัง และได้รับสมญานามว่า “ราชาแห่งการแพทย์” เนื่องจากเขาได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านการแพทย์มากมาย
หนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญของเขาคือ เชียนจิน เย่าฟาง ซึ่งแปลคร่าว ๆ ว่า “สูตรสำคัญ [มีค่าเท่า] ทองคำพันชิ้น”
ในหนังสือเล่มนี้ ซุนกล่าวว่า "ถ้าผู้ใดไร้ศีลธรรม แม้แต่ยาครอบจักรวาลก็รักษาโรคของเขาไม่ได้"
หนังสือเล่มนี้ยังมีความคิดเห็นว่า “ถ้าผู้ใดมีคุณธรรมอยู่เนืองนิตย์ ผู้นั้นจะได้รับพรโดยไม่ต้องอธิษฐาน และจะมีอายุยืนยาวโดยไม่ต้องสักการบูชา”
แล้วคนโบราณบำเพ็ญคุณธรรมอย่างไร
(ต่อจากตอนที่ 2)
จักรพรรดิเฉิงครองราชย์ในช่วง 33 ถึง 7 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นจักรพรรดิลำดับที่ 12 ของราชวงศ์ฮั่น วันหนึ่งเมื่อเขาไปที่คฤหาสน์ของเจ้าหญิงหยางอา เขาพบกับนางระบำนางหนึ่งชื่อเจ้า เฟยเอี้ยน จักรพรรดิหลงเสน่ห์ความงามและพรสวรรค์ของเธอ จึงพาเธอกลับไปที่วัง มอบยศเจี๋ยยวี๋ให้กับเธอ และตามใจเธอในฐานะนางสนมคนโปรดที่สุด
วันหนึ่งจักรพรรดิเฉิงพาเจ้าล่องเรือเพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพ เธอสวมชุดสีม่วงทำจากผ้าไหมเนื้อเบาฝีมือประณีตงดงามซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการจากเวียดนามใต้ ไม่นานเธอก็เริ่มร้องเพลงรักในยามราตรีให้จักรพรรดิฟังด้วยเพลง “Seeing Off the Phoenix” และเริ่มร่ายรำไปด้วย กิริยาท่าทางของเธอทำให้จักรพรรดิหลงเสน่ห์ และออกคำสั่งให้คนรับใช้ของเขา เฝิง อวู๋ฟาง เป่าขลุ่ยประกอบการร้องของเธอด้วย
เมื่อเรือของพวกเขาแล่นไปถึงกลางลำน้ำ ลมก็พัดแรงขึ้นในทันทีเข้าปะทะพวกเขา เจ้าเกือบปลิวไป จักรพรรดิสั่งให้เฝิงช่วยเธอทันที เฝิงทิ้งเครื่องดนตรีของเขาและคว้าเท้าของเจ้าได้ทัน แต่แล้วทุกคนต่างประหลาดใจที่เห็นเจ้ายังคงร่ายรำอย่างสง่างามเหมือนเดิม แม้ว่าเฝิงจะจับเท้าของเธออยู่
คำพูดเริ่มส่งต่อ ๆ กันในวังว่า “เฟยเอี้ยนร่ายรำบนฝ่ามือได้”
ต่อมาจักรพรรดิเฉิงได้รับน้องสาวของเจ้าเป็นนางสนมด้วย เล่ากันว่าเธอถูกตามใจจนเสียคนมากกว่าพี่สาวของเธออีก
สองพี่น้องก่อเรื่องวุ่นวายในวังหลวง พวกเธอใส่ความโดยโกหกว่าฮองเฮาซูใช้เวทมนตร์ ส่งผลให้ฮองเฮาถูกปลดออกจากตำแหน่ง และนางสนมที่มีพรสวรรค์อีกคนหนึ่งถูกซัดทอด เจ้า เฟยเอี้ยน ก็ได้เป็นฮองเฮาแทน
จักรพรรดิเฉิงเสียชีวิตอย่างกะทันหันขณะที่อายุเพียง 44 ปี โดยไม่มีรัชทายาท หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะความหมกมุ่นในกามตัณหามากเกินไปของเขา
กษัตริย์เจี๋ยแห่งเซี่ย หรือเซี่ยเจี๋ย เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 17 และเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เซี่ย เขาถูกมองตามประเพณีดั้งเดิมว่าเป็นผู้นำเผด็จการและเป็นจอมกดขี่ เขายังเป็นคนมักมากในกาม ลุ่มหลงในสุราและนารีทั้งวันทั้งคืน โดยเฉพาะฮองเฮา เม่ยสี่ ที่ถูกตามใจจนเสียคน เขาละเลยกิจการของแผ่นดินและความเป็นอยู่ของราษฎรโดยสิ้นเชิง
ต่อมาเซี่ยเจี๋ยพ่ายแพ้ต่อถังแห่งราชวงศ์ชางในช่วงประมาณ 1600 ปีก่อนคริสตกาล และสิ้นสุดราชวงศ์เซี่ยที่สืบทอดมาประมาณ 500 ปี หลายปีต่อมาเซี่ยเจี๋ยเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยขณะถูกเนรเทศ
กษัตริย์โจ้วซึ่งเป็นราชาองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชางก็มักมากในกามและโหดร้ายพอ ๆ กับเซี่ยเจี๋ย หรืออาจจะหนักกว่า เขาลุ่มหลงต๋าจี่ซึ่งเป็นภรรยาที่ชั่วร้ายของเขาถึงระดับที่น่าขัน และทำทุกอย่างเพื่อให้เธอพึงพอใจ ตั้งแต่แต่งเพลงลามกอนาจารไปจนถึงคิดค้นวิธีการลงโทษที่โหดร้ายและผิดปกติ
การลงโทษดังกล่าวอย่างหนึ่งคือวิธีการทรมานที่เรียกว่า “การเผาเนื้อด้วยเหล็กร้อน” – เหยื่อจะถูกบังคับให้กอดกระบอกทองสัมฤทธิ์กลวงขนาดใหญ่ซึ่งอัดแน่นด้วยถ่านที่ติดไฟอยู่ขณะที่มันร้อนจัดจนเปลี่ยนเป็นสีแดง ส่งผลให้พวกเขาเจ็บปวดและเสียชีวิตในสภาพไม่น่าดู เป็นที่ทราบกันว่ากษัตริย์โจ้วและต๋าจี่ชอบดูการทรมานนี้มาก
เมื่อกองทัพของเขาพ่ายแพ้ต่อกองทัพกบฏของโจ้วในปี 1046 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ได้รวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตน แล้วจุดไฟเผาวังของตัวเองและเผาตัวตาย
ตรงกันข้ามกับผู้ปกครองประเทศที่ชั่วร้ายทั้งสองของจีนสมัยโบราณ ยังมีกษัตริย์ที่น่าเคารพอย่างสูง นายพล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีบุคลิกอันสูงส่ง และไม่ตกเป็นเหยื่อของความชั่วร้ายนี้ จูเก๋อ เลี่ยง (181-234) เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นรัฐบุรุษและนักยุทธศาสตร์ทางการทหารที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมาก เขาทำหน้าที่เป็นเสนาบดีของฉู่ฮั่นในช่วงสามก๊ก (220-280)
กล่าวกันว่า จูเก๋อ เลี่ยงมีความรอบรู้เฉลียวฉลาดสุดยอด และสามารถเห็นการณ์ไกลของเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างอัศจรรย์ด้วยการสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางดาราศาสตร์ ตำราพยากรณ์ที่เขาเขียนใน หม่าเฉียน เค่อ ทำนายล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราชวงศ์ในภายหน้าด้วยความแม่นยำที่น่าทึ่ง
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยตำนาน หนึ่งในนั้นเล่าถึงตอนที่จูเก๋อ เลี่ยงยังเยาว์ เขามักจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเรียนภาษาจีนคลาสสิกและศิลปะการทำสงครามจากปรมาจารย์ผู้เฒ่าตั้งแต่วัยเยาว์ ครั้งหนึ่งระหว่างทางไปที่นั่น เขาชนเข้ากับดรุณีสุดสวยนางหนึ่ง เธอได้เชิญเขาให้เล่นหมากรุกด้วย พวกเขาดื่มชาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่นั้นมาเขาจะแวะเยี่ยมเธอทุกครั้งที่ไปภูเขา และทั้งสองก็สนทนากันอย่างสนุกสนานเสมอ เขาค่อย ๆ มีสมาธิในการศึกษาน้อยลงทีละน้อย ทีละน้อย
“ตัดต้นไม้ย่อมง่ายกว่าการปลูกมาก !” อาจารย์ของเขาพูดกับจูเก๋อ เลี่ยง เมื่อท่านอาจารย์สังเกตเห็นความไม่ใส่ใจของเขา “เจ้าควบคุมความรู้สึกไม่ได้เมื่อเห็นหญิงงามคนนั้น แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้ก็คือดรุณีนางนี้ไม่ใช่หญิงสาว ที่จริงร่างที่แท้จริงของเธอคือนกกระเรียนในสวรรค์ เธอมักจะมาที่โลกโลกีย์เพื่อล่อลวงมนุษย์”
จูเก๋อ เลี่ยง รู้สึกละอายใจมากและถามอาจารย์ว่าจะหนีให้ห่างเธอได้อย่างไร
“จงซ่อนเสื้อผ้าของเธอในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำในทะเลสาบ” อาจารย์บอกเขา “เมื่อเธอมาหาเจ้าในร่างแท้ของเธอ จงตีเธอด้วยไม้เท้าของเจ้า”
เป็นตามนั้นจริง ๆ เมื่อหญิงสาวหาเสื้อผ้าของเธอไม่พบ เธอจึงกลายร่างเป็นนกกระเรียน นกกระเรียนพยายามใช้จะงอยปากจิกตาของจูเก๋อ เลี่ยง แต่จูเก๋อ เลี่ยงคว้าหางของมัน แล้วตีมันด้วยไม้เท้าของเขาเหมือนที่อาจารย์แนะนำมา นกกระเรียนดิ้นหลุดแล้วบินหนีไป แต่ขนนกยังอยู่ในมือของจูเก๋อ เลี่ยง เต็มมือ ตั้งแต่ตอนที่เขาดึงหางมันไว้
พอไม่มีหาง นกกระเรียนก็มาที่โลกมนุษย์ไม่ได้อีก เพื่อเตือนตัวเองถึงบทเรียนครั้งนี้ จูเก๋อ เลี่ยง จึงทำพัดจากขนของนกกระเรียนและใช้มันตลอดชีวิตของเขา
ครั้งหนึ่งขงจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อชายหนุ่มยังอายุน้อย พละกำลังของเขายังไม่มั่นคง เขาต้องระวังการยั่วยวนใจทางเพศ”
จูเก๋อ เลี่ยง เชื่อฟังอาจารย์ของเขาและรู้สึกตัวได้ทันเวลา เมื่อถึงเวลาแต่งงาน เขาเลือกภรรยาที่ดูเรียบ ๆ ธรรมดา ๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณธรรม
(มีต่อ)
บทความ กราฟิก และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บน Minghui.org มีลิขสิทธิ์ อนุญาตให้ทำสำเนาที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ได้ แต่ต้องระบุแหล่งที่มาพร้อมชื่อบทความและลิงก์ไปยังบทความต้นฉบับ