บรรยายธรรม ณ ที่ประชุมศึกษาวิจัยการสร้างสรรค์งานวิจิตรศิลป์

หลี่ หงจื้อ
21 กรกฎาคม ค.ศ. 2003
วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา

ผู้ฝึกที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนแต่ทำงานเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์วิจิตรศิลป์ ต่างก็มีความสามารถทางเทคนิคในสาขาวิชา ข้าพเจ้าจะพูดไปตามความคิดจะพาไป ข้าพเจ้าจะพูดในด้านหลักการ(เหตุผล)ของฝ่า วิจิตรศิลป์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาติ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมอื่นๆ ของมนุษย์ มันสามารถส่งผลในการชี้นำต่อทัศนคติของคนแบบหนึ่งในสังคมมนุษย์ มีอิทธิพลต่อทัศนคติของมนุษย์ในการประเมินความสวยงาม ว่าอะไรคือความสวยงาม อะไรคือความรู้สึกที่ถูกต้องต่อความสวยงามที่มนุษย์สมควรมี นี้สัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับมาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์ หากคนเห็นสิ่งที่ไม่สวยงามเป็นความสวยงาม เช่นนั้นศีลธรรมของมนุษย์เป็นอันจบสิ้นแล้ว

ศีลธรรมมนุษย์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา ศีลธรรมของมนุษย์โดยตัวเองจะมีอิทธิพลต่อศิลปะของมนุษย์ และศิลปะก็หันกลับมามีอิทธิพลต่อมนุษย์ ทุกท่านเห็นแล้ว ศิลปะในปัจจุบันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างนั้นถูกสร้างสรรค์ออกมาจากความคิดสมัยใหม่ ขณะที่มนุษย์ในปัจจุบันก็ได้หลุดออกไปไกลจากขอบเขตศีลธรรมและมาตรฐานซึ่งมนุษย์สมควรมี ฉะนั้นสิ่งที่เรียกกันว่าศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาหาใช่วัฒนธรรมของมนุษย์แล้ว เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างสรรค์ออกมาในขณะที่มีสติสัญปชัญญะและมีสติแจ่มชัด และไม่ใช่สิ่งที่สวยงามของมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งสร้างสรรค์ออกมาจากเจิ้งเนี่ยน(ความคิดถูกต้อง) ซั่นเนี่ยน(ความคิดดีงาม)ของคน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความสวยงามของศิลปะ เมื่อเป็นเช่นนี้ศิลปะจึงเสื่อมทราม อย่างเช่นศิลปะในปัจจุบัน พูดกันอย่างเข้มงวด มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นของมนุษย์แล้ว บ่อยครั้งเวลาข้าพเจ้าดูผลงานบางชิ้นที่เรียกกันว่าศิลปะสมัยใหม่ ยิ่งกว่านั้นบางชิ้นยังเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมาก แท้จริงแล้วล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ของจิตมาร ไม่เพียงแต่มีความเป็นจิตมาร หลายๆ คนขณะที่ค้นหาแรงดลใจในการวาดภาพ จะฝักใฝ่พฤติกรรมของผีปีศาจ เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ย่อมมีจิตใจมืดมน ผิดปกติ คนที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปะต่างก็รู้ ในขณะที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่ปล่อยให้สภาวะจิตหลงระเริงไปกับด้านจิตชั่วของมนุษย์ กระทั่งตั้งใจแสวงหาการสนองตอบของจิตใจชั่วช้า ฉะนั้นสิ่งที่เรียกกันว่าศิลปะสมัยใหม่เหล่านั้น โดยทั่วไปล้วนแต่ไม่ค่อยดีนัก เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นโทษต่อคนวาด ยังเป็นอันตรายต่อจิตใจของคนดู และยังส่งผลในการบ่อนทำลายทัศนคติทางศีลธรรมของมนุษย์อย่างร้ายแรงอีกด้วย

แต่ในการบำเพ็ญและการดำรงชีวิต ศิษย์ต้าฝ่าก็ไม่สามารถหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมของสังคมของคนธรรมดาสามัญนี้ (ท่าน) ก็อยู่ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งทัศนคติของคนยุคปัจจุบัน และได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมนี้ ยิ่งกว่านั้นก่อนที่จะศึกษาต้าฝ่า ก็มีศิษย์ต้าฝ่าจำนวนมากที่ศึกษาหรือทำงานเกี่ยวกับศิลปะ แน่นอนข้าพเจ้าคิดว่า ไม่ว่าท่านจะทำงานเกี่ยวกับศิลปะสมัยใหม่ก็ดี ทำงานเกี่ยวกับศิลปะดั้งเดิมขนานแท้ที่มนุษย์สมควรมีอย่างแท้จริงก็ดี วิชาความรู้พื้นฐานที่ท่านร่ำเรียนมาในอดีตควรที่จะเหมือนกัน ฉะนั้นศิษย์ต้าฝ่าต้องเข้าใจให้แจ่มแจ้งว่าอะไรคือศิลปะที่มนุษย์สมควรมี เช่นนั้นก็สามารถปฏิบัติไปตามมาตรฐานของศิลปะที่บริสุทธิ์และถูกต้องของมนุษย์ ก็จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีออกมาได้

เหตุใดพวกเราจึงจัดการประชุมครั้งนี้ในวันนี้ ทุกท่านทราบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์ต้าฝ่ากระทำในช่วงประวัติศาสตร์ของวันนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ข้าพเจ้ายังพูดอยู่เมื่อวาน ข้าพเจ้าพูดว่าสิ่งใดที่ศิษย์ต้าฝ่าทำ ไม่นานสังคมมนุษย์ก็จะเลียนแบบ ณ ปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเจิ้งฝ่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่เคลื่อนไปโดยรอบต้าฝ่า นี้เป็นสิ่งที่แน่นอน เพราะสามภพนั้นสร้างขี้นเพื่อต้าฝ่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับทุกท่านในวันนี้ เพราะศิษย์ต้าฝ่าที่มีเทคนิคความสามารถด้านศิลปะประเภทนี้มีความสามารถและมีพลังงาน สิ่งที่พวกท่านทำออกมาหากไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องเท่าที่ควร พวกท่านก็จะเสริมสร้างกำลังให้แก่องค์ประกอบที่ไม่ถูกต้องอันนั้น และส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์มากยิ่งขึ้น การบำเพ็ญ ท่านก็ต้องบำเพ็ญโดยปรับตัวเองให้ถูกต้อง บำเพ็ญโดยขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พวกท่านก็สมควรต้องเป็นคนดี เช่นนั้นในอาณาจักร (สาขา) ของศิลปะ พวกท่านก็ต้องปฏิบัติตนเป็นคนดี ในผลงานของท่านก็เช่นกัน ต้องแสดงออกซึ่งความดีงาม ถูกต้อง บริสุทธิ์ ความดีและแสงสว่าง

เมื่อศีลธรรมของสังคมมนุษย์ได้ตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้ ทัศนคติของมนุษย์ก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น พัฒนามาจนถึงขั้นนี้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกให้คนหวนกลับมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าใคร ทฤษฎีอะไร วิธีอะไรก็ไม่สามารถทำให้คนกลับไปอีกแล้ว มีเพียงต้าฝ่าเท่านั้นจึงจะทำได้ พวกท่านตามข้าพเจ้ามาเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิต ในเวลาเดียวกันในความหมายของการช่วยเหลือสรรพชีวิตของเราก็ครอบคลุมไปถึงการผดุงรักษาศีลธรรมของมนุษย์เอาไว้และคนที่ได้รับการช่วยเหลือจะคงอยู่อย่างไรในอนาคต จะดำรงชีวิตอย่างไร มีชีวิตอยู่ในสภาพเช่นไร พูดอีกนัยหนึ่ง ศิษย์ต้าฝ่าไม่เพียงแต่ช่วยเหลือสรรพชีวิต ยังกำลังบุกเบิกหนทางการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริงให้แก่สรรพชีวิตในอนาคตอีกด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่ากำลังทำกันอยู่ในระหว่างการยืนยันความถูกต้องของฝ่า

ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าสามภพจะคงอยู่ตลอดไป มันจะคงอยู่อย่างไร นี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องทำในช่วงเวลาที่ฝ่าปรับโลกมนุษย์ให้ถูกต้อง เช่นกันทุกสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่ากระทำในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ก็เป็นการก่อตั้งพื้นฐานให้แก่คนในอนาคต วัฒนธรรมในอนาคต คนในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างยุ่งเหยิงสับสนไปหมดแล้ว สิ่งที่มนุษย์ดั้งเดิมขนานแท้สมควรมีแทบจะไม่มีเหลือแล้ว สิ่งที่บริสุทธิ์ถูกต้องไม่มีเหลือแม้แต่น้อย ยังโชคดีที่คนโบราณได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมเหลือไว้ให้บ้าง ไม่ได้ถูกทำลายทิ้งไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศิลปกรรม ได้ทิ้งความรู้พื้นฐานเหลือไว้ให้บ้างเพื่อศึกษาเล่าเรียน ซึ่งจะทำให้คนที่ศึกษาวิจิตรศิลป์สามารถยึดกุมสิ่งที่เป็นความรู้พื้นฐานที่สุดได้บ้างในการหวนคืนสู่หนทางแห่งมนุษย์ เช่นนั้น (เรา) จะใช้สิ่งที่พื้นฐานที่สุดเหล่านี้อย่างไรในการเดินสู่ทางของมนุษย์อย่างแท้จริง (เรา) จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีออกมาอย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่า มีความรู้พื้นฐานเป็นรากฐาน บวกกับความดี ความถูกต้องอย่างแท้จริง ความสวยงามที่บริสุทธิ์ซึ่งศิษย์ต้าฝ่าได้รับรู้และเข้าใจในระหว่างบำเพ็ญ ก็สามารถจะแสดงสิ่งที่ดีออกมา

พูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึงวิวัฒนาการของมนุษยชาติ และขั้นตอนการพัฒนาของศิลปะของมนุษยชาติตามที่ข้าพเจ้ามองเห็น

อันที่จริงศิลปะตะวันออกและตะวันตกของมนุษยชาติล้วนมีขั้นตอนของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมถอย ศิลปะตะวันออกและศิลปะตะวันตกนั้นเป็นเส้นทางการเดินสองเส้นที่ต่างกัน นี่เป็นการใช้คำพูดของคน แท้จริงแล้วมันคือรูปธรรมของปรากฏการณ์ทางด้านศิลปะของการดำรงชีวิตของ ชีวิต ณ ระดับชั้นต่ำสุดของแต่ละระบบจักรวาลที่ใหญ่และต่างกันสองอัน --- มนุษย์ก็คือการสะท้อนของสิ่งต่างๆ ของระบบจักรวาลนั้นๆ ณ ระดับชั้นที่ต่ำสุดของมนุษย์ตรงนี้ อันที่จริงในจักรวาลมีนภาใหญ่ต่างๆมากมาย มากมายเหลือหลาย ล้วนแต่เป็นเที่ยนถี่ (ร่างจักรวาล) ที่ใหญ่มหึมาและเป็นเอกเทศ ในนภาใหญ่แต่ละอันก็มีโครงสร้างที่พิเศษเฉพาะซึ่งปรากฏออกมาในลีลาท่วงทำนองต่างๆของตัวเองอย่างอิสระ ใช้คำพูดของคนก็คือ มีเอกลักษณ์ทางศิลปะต่างกัน เที่ยนถี่ (ร่างจักรวาล) ที่ใหญ่มหึมาแต่ละอันก็มีหลักการ (เหตุผล) ต่างๆ ของการรับรู้ถูกต้อง (เจิ้งอู้) จากการเข้าใจในเจิน ซั่น เหยิ่น มูลฐานแห่งหลักการของฝ่า เมื่อเป็นเช่นนี้ระบบเทียนถี่ต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์ของความพิเศษของระบบตนเอง ปรากฏรูปธรรมเป็นโครงสร้างของฟ้าดิน (สวรรค์และปฐพี) สภาวะแวดล้อม รูปแบบของชีวิต สิ่งประดับประดาของชีวิต ท่วงทำนองการออกแบบของสิ่งปลูกสร้าง รูปแบบหน้าตาของสัตว์และพืชประเภทต่างๆ เป็นต้น พวกมันล้วนมีรูปแบบวิธีที่พิเศษเฉพาะ ถูกต้องของตัวเองในการแสดงออกซึ่งความสวยงาม รูปแบบวิธีในการถ่ายทอดมิตรภาพ และความรู้คุณ ฉะนั้น ในบรรดาสิ่งสร้างสรรค์ในระบบจักรวาลอันมากมาย รูปแบบวิธีการแสดงออกของชีวิตชั้นต่ำสุดที่สืบทอดมาถึงที่ตรงนี้ของมนุษย์ โดยพื้นฐานมีสองระบบ ซึ่งรวมถึงศิลปะตะวันออกและตะวันตก แต่ในร่างนภาอันใหญ่มหึมา ไม่ใช่มีเพียงสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าหมายความว่าที่สืบทอดมาถึงที่ตรงนี้ของมนุษย์มีเพียงสองประเภทเท่านั้น

พูดถึงระบบศิลปะสองประเภทนี้ของมนุษยชาติ ในวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติทั้งของทางตะวันออกและตะวันตกต่างก็มีขั้นตอนของการสืบทอดต่อๆกัน เป็นพันๆ ปี แต่ท่วงทำนองหรือลักษณะของศิลปะสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างมาก แตกต่างกันทั้งทางด้านวิธีการ รูปแบบของการแสดงออก การให้ความรู้สึก การสัมผัสรับรู้ทางสายตา ในขั้นตอนของการสืบทอด นับตั้งแต่ต้นศิลปะจีนก็ก่อตั้งอยู่บนวัฒนธรรมของกึ่งเทพ พูดอีกนัยหนึ่งคือการเน้นน้ำหนักครึ่งหนึ่งไม่ได้อยู่ที่ชั้นพื้นผิวของมนุษย์ แต่เน้นไปที่ความมีเสน่ห์น่าเคลิบเคลิ้มและความหมายข้างใน ฉะนั้นรวมถึงวัฒนธรรมทั้งหมด ล้วนมีเอกลักษณ์แสดงออกมาเช่นนี้ โดยเฉพาะทางด้านวิจิตรศิลป์ จะไม่เน้นการถ่ายทอดในรายละเอียดของชั้นพื้นผิวมากนัก จะเน้นถ่ายทอดนัยความคิด ถ่ายทอดความหมายข้างใน ศิลปะตะวันตกเช่นกันเป็นสิ่งที่เทพสืบทอดให้แก่มนุษย์ แต่ของเขา เน้นน้ำหนักไปที่วัฒนธรรมชั้นพื้นผิวของมนุษย์ เน้นความโดดเด่นทางวิธีการไปที่ความเลอเลิศ ความแม่นยำถูกต้อง ความละเอียดประณีต งานฝีมือที่เหมือนของจริง เน้นน้ำหนักไปที่การสำแดงความสามารถทางเทคนิค ณ มิติชั้นพื้นผิวของมนุษย์ ฉะนั้นในผลงานของวิจิตรศิลป์ การแสดงออกของชั้นพื้นผิวของวัตถุจึงละเอียดประณีต ถูกต้องและแม่นยำอย่างยิ่ง ดังนั้นลักษณะท่วงทำนองของศิลปะตะวันตกและของจีนจึงเป็นสองเส้นทางที่ต่างกัน ในขั้นตอนของการพัฒนา ศิลปะตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากอารยธรรมครั้งก่อน แท้จริงแล้วศิลปะตะวันตกสืบสานต่อๆ กันมาในรูปแบบของศาสตร์วิชาแขนงหนึ่งนับแต่อารยธรรมหลายยุคที่แล้ว มีโรงเรียน มีทฤษฎี มีการฝึกอบรมที่เป็นแบบแผน ฉะนั้นมันเดินมาตามทางสายนี้มาโดยตลอด แต่การสืบสานต่อกันของศิลปะตะวันออกนั้น สืบทอดต่อกันในหมู่ประชาชนตลอดมา สืบทอดต่อๆ กันในหมู่บัณฑิต ช่างฝีมือ และในหมู่ผู้แสวงเต๋า ไม่มีระบบทางทฤษฎี ไม่มีโรงเรียน ไม่มีการฝึกอบรบที่เป็นแบบแผน การแสดงออกทางชิ้นงานต้องอาศัยประสบการณ์ของคนทั้งสิ้น โดยเฉพาะชิ้นงานปั้นสลัก สืบเนื่องจากเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนจีน สิ่งที่สะท้อนออกมาจากภาพวาดและงานปั้นสลัก โดยพื้นฐานก็คือการสำแดงอุปนิสัยทางวัฒนธรรมของคนจีน โดยไม่รู้ตัวก็กำลังแสดงออกซึ่งนัยความคิด ฉะนั้นดูอย่างนี้ วิธีในการแสดงออกจึงแตกต่างกันอย่างมาก ดูจาก ณ ชั้นพื้นผิวที่สุดของมนุษย์ ในด้านวิธีการวิจิตรศิลป์ตะวันตกนั้นมีความละเอียดประณีตอย่างยิ่ง กำหนดให้ต้องมีความแม่นยำถูกต้องในเรื่องความสว่างและความมืด โครงสร้าง รูปทรงมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างของร่างกายมนุษย์นั้นถ่ายทอดออกมาได้ถูกต้องแม่นยำมากๆ แต่ในศิลปะโบราณของจีน เนื่องจากไม่มีทฤษฎีที่เป็นระบบและการศึกษาวิจัยที่เป็นวิชาเฉพาะ ฉะนั้นจึงทำให้โครงสร้างชั้นพื้นผิวที่สุดของวัตถุ ถ่ายทอดออกมาขาดความถูกต้องแม่นยำเท่าที่ควร

เส้นทางของศิลปะมักจะดำเนินจากระยะแรกของมันไปสู่จุดสุดยอดแล้วตกลงมาเสมอ วัฒนธรรมทั้งหมดของมนุษยชาติก็เดินตามทิศทางแบบนี้เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษยชาติล้วนอยู่ท่ามกลางการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมถอยและดับสูญ อันเป็นคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลในอดีต ฉะนั้นเมื่อศีลธรรมของมนุษย์มาถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว เมื่อทุกสิ่งไม่ไหวแล้วก็ต้องตั้งต้นกันใหม่ สำหรับมนุษยชาติก็คือภัยพิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดำเนินสู่จุดสุดยอดแล้วตกลงมาอีก หมุนครบรอบแล้วเริ่มหมุนรอบใหม่

ศิลปะโบราณของจีน เนื่องจากไม่มีระบบของการวิจัยและการศึกษาเป็นเฉพาะสาขาวิชา โดยพื้นฐานการควบคุมในเรื่องรูปทรงมิติของร่างกายคนและวัตถุจึงทำได้ไม่แม่นยำ หลังจากปลายราชวงศ์ชิงคนที่ทำงานวิจิตรศิลป์ของจีน ก็ได้เรียนรู้ความชำนาญในวิชาพื้นฐานของวิจิตรศิลป์ตะวันตกเป็นจำนวนมาก รูปลักษณ์ภายนอกของชิ้นงาน ณ ชั้นพื้นผิวจึงมีความถูกต้องแม่นยำ จึงมีผลงานเช่นนี้ออกมาบ้าง แต่เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนก็ได้รับอิทธิพลจากสำนึกสมัยใหม่ ยิ่งนานวันผลงานจึงแย่ลงแย่ลงเรื่อยๆ ทัศนคติจะเปลี่ยนแปลงเมื่อสำนึกของคนเปลี่ยนไป หากเจิ้งเนี่ยนของคนไม่ทำหน้าที่บัญชาการ คอยพึ่งพาแต่ความรู้สึกจากสำนึกชั้นพื้นผิวของคนเสียทั้งหมด โดยไม่ใช้ความเข้าใจรับรู้ของความคิดแท้จริง (เจินเนี่ยน) ไม่ไตร่ตรองอย่างมีสติแจ่มชัดด้วยตัวเองอย่างแท้จริง นั่นก็เสมือนหนึ่งไม่มีจิตวิญญาณ สำนึกของคนนั้นก่อเกิดภายหลังกำเนิด ณ ชั้นผิวของคน ปรากฏออกมาเป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆ ของใต้สำนึก สำนึกนั้นไม่หนักแน่นมั่นคง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไข สภาวะภายนอก และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในสังคม หากพึ่งพา (อาศัย) แต่สิ่งเหล่านี้เสียทั้งหมดเท่ากับไม่มีความคิดของตัวเอง (จู่เนี่ยน) และไม่มีระบบ ไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน ไม่มีเจิ้งเนี่ยน ไม่มีตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งที่ทำออกมาภายใต้สภาวะของสำนึกแบบนี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าศิลปะสมัยใหม่ ผลงานวิจิตรศิลป์สมัยใหม่ แรกเริ่มที่มีความนิยมในสิ่งของประเภทนี้ คือการปรากฏออกมาของสำนักประทับใจ (impressionist) และของสำนักนามธรรม (abstractionist) ของตะวันตกในช่วงแรกๆ ถ้าท่านดูสิ่งเหล่านั้นด้วยจิตใจสงบ รับรองว่ามันเหมือนทำออกมาจากทัศนคติ ณ ชั้นพื้นผิวของคนโดยที่ความคิดแท้จริง (เจินเนี่ยน) ของคนไม่คงอยู่ มันไม่เป็นระบบ ไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน ไม่เป็นระเบียบ ไม่ปะติดปะต่อ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถ่ายทอดคืออะไร ไม่ให้ความรู้สึกที่สวยงามแก่คน ทำไปตามสำนึกชั้นพื้นผิวของคน ในเวลานั้นผลงานเหล่านั้นที่พวกเขาทำออกมา เห็นเป็นรูปจมูกเบี้ยว ใบหน้าครึ่งหนึ่ง ขาข้างหนึ่งงอกออกจากลำตัวด้านหลัง ตั้งแต่ต้นสิ่งเหล่านี้ก็คือทำออกมา โดยที่คนได้ละทิ้งความคิดของตัวเอง (จู่เนี่ยน) และเจิ้งเนี่ยน เป็นผลิตผลซึ่งทัศนคติภายหลังกำเนิดของคนควบคุมแขนขาและร่างกายคนให้ทำออกมา การละทิ้งสำนึกหลักโดยปล่อยให้ทัศนคติของคน ณ ชั้นพื้นผิวบรรเลงไปตามใจชอบจึงจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ การปรากฏของสิ่งเหล่านี้ได้บ่อนทำลายศิลปะตะวันตก ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งสุดยอดสมบูรณ์แบบของมนุษยชาติทั้งหมด ในช่วงหลังนี้อิทธิพลนั้นได้แพร่มาถึงประเทศจีน

นี่ยังเป็นเพียงช่วงแรกของศิลปะสมัยใหม่ เพราะเมื่อศีลธรรมของสังคมเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ทัศนคติของคนจะไม่หยุดอยู่ตรงนั้น มันก็ลื่นไหลตามลงมา สิ่งเหล่านั้นของสำนักประทับใจ (impressionist) และของสำนักนามธรรม (abstractionist) ระยะแรกไม่ให้ความสนใจต่อความถูกต้องแม่นยำของรูปทรงมิติ รอยต่อของแสงสว่างกับความมืด และความถูกต้องแม่นยำของโครงสร้างอย่างสิ้นเชิง มุ่งแสวงหาแต่สิ่งที่เรียกกันว่าความรู้สึกส่วนบุคคลกันมากขึ้นมากขึ้น เข้าใจอย่างผิดๆ โดยเห็นการหลงระเริงอย่างไร้เหตุผลแบบนี้เป็นการปลดปล่อยความเป็นมนุษย์ของตน นี่เป็นการยับยั้งจิตดั้งเดิมของตนอย่างแท้จริง ปล่อยให้สำนึกภายหลังกำเนิดหลงระเริงแบบไม่มีตัวเอง ไม่มีตัวจริงของฉัน การให้สี ละเลงอย่างหนักหน่วงฉูดฉาด หลงระเริงอยู่ในความรู้สึกในแบบซึ่งทัศนคติด้านความคิดด้วยเหตุด้วยผลไม่แจ่มชัดอย่างสิ้นเชิง และทัศนคตินั้นก่อเกิดภายหลังคนกำเนิด มันไม่ใช่ความคิดแท้จริงของคน มันไม่เป็นระเบียบ ไม่มีมาตรฐาน ไม่เป็นระบบ ดังนั้นสิ่งที่มันละเลงออกมาจึงเป็นอย่างนี้ มองดูไม่ผสมผสานสอดคล้องอย่างสิ้นเชิง มาถึงช่วงหลังเมื่อทัศนคติด้านศีลธรรมของมนุษย์ตกต่ำลงไปอีก มันก็เข้าสู่สำนึกที่ต่ำยิ่งกว่าระดับมาตรฐานแบบหนึ่ง และสำนึกที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานแบบนี้จึงไม่ใช่เพียงทัศนคติเท่านั้นแล้ว เมื่อความคิดตัวเอง (จู่เนี่ยน) ของคน ตัวจริงของฉันละทิ้งที่จะควบคุมชั้นพื้นผิวของคน สิ่งมีชีวิตจากภายนอกก็จะฉวยโอกาสจู่โจมเข้าไป เมื่อมาถึงขั้นนี้สำนึกจากภายนอกก็เข้าควบคุมสมองในร่างกายคนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้ปรากฏการแสดงออก (ทางศิลปะ) ซึ่งมีสีสันหนักมากขึ้น มืดครึ้มมากขึ้น แสงก็มืดขมุกขมัว ช่างเป็นสภาวะจิตที่สะท้อนจิตมนุษย์ที่ซึมเศร้าโดยสิ้นเชิง เมื่อตกต่ำลงไปอีก บวกกับถูกกระตุ้นจากความอยากมีชื่อเสียงและผลประโยชน์ในสังคม และแสวงหาการละทิ้งตัวเองให้หมดสิ้น ถึงเวลานี้ทัศนคติภายหลังกำเนิดก็ไม่เอาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายที่ปราศจากตัวเองโดยสิ้นเชิง ร้อยทั้งร้อยก็จะถูกควบคุมโดยสำนึกจากภายนอก และสำนึกจากภายนอกเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็คือสิ่งมีชีวิตในยมโลก ส่วนใหญ่เป็นผีและวิญญาณ นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สวรรค์เมื่อศีลธรรมมนุษย์เสื่อมถอย ในเวลาที่นักเขียนภาพถูกสิ่งมีชีวิตที่มืดมนควบคุม สิ่งที่วาดออกมา มองดูแล้วสิ่งที่ถ่ายทอดก็คือยมโลกและวัตถุในยมโลก ภาพวาดจำนวนมากมองดูก็คือภาพร่างของโลกของผี ขมุกขมัว มืดๆ เลอะเลือนไม่ชัดเจน ภาพของสิ่งที่เรียกว่าคนก็คล้ายวิญญาณภูตผี ปฐพีในยมโลก ท้องฟ้าในยมโลก ความรู้สึกอย่างนี้เหตุใดคนจึงรู้สึกว่ามันดี นี่ไม่ใช่เป็นเพราะคนไม่มีเจิ้งเนี่ยนหรอกหรือ นี่ไม่ใช่เป็นการแสวงหาความมืดมนหรอกหรือ นี่ไม่ใช่เป็นเพราะศีลธรรมของมนุษยชาติตกต่ำอย่างใหญ่หลวงหรอกหรือ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการที่คนเดินไปสู่มิติในชั้นที่ต่ำยิ่งกว่ามนุษย์เท่านั้น เพราะศีลธรรมของมนุษยชาติยังคงไถลต่ำลงไปอีก มาถึงวันนี้ ศิลปะได้กลายเป็นสิ่งที่จะสะท้อนจิตมารของมนุษยชาติอย่างแท้จริงแน่นอน ศิลปะได้เดินสู่การลบหลู่ต่อความศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะ กลายเป็นเครื่องมือสำหรับปลดเปลื้องจิตมารอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่แสดงออกมาล้วนแต่เป็น ภูต มาร ผี ปีศาจทั้งสิ้น ตัวศิลปินเองก็ยอมรับว่าเป็นขยะทั้งสิ้น แต่ท่ามกลางกระแสนิยมในสิ่งที่เรียกกันว่าศิลปะคนกลับเห็นว่ามันมีคุณค่าที่สุด ขยะจะมีคุณค่าที่สุดได้อย่างไร เพราะทัศนคติของคนกลับตาลปัตรไปเสียแล้ว เข้าใจว่าขยะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

นี่คือประวัติศาสตร์ของวิจิตรศิลป์ของมนุษยชาติ เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงขั้นตอนในส่วนสำคัญ จากนี้ข้าพเจ้าจะเริ่มพูดจากศิลปะตะวันตก ทุกท่านทราบไหม ในสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุใดประเทศฝรั่งเศสจึงถูกให้เป็นฝ่ายแพ้สงคราม คนฝรั่งเศสไม่มีความสามารถจะทำสงครามหรือ ชนชาตินี้ในอดีตไม่ใช่เคยมีวีรบุรุษเช่น นโปเลียน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรอกหรือ ชนชาตินี้มิใช่ก็เคยมีประวัติศาสตร์ที่เกรียงไกรหรอกหรือ แท้จริงแล้วสงครามของมนุษยชาตินั้นเทพเป็นผู้ควบคุมให้อุบัติขึ้นอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่เกิดขึ้นตามความต้องการของมนุษย์ ฝรั่งเศสไม่ได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองโดยตรง เป้าหมายของเทพคือ ต้องการจะรักษาผลงานศิลปกรรมของอารยธรรมมนุษยชาติครั้งนี้ที่มีอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเหล่านั้น นั้นก็เป็นความเกรียงไกรที่สุด สิ่งที่มีค่าแก่ความภูมิใจมากที่สุดของมนุษยชาติ และเป็นศิลปะดั้งเดิมขนานแท้สมบูรณ์แบบที่สุดของมนุษยชาติอย่างแท้จริง ถ้าหากมีการทำสงคราม (ที่นั่น) ผลงานศิลปกรรมที่เก็บรักษาอยู่ในพระราชวังลูฟวร์และพระราชวังแวร์ไซส์เป็นต้นก็คงถูกทำลายหมดไปแล้ว ศิลปะตามท้องถนนของกรุงปารีสเหล่านั้นก็คงไม่มีเหลือ เป็นเทพที่ต้องการเหลือสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ไว้ให้แก่มนุษย์ จุดประสงค์เพื่อว่าในอนาคตมนุษย์ยังสามารถใช้เป็นสิ่งอ้างอิงและค้นหาศิลปะของตัวเองกลับคืนมา ศิษย์ต้าฝ่าก็สามารถหาทางกลับมาจากพื้นฐานความชำนาญที่มีอยู่ในศิลปะดั้งเดิมขนานแท้เหล่านี้

ศิลปะตะวันตก ในระหว่างอารยธรรมหลายๆ ครั้งในอดีต ด้วยการเรียนรู้ในศาสตร์วิชา คนก็พัฒนาจนสุกงอมขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปสู่หนทางของอารยธรรมครั้งก่อน แต่หลังจากที่อารยธรรมครั้งก่อนถูกทำลายไป ก็จะปรากฏช่วงเวลาซึ่งความรู้พื้นฐานยังไม่สุกงอม ทุกท่านอาจเห็นได้จากในผลงานวิจิตรศิลป์ตะวันตก อย่างเช่นผลงานก่อนการเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดีและผลงานในช่วงของการเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดี ผลงานในช่วงหลังจากการเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดีและสิ่งที่เป็นของสมัยใหม่ มีขั้นตอนเป็นเช่นนี้ ก่อนการเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดี ดูในภาพรวม มาตรฐานทางศิลปะของผลงานอยู่ในระดับที่ไม่สุกงอมอย่างมาก การประกอบภาพ โครงสร้าง สัดส่วน การให้สีเป็นต้น ทุกท่านก็เห็นแล้วว่ามันไม่สุกงอมเลย ไม่ว่าจะเป็นการวาด การปั้นสลัก ล้วนแต่ไม่สุกงอม แต่แล้วคนก็ได้ขุดพบเศษซากของอารยธรรมครั้งก่อนจากวัตถุโบราณที่ขุดพบในตะวันตก บ้างก็เป็นรูปปั้นสลักของเทพ และยังมีงานปั้นสลักอื่นๆ จากอารยธรรมกรีกโบราณครั้งที่แล้ว ล้วนแต่เป็นผลงานที่สุกงอมและสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง เนื่องจากมีพื้นฐานของอารยธรรมเหล่านี้ ศิลปะตะวันตกจึงสุกงอมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพราะมีของในอดีตสามารถจะศึกษา เปรียบเทียบ จึงสุกงอมขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว มาถึงช่วงหลังจากการเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดี การปรากฏของลีโอนาโด ดาร์วินชี่ และศิลปินเหล่านั้น อันที่จริงเป็นความตั้งใจของเทพที่ต้องการให้พวกเขานำพาคนเดินไปสู่ความสุกงอมทางศิลปะ บอกกล่าวให้คนทำผลงานอย่างไรให้สำเร็จ ฉะนั้นในเวลานั้นผลงานของพวกเขาจึงมีอิทธิพลต่อมนุษย์ชาติอย่างมาก แต่ศิลปะสมัยใหม่ในยุคหลังก็เป็นการจัดเตรียมโดยเทพบางจำพวก ก็คือกลุ่มอิทธิพลเก่าที่ก่อกวนการเจิ้งฝ่าในวันนี้ เหตุใดจึงมีคนอย่างแวนโกะปรากฏออกมา เหตุใดจึงมีคนอย่างปีกัสโซปรากฏออกมา คนเหล่านี้ก็เป็นพวกมันที่จัดเตรียมให้มา แต่ให้ก่อผลในด้านลบ จุดประสงค์คือเมื่อศีลธรรมของมนุษยชาติตกต่ำลงไป ก็ต้องการให้วัฒนธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติเสื่อมถอยไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นสองคนนี้มาเพื่อทำให้ศิลปะของมนุษยชาติยุ่งเหยิงสับสน คือมีจุดประสงค์เพื่อบ่อนทำลายศิลปะของมนุษยชาติ เป็นการมาเพื่อทำลายวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยสิ้นเชิง จากรากฐานของสิ่งที่เรียกกันว่าสำนักสมัยใหม่ (modernism) ที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นในระยะแรก ศิลปะของมนุษยชาติจึงได้เดินมาสู่สภาพของจิตมารเช่นนี้ในวันนี้

ครั้งแรกที่ศิลปะดั้งเดิมขนานแท้ถูกโจมตีจากสิ่งที่เรียกว่าสำนักประทับใจ (impressionist) นั้น เป็นเวลาเดียวกับที่เทคนิคการถ่ายภาพปรากฏออกมาพอดี ในการพูดโจมตี คำโต้แย้งที่ธรรมดาที่สุดจากคนของฝ่ายที่เรียกว่าสำนักประทับใจ (impressionist) คือ “ต่อให้ท่านวาดได้ถูกต้องแม่นยำอย่างไร จะถูกต้องแม่นยำได้เท่ากับภาพถ่ายหรือ” ด้วยเหตุนี้จึงปฏิเสธที่จะวาดวัตถุสิ่งของให้เหมือน วาดให้สมจริง วาดตามแบบดั้งเดิมขนานแท้และอย่างถูกต้องแม่นยำ อันที่จริงศิลปะดั้งเดิมขนานแท้สำหรับคนแล้ว เป็นการแสวงหาความสมบูรณ์แบบที่สูงด้วยคุณภาพ และไม่มีขอบเขตจำกัด มิติของศิลปะดั้งเดิมขนานแท้มีความหมายกว้างอย่างยิ่ง เพราะผลงานที่สำเร็จชิ้นหนึ่งไม่เพียงแต่ต้องเหมือนของจริงเท่านั้น แท้จริงแล้วยังห่อหุ้มด้วยประสบการณ์ชีวิตและอุปนิสัยส่วนตัวของศิลปิน สิ่งต่างๆ ที่ศิลปินเคยข้องเกี่ยวและสัมผัสมาในชีวิต ความรู้และความสามารถทางเทคนิคในแต่ละสาขาวิชาและทุกๆ ด้านที่เขามีความเชี่ยวชาญในชีวิต ล้วนแต่ถ่ายทอดอยู่ในผลงานของเขา ดังนั้นสิ่งของอย่างเดียวกัน ในผลงานแต่ละคนจะถ่ายทอดออกมาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้สี ลีลาความรู้สึกไปจนถึงระดับความเชี่ยวชาญทางเทคนิค เนื่องจากแต่ละคนมีประสบการณ์ของชีวิตต่างกัน อุปนิสัยของศิลปินมีเอกลักษณ์ต่างกัน ล้วนทำให้ผลงานแตกต่างกัน และสิ่งที่จะต้องแสดงออกมาคือ โลกแห่งความหลากหลายและชีวิตในอาณาจักรเขตแดนที่สูงขึ้นไปอีก กระทั่งปรากฏการณ์ที่ดีงามของเทพและโลกของเทพ ฉะนั้นจึงเป็นทางสายใหญ่ที่สว่างไสวไร้ขอบเขตจำกัด ตามปกติศิลปินที่วาดได้ดี ปั้นแกะสลักได้ดีนั้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะพุ่งความคิดไปที่ผลงานของตัวเอง ดังนั้นคนส่วนใหญ่ไม่ชำนาญในการพูด ในขณะที่คนที่วาดได้ไม่ดี ปั้นแกะสลักได้ไม่ดีกลับพูดเก่ง สิ่งที่พูดล้วนแต่เป็นคำพูดที่รุนแรงและเหตุผลที่บิดเบือน ศิลปะดั้งเดิมขนานแท้จึงถูกหักล้างลงไปจริงๆ ด้วยข้อโต้เถียงของการใช้เทคนิคการถ่ายภาพ และสถานการณ์จึงค่อยๆ เดินสู่สภาพในทุกวันนี้ แน่นอน ในตอนแรกที่ศิลปะดั้งเดิมขนานแท้จะถูกหักล้างนั้น คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิจิตรศิลป์ คนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวิจิตรศิลป์เลยนั้น ไม่สามารถจะทำได้ ดังนั้นจึงจัดเตรียมให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของสำนักสมัยใหม่ (modernism) สองสามรายได้เรียนรู้ความรู้พื้นฐานในวัยเด็กในตอนแรกเสียก่อน เช่นนี้จึงสามารถทำให้คนในโลกสับสนหลงผิดกันมากยิ่งขึ้น

จากการโต้เถียงระหว่างสายสถาบันศึกษา สำนักประทับใจ (impressionist) และสำนักนามธรรม (abstractionist) ในระยะแรก จากการตกต่ำเสื่อมถอยของศีลธรรมมนุษยชาติและทัศนคติถึงขั้นปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะอย่างแท้จริงของมนุษยชาติ และเพื่อความอยู่รอด ศิลปินในสายดั้งเดิมขนานแท้จึงยืนหยัดยึดครองได้มิติ (พื้นที่) ที่เล็กๆ ปัจจุบันนี้ศิลปะดั้งเดิมขนานแท้ถูกเรียกว่า “สำนักเขียนภาพจริง” (realism) ในอดีตไม่มีคำพูดเช่นนี้ จุดประสงค์ที่เทพให้ศิลปะแก่คนก็เพื่อให้คนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ดีและสวยงามที่มนุษยชาติเลื่อมใสศรัทธา นี้จะส่งผลบวก (ดี) ต่อศีลธรรมของมนุษยชาติ เนื่องจากการเสื่อมถอยของศีลธรรมมนุษยชาติ ศิลปะดั้งเดิมขนานแท้ของมนุษยชาติกลับถูกกระแสนิยมของการปลดปล่อยจิตมารเบียดออกมาจากห้องโถงของสถาบันศึกษา เพื่อความอยู่รอดศิลปะดั้งเดิมขนานแท้จึงได้กลายมาเป็น “สำนักเขียนภาพจริง” (realism) คำว่าเขียนภาพจริงจึงมีความเป็นมาเช่นนี้

ปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษยชาติล้วนแต่เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างนี้ พวกท่านรู้สึกไหม พวกที่ไม่รู้วิธีการออกเสียง ไม่เข้าใจหลักการดนตรี ไม่มีความรู้พื้นฐานของการเต้นรำก็กลายเป็นดารานักร้อง ดารานักเต้นระบำ ศิลปินแท้จริงทั้งหลายกลับไม่อาจจะหาเลี้ยงชีพ แม้แต่คนที่รู้วิธีตัดผมก็ถูกขับออกไปตั้งร้านตามข้างถนน ส่วนคนไม่รู้วิธีตัดผมกลับได้อยู่ในร้านทำผมที่หรูหรา ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษยชาติล้วนกำลังลื่นไหลตกต่ำลงไปยังทิศทางตรงกันข้าม ล้วนกำลังเดินไปสู่การเสื่อมถอยอย่างนี้ ขณะที่สิ่งที่เรียกว่าสำนักสมัยใหม่ (modernism) ซึ่งก่อนหน้านี้แสวงหาความรู้สึกสัมผัสของส่วนบุคคลอะไรประเภทนั้น ต่อมาภายหลังได้เดินสู่การสูญเสียการควบคุมตัวเอง ปัจจุบันนี้มาถึงขั้นที่มอบตัวเองให้ผีควบคุม อย่างนี้ยังจะสามารถทำสิ่งที่ดีออกมาได้อีกหรือ หยิบเอาของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าของสำนักสมัยใหม่ (modernism) ออกมาแขวนไว้ตรงนั้นแล้วบอกให้ทุกคนดู “โอ้ ท่านดูภาพนี้วาดได้ดีเพียงใด” ถ้าเขาไม่พูดให้ฟัง ใครก็ไม่รู้ว่าที่เขาพูดว่าดีนั้นมันดีที่ตรงไหน และสิ่งที่เขาบอกว่าดีกลับเป็นจิตมาร ยิ่งกว่านั้นยังสำแดงถึงความไม่ประสาในศิลปะอย่างน่าขัน ถ้าความคิดของท่านไม่ตามเขาเข้าไปในจิตมารของเขา ท่านก็ไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่เขาบอกว่าดีนั้นคืออะไร แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นขยะที่เป็นอันตรายต่อคนทั้งสิ้น

แน่นอนคนจำนวนมากจะแห่ไปตามกระแสนิยม ประชาชนส่วนใหญ่นั้นไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านั้นของสำนักสมัยใหม่ (modernism) ท่านบอกว่านี่ล้วนแต่เป็นขยะ คนพวกนั้นที่ทำสิ่งเหล่านี้ก็จะบอกว่ายิ่งเหมือนขยะซิยิ่งดี ทุกท่านต่างได้ยินคนพูดแล้วว่า ประเทศจีนมีคนที่เรียกว่าศิลปินคนหนึ่งกินเนื้อของเด็กที่ตายแล้ว ก่อนหน้านี้เคยได้ยินรายงานข่าวไม่ใช่หรือ ก็คือแสวงหาจิตมารได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ สิ่งเหล่านี้พัฒนาต่อไปมันไม่น่ากลัวหรอกหรือ ศิลปะของมนุษยชาติเป็นเช่นนี้ต่อไปจะกลายเป็นอะไรนั้น อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องพูดกันแล้ว

ข้าพเจ้าจะพูดต่ออีกหน่อยว่าอะไรคือสิ่งที่ศิลปะของมนุษยชาติควรแสดง ศิลปะมนุษยชาติมีเพื่อจะแสดงตัวมนุษย์เองหรือ หรือมีเพื่อจะแสดงภูเขา น้ำ ทิวทัศน์ หรือมีเพื่อจะแสดงเทพ หรือผี ต้องรู้ว่าศิลปะอย่างแท้จริงของมนุษยชาติมีปรากฏครั้งแรกในโบสถ์ของเทพ จุดประสงค์อีกประการหนึ่งที่เทพถ่ายทอดวัฒนธรรมประเภทนี้ให้แก่มนุษย์ก็คือ เพื่อให้มนุษย์ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สง่างามของเทพ ให้เชื่อว่าดีชั่วย่อมได้รับผลกรรมตอบแทน ทำชั่วจะได้รับกรรมตามสนอง คนดีจะได้ความสุขตอบแทน ผู้บำเพ็ญจะขึ้นสวรรค์ การปรากฏของศิลปะตะวันตกทั้งหมดเริ่มต้นจากในโบสถ์ รูปปั้นของตะวันออกในสมัยแรกๆ เกือบจะทั้งหมดเป็นรูปปั้นสลักของเทพ ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุด ในสมัยแรกสุดที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศจีนก็ล้วนแต่เป็นภาพวาดของเทพ มนุษย์วาดเทพมีขอบเขตจำกัดไหม ไม่มีขอบเขตจำกัด จักรวาลที่กว้างใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวงในนภาจักรวาลอันมหึมา ในเวลาที่มนุษย์นับถือเทพอย่างจริงๆ เวลาที่คิดจะถ่ายทอดเทพออกมาจริงๆ เทพจะปรากฏออกมาให้มนุษย์ได้เห็น นั่นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ใฝ่หาและเป็นที่พักพิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด ผลงานที่ถ่ายทอดออกก็จะไร้ขอบเขตจำกัด

ทุกท่านทราบ ถ้าคนจะวาดเทพก็ต้องใช้คนเป็นแบบ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะเทพสร้างมนุษย์ตามรูปลักษณ์ของตนเอง การเอาคนมาใช้เพื่อฝึกฝนความรู้พื้นฐานนั้นไม่มีปัญหา คนวาดคนก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ทำได้ เพราะถึงอย่างไรมนุษย์ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ (แกนสำคัญ) ของโลก วาดภูเขา น้ำก็ยิ่งไม่ใช่ประเด็น แต่จุดศูนย์รวมของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของมนุษยชาติควรจะเป็นเทพ เหตุใดจึงพูดอย่างนี้ ทุกท่านลองคิดดู มนุษย์นั้นมีกรรม พวกท่านซึ่งเป็นศิษย์ต้าฝ่าต่างก็รู้ ทุกสิ่งที่คนวาดล้วนมีองค์ประกอบของตัวคนวาดเองติดอยู่ ในผลงานของศิลปิน สภาพการณ์ทุกอย่างของคนๆนั้น และของคนที่ถูกวาดล้วนติดอยู่บนภาพนั้น คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งเพียงขีดเขียนออกมาหนึ่งขีด ข้าพเจ้าก็จะรู้ว่าคนๆนี้เป็นคนอย่างไร เขามีโรคอะไรบ้าง มีกรรมหนักเพียงใด สภาวะความคิด สภาพครอบครัวเป็นต้น และคนที่ถูกวาดอยู่ในภาพ ก็จะแสดงความคิดทั้งหมดของตัวเขาและองค์ประกอบทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเขาออกมาอย่างเต็มที่ รวมถึงกรรมมากหรือน้อย เมื่อใครนำภาพวาดของคนๆนี้ไปแขวนในบ้าน เช่นนั้นกรรมของคนที่อยู่ในภาพก็จะสาดส่องออกมา ของอย่างนี้แขวนไว้ในบ้าน มันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษกับคนๆนั้นล่ะ กรรมเป็นสิ่งสามารถสาดส่องออกมา เขาและคนๆนั้นเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และมันจะพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสายและสาดส่องอยู่ในบ้านของคนที่แขวนภาพ คนมองไม่เห็นถึงการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันของวัตถุ อันที่จริงคนจะรู้สึกไม่สบาย

แต่ถ้าคนจะวาดเทพ ทุกท่านลองคิดดู เทพคือแสงสว่าง ยิ่งใหญ่สง่างาม สาดส่องพลังงานที่เมตตากรุณา ซึ่งให้ประโยชน์ต่อคน และคนที่วาดและปั้นสลักก็จะได้รับประโยชน์ระหว่างขั้นตอนของการทำผลงานให้สำเร็จลุล่วง ในเวลาเดียวกันในระหว่างสร้างสรรค์ศิลปกรรมของเทพ คนที่ทำก็จะเกิดซั่นเนี่ยน (ความคิดดีงาม) อีกทั้งเทพอาจจะช่วยเสริมสร้างเจิ้งเนี่ยนของเขาให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น กำจัดกรรมและกรรมแห่งความคิดจากร่างกายของคนที่ทำ ผลงานอย่างนี้คนดูแล้วก็จะได้ประโยชน์ จิตใจจะเปิดกว้าง ในความคิดจะมีซั่นเนี่ยน (ความคิดดีงาม) ทำให้คนมีบุคลิกสูงส่ง เมื่อเทพเห็นว่าคนมีเจิ้งเนี่ยนแล้ว ก็จะช่วยแก้ไขอันตรายและทุกข์ภัยให้แก่คน อันไหนจะเป็นการดีสำหรับมนุษย์ ข้าพเจ้าชอบที่จะดูผลงานดั้งเดิมขนานแท้เหล่านั้น ภาพจิตรกรรมบนเพดาน ตามผนังกำแพงที่เกี่ยวกับเทพเหล่านั้น ยังมีรูปปั้น รูปแกะสลักของเทพเหล่านั้น ดูแล้ว ข้าพเจ้ามักจะรู้สึกว่ายังมีความหวังที่มนุษยชาติจะเดินกลับมา เพราะผลงานเหล่านั้นแสดงถึงความยิ่งใหญ่สง่างามของเทพ และเทพที่อยู่ฝั่งนั้นของรูปปั้นเทพก็กำลังแผ่เมตตาให้แก่คนอยู่จริงๆ ฉะนั้นจากข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ ทุกท่านรู้สึกหรือไม่ว่าศิลปะของมนุษยชาติสมควรจะแสดงสิ่งที่เกี่ยวกับเทพเป็นหลัก

แน่นอน ศิลปะในสังคมปัจจุบันไม่จำกัดอยู่ที่ภาพวาด งานปั้นแกะสลักเท่านั้น ยังมีหัตถกรรม การโฆษณา เสื้อผ้าอาภรณ์ ศิลปกรรมบนเวที การผลิตผลงานทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ งานออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นต้น มีหลากหลายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในทุกๆด้าน พูดอีกนัยหนึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับวิจิตรศิลป์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดก็ตาม หากคนที่ทำ วางรากฐานที่ถูกต้อง ผลงานอะไรที่ท่านสร้างสรรค์ออกมา ก็จะสะท้อนองค์ประกอบที่ถูกต้อง ล้วนแต่มีความสวยงาม ล้วนแต่ดี ล้วนแต่จะเป็นประโยชน์กับคน เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน พูดจากหลักการใหญ่ ศิลปะของมนุษยชาติที่ข้าพเจ้าเห็นก็คือเช่นนี้

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงศิลปะตะวันออกและตะวันตกซึ่งก็รวมถึงงานปั้นสลัก พูดถึงงานปั้นสลัก อันที่จริงงานปั้นสลักทางตะวันออก... ข้าพเจ้าก็จะกล่าวถึงความเป็นมาและขั้นตอนประวัติศาสตร์ของมันสักเล็กน้อย จะพูดแต่สภาพการณ์ในอารยธรรมครั้งนี้ ก่อนที่พุทธศาสนาจะเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน รูปแบบลีลาของงานปั้นสลัก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมในรอบที่แล้ว ก็คือในช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ดังนั้นจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรูปแบบลีลาของศิลปะหลังจากที่พุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินจีน พูดกันอย่างเข้มงวด งานปั้นสลักของตะวันออก ที่เป็นตัวแทนของอารยธรรมมนุษยชาติในรอบนี้ควรจะเป็นจากผลงานที่แสดงพระพุทธ พระโพธิสัตว์และเทพในพุทธศาสนา ฝีมือการสร้างสรรค์รูปปั้นแกะสลักแบบนี้ในช่วงแรกๆ ได้สืบทอดข้ามมาจากอินเดีย และฝีมือการสร้างสรรค์รูปปั้นสลักของอินเดียนั้นก็ตกทอดมาจากช่วงเวลาที่มีการนับถือพระพุทธ ซึ่งเป็นช่วงก่อนพุทธศาสนาในอินเดียในช่วงเวลานี้ และในช่วงเวลาก่อนหน้าพระพุทธที่คนอินเดียนับถือนั้น ก็ได้สืบทอดมาถึงอินเดีย จากชาวกรีกโบราณในยุโรปที่นับถือพระพุทธ เพราะสมัยโบราณขึ้นไปอีก ในหมู่ชาวยุโรปมีคนนับถือพระพุทธเป็นจำนวนมาก แน่นอนไม่ใช่จะนับถือพระพุทธกันทั้งหมด ก็มีการนับถือเทพองค์อื่นๆด้วย หลังจากเผยแพร่เข้าสู่อินเดียแล้ว รูปลักษณ์ของพระพุทธและฝีมือการสร้างสรรค์งานปั้นสลักก็เผยแพร่เข้าสู่อินเดีย ดังนั้นฝีมือการปั้นสลักรูปพระพุทธของจีนในระยะแรกๆ โดยพื้นฐานจึงเป็นไปตามแบบของกรีกโบราณ รูปปั้นสลักพระพุทธในสมัยแรกๆ ที่พวกท่านเห็น ส่วนใหญ่จะมีกระบอกตาลึก โหนกคิ้วและเค้าโครงใบหน้าเหมือนกับเค้าโครงใบหน้าของคนตะวันตก คือจมูกตรง เป็นเหลี่ยมดูดีมาก เหตุผลก็คือกรีกโบราณได้เผยแพร่วัฒนธรรมของพระพุทธในสมัยแรกๆ เข้าสู่อินเดีย แล้วเผยแพร่จากอินเดียต่อไปยังประเทศจีนอีก แต่เนื่องจากรูปปั้นแกะสลักล้วนแต่มีองค์ประกอบของตัวคนปั้นสลักติดอยู่ ฉะนั้นหลังจากที่เผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินจีนแล้ว ในรูปปั้นแกะสลักต่างๆ รูปลักษณ์ของพระพุทธจึงมีส่วนคล้ายคนจีนอย่างช้าๆ เมื่อเผยแพร่เข้ามาอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลานานเข้านานเข้า องค์ประกอบของวัฒนธรรมกรีกโบราณที่เผยแพร่เข้าสู่ประเทศจีนในระยะแรกจึงค่อยๆ จางหายไป และค่อยๆ หันสู่กลิ่นไอท้องถิ่นของจีนมากขึ้น นี้เป็นการพูดจากชั้นพื้นผิวของวัฒนธรรมมนุษยชาติ ยังมีมูลเหตุอีกประการหนึ่ง หลังจากที่พุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่ดินแดนจีนแล้ว ก็มีฟู่หยวนเสิน(จิตรอง)ของคนบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ พระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากในแผ่นดินจีนในเวลานั้นไม่มีรูปแบบการเรียนการศึกษาที่เป็นระบบ รูปปั้นแกะสลักก็เป็นผลงานของช่างแกะสลักหินและผู้บำเพ็ญเต๋าทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับรูปปั้นแกะสลักของตะวันตกจึงขาดความชำนาญอย่างมาก โดยพื้นฐานไม่ถูกต้องแม่นยำในเรื่องของสัดส่วนโครงสร้างร่างกาย ฉะนั้นรูปปั้นแกะสลักต่างๆ ของพวกเราคนจีน ไม่ใช่เป็นเอกลักษณ์ของงานของสำนักใด มันเกิดจากความสามารถทางเทคนิคที่ไม่สุกงอม

เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้บรรยาย ขั้นตอนการพัฒนาของศิลปะมนุษยชาติและประวัติความเป็นมาของมันในส่วนสำคัญโดยสรุป ศิลปะในอดีตโดยปกติจะแสดงสิ่งที่เกี่ยวกับเทพ เทพถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้แก่คนก็เป็นการบอกให้มนุษย์รู้ว่า เทพปกป้องคุ้มครองมนุษย์อยู่ หากคนทำดีก็จะได้มรรคผลที่ดี

โดยปกติ ผลงานของศิลปินล้วนมีสิ่งที่เป็นแกนสำคัญและจุดประสงค์ของการถ่ายทอด พูดถึงระหว่างที่ท่านประกอบสัดส่วนของภาพ จินตนาการให้ภาพเป็นอย่างไร สิ่งที่ท่านต้องการจะถ่ายทอดคืออะไร ล้วนแต่มีความหมายที่ตัวเองต้องการจะถ่ายทอดอยู่ข้างในนั้น หมายความว่ามันมีเรื่องราวโดยตัวมันเอง แต่คนปัจจุบันนี้เวลาดูศิลปะดั้งเดิมขนานแท้ของตะวันตกก็ยังมีปัญหาข้อหนึ่ง โดยเฉพาะผลงานวิจิตรศิลป์ในช่วงเฟื่องฟูของศิลปวรรณคดี เขาดูแต่เพียงวิธีวาด ฝีมือทางเทคนิค คนเหล่านี้ยังต้องเป็นคนที่เข้าใจวิชาความรู้พื้นฐานที่สามารถดูแล้วเข้าใจ แต่มีคนน้อยมากที่จะรู้ว่าสิ่งที่ภาพนี้ถ่ายทอดนั้นคืออะไร ดังนั้นเวลาที่ข้าพเจ้าดูภาพวาดและรูปปั้นสลักต่างๆ ผู้ฝึกที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าก็จะถาม อะไรคือสิ่งที่อยู่ในภาพวาดนี้ ข้าพเจ้าก็บอกพวกเขาว่าสิ่งที่อยู่ในภาพวาดว่าเป็นอะไร แน่นอนพวกท่านทุกคนล้วนแต่ทำงานเกี่ยวกับศิลปะ ต่างก็เข้าใจสิ่งต่างๆมากมาย เช่นนั้นพวกเราน่าจะมาพิจารณาร่วมกัน หาภาพวาดมาสักสองสามภาพมา ข้าพเจ้าจะลองพูดสิ่งที่ถ่ายทอดอยู่ในภาพ และเหตุใดจึงแสดงออกมาอย่างนั้น (เสียงปรบมือ)

พวกเรานั่งลง เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดถึงสิ่งที่แสดงอยู่ในภาพวาดเหล่านี้ ทุกท่านต่างก็เข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดกันแล้ว ข้าพเจ้าอยากให้ศิษย์ต้าฝ่ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาให้ฟังบ้าง จะดีไหม

ศิษย์ (คำแปล) พวกเราอยากจะวาดภาพของการประทุษร้าย เราสามารถจะวาดภาพที่ศิษย์ต้าฝ่าถูกทรมานได้หรือไม่?

อาจารย์ วาดได้ ภาพของศิษย์ต้าฝ่าขณะถูกทรมาน ศิษย์ต้าฝ่ากำลังศึกษาฝ่า กำลังฝึกพลังกง หรือทัศนียภาพของเทพและสวรรค์หลังจากต้าฝ่าได้เผยแพร่อย่างกว้างไกล สิ่งเหล่านี้วาดได้ทั้งสิ้น

ศิษย์ พวกเราจะสร้างสรรค์งานเกี่ยวกับขั้นตอนที่ศิษย์ต้าฝ่าอธิบายความจริง หงฝ่า และอย่างเช่นการเดินพาเหรดและอื่นๆ ทำได้หรือไม่?

อาจารย์ สิ่งเหล่านี้ทำได้ทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือในการคิดแบบและสร้างสรรค์งาน ต้องสร้างสรรค์ออกมาให้มีมาตรฐาน

ศิษย์ ท่านอาจารย์ การวาดที่เน้นนัยความคิด(เซี่ยะอี้)ของจีน อย่างเช่นนักเขียนภาพที่มีชื่อเสียงของจีนเหล่านั้น ส่วนใหญ่การวาดจะเน้นที่นัยความคิด(เซี่ยะอี้) วาดทิวทัศน์ ภูเขาและน้ำ พวกเราก็วาดได้หรือไม่

อาจารย์ การเขียนภาพที่เน้นนัยความคิด(เซี่ยะอี้) วาดได้ไม่มีปัญหา ภาพเขียนจีน ภาพวิวภูเขาและน้ำ ก็วาดได้เพราะเป็นผลงานของศิษย์ต้าฝ่า สามารถนำออกมาแสดง แต่พวกท่านคือศิษย์ต้าฝ่า ระหว่างนี้ทุกคนต่างกำลังยืนยันความถูกต้องของฝ่า กำลังบุกเบิกอนาคตให้แก่สรรพชีวิตกันอยู่ ต้องพยายามจัดเรื่องการอธิบายความเป็นจริง เปิดโปงสิ่งชั่วร้ายเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ นี่คือหน้าที่ของศิษย์ต้าฝ่า เปิดโปงสิ่งชั่วร้าย นำเสนอต้าฝ่า นำเสนอเทพ นำเสนอผลงานเหล่านี้มากสักหน่อยจะดีกว่า ให้ผลงานเหล่านี้เป็นแกนหลัก ผลงานอื่นๆ ของศิษย์ต้าฝ่าก็แสดงได้

ศิษย์ การเขียนภาพที่เน้นนัยความคิด(เซี่ยะอี้)ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนหรือ

อาจารย์ การเขียนภาพที่เน้นนัยความคิด(เซี่ยะอี้)ที่ข้าพเจ้าพูด หมายถึงการถ่ายทอดความหมายข้างในลงในภาพ ถ้าหากคนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกโดยยืนอยู่บนรากฐานของศีลธรรมตามแบบดั้งเดิมขนานแท้และมีเจิ้งเนี่ยน จะไม่มีปัญหา สิ่งสำคัญคือ สร้างสรรค์ออกมาด้วยเจิ้งเนี่ยน หรือแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าสำนึกสมัยใหม่ ใช้วิธีดั้งเดิมขนานแท้หรือทัศนคติของสำนักสมัยใหม่แสดงออกมา ปัญหาไม่อยู่ที่ตัวนัยความคิด

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันใคร่ขอถาม ผลงานที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่เหล่านั้นล้วนแต่วาดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเทพของตะวันตก เช่นนั้นสำหรับศิษย์ต้าฝ่าเป็นการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภาพแบบนี้ จะใช้ภาพของพวกเขาเป็นแบบอ้างอิงอย่างไร โดยยังมีลักษณะพิเศษของทางตะวันออกของพวกเรา

อาจารย์ การวาดรูปลักษณ์ของเทพตะวันออกและตะวันตกให้รวมอยู่ในภาพเดียวกันนั้น ไม่มีปัญหา(ทำได้) ระหว่างการเจิ้งฝ่า เทพต่าง ๆ มากมายต่างส่งผลในด้านบวก ภาพเขียนจีนจำนวนมากก็ดีมาก สามารถเป็นที่ยอมรับ ทางด้านวิธีการและฝีมือให้ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีปัญหา หากจะเอาแบบภาพเขียนของจีนและภาพวาดสีน้ำมันของตะวันตก มารวมอยู่ในภาพเดียวกันดูเหมือนจะทำได้ยาก การเอาวิธีของตะวันออกและตะวันตกมาผสมเข้าด้วยกันยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน อย่าได้ทำจนไม่ได้เรื่อง(หัวมังกุท้ายมังกร)

ศิษย์ ดิฉันอยากจะพูดว่า พูดจากระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีก เทพของตะวันออกและตะวันตก จำนวนมากล้วนแต่อยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่าพระพุทธ ถ้าหากพวกเรานำมาแสดงในชิ้นงานที่ใหญ่สักหน่อย โดยนำมารวมอยู่ในงานชิ้นนี้ จะทำได้หรือไม่

อาจารย์ ท่านจะสร้างสรรค์งานใหญ่สักหนึ่งชิ้น โดยในชิ้นงานมีทั้งเทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันออกและคนตะวันตกในเวลาเดียวกัน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา จะวาดเต๋าบ้าง วาดเทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันตกบ้างตามความจำเป็นให้อยู่ในชิ้นงานเดียวกัน ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าในชิ้นงานเดียวกัน ด้านหนึ่งใช้วิธีวาดแบบสีน้ำมัน อีกด้านหนึ่งเป็นวิธีวาดแบบจีน ข้าพเจ้าว่าเห็นจะไม่ดีแน่

ศิษย์ คำถามอีกข้อหนึ่ง ในชิ้นงานของเราโดยหลักจะถ่ายทอดสิ่งที่สว่าง แต่แน่นอนในบางชิ้นงาน เนื่องจากความหมายข้างในค่อนข้างจะมากสักหน่อย และมีบุคคลในด้านลบปรากฏอยู่ในนั้นด้วย เป็นภาพตรงข้ามสองด้านเช่นนี้ ผมอยากจะขอรับฟังคำยืนยันให้แน่ใจในการวาดบุคคลในด้านลบ แน่นอนจะจัดให้(พวกเขา)อยู่ในมุมที่มืด แต่การจัดภาพอย่างนี้ทำได้หรือไม่

อาจารย์ ทำได้ อันที่จริงท่านดูภาพนี้ ตำรวจชั่วร้ายกำลังทุบตีศิษย์ต้าฝ่า ในการใช้สี ตำรวจชั่วร้ายและศิษย์ต้าฝ่านั้นมีความแตกต่างกัน ในภาพรวม ก็มีความประสานกลมกลืนกันมากและไม่มีปัญหา ประเด็นอยู่ที่วิธีการและศิลปะของพวกท่านว่าจะจัดมันให้ดีอย่างไร

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันใคร่ขอถาม การคัดลายมือ(ซูฝ่า)ของจีนเป็นศิลปะประเภทหนึ่งหรือไม่ และตัวหนังสือหวัด (เฉาถี่)จัดเป็นจำพวกถูกต้องหรือไม่

อาจารย์ ปัจจุบันนี้เรียกว่าการคัดลายมือ(ซูฝ่า) ในอดีตก็คือการเขียนหนังสือ มาถึงสมัยนี้คนก็ไม่ใช้พู่กันเขียนหนังสือกันแล้ว จึงตั้งมันขึ้นเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง อันที่จริงมันมีความหมายข้างในของศิลปะรวมอยู่ในตัวด้วยจริงๆ เช่นนั้นในเมื่อมันถูกจัดเป็นศิลปะประเภทหนึ่งแล้ว ในนิทรรศการศิลปกรรม ก็จัดมันเป็นวิจิตรศิลป์ประเภทหนึ่งก็แล้วกัน

พูดถึงตัวหนังสือหวัด(เฉาถี่) พูดกันอย่างเข้มงวด มันเป็นการแสดงออกของการปล่อยจิตใจให้หลงระเริงในด้านลบของคน ในอดีตเมื่อเทพช่วยคนประดิษฐ์ตัวอักษรนั้น ไม่มีตัวหนังสือหวัด(เฉาถี่)จำพวกนั้น อันที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยฝึกเขียนหนังสือด้วยพู่กัน เขียนไม่ค่อยชำนาญ แต่มักจะมีคนขอให้ข้าพเจ้าเขียนอะไรให้อยู่เสมอ ข้าพเจ้าก็จะเขียนแบบลี่ซู(รูปแบบตัวหนังสือที่นิยมมากในราชวงศ์ฮั่น) ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าชอบแบบลี่ซูเป็นพิเศษ เป็นเพราะลี่ซูตัวหนังสือแบบนี้ ใครที่อยากจะเขียนให้หวัด ไม่สามารถเขียนให้หวัดได้ ถ้าเขียนให้หวัดก็จะไม่ใช่แบบลี่ซู ดังนั้นจึงยากที่คนจะเขียนมันให้หวัดในขณะที่ถูกครอบงำด้วยทัศนคติและกรรมแห่งความคิด จากจุดนี้ข้าพเจ้าจึงชอบเขียนในแบบลี่ซู

ศิษย์ พูดถึงตัวหนังสือในการคัดลายมือ(ซูฝ่า) ผมเห็นศิษย์ต้าฝ่าบางคน เนื่องจากเห็นว่าท่านอาจารย์เขียนหนังสือด้วยแบบลี่ซู ดังนั้นเวลาเลือกตัวหนังสือ พวกเขาก็จะเลือกแบบลี่ซู ผมจึงอยากทราบว่า พวกเราสามารถจะใช้ตัวหนังสือแบบอื่นหรือไม่

อาจารย์ ใช้ได้ทั้งหมด ตัวหนังสือแบบใดก็ใช้ได้ แต่สำหรับตัวหนังสือหวัด(เฉาถี่) ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการปล่อยปละด้านลบของคนมากเกินไป มีองค์ประกอบชั้นพื้นผิวของคนมากเกินไป เวลาที่คนคิดอย่างถูกต้อง ปฏิบัติดี(เจิ้งเนี่ยนซั่นสิง)อย่างแท้จริง จะไม่สามารถเขียนออกมา โดยหลักคือเขียนออกมาในเวลาที่ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในทัศนคติ เวลารุนแรงจะมีสภาวะจิตคลั่งเล็กน้อย ด้านที่ถูกต้องไม่สมบูรณ์

ศิษย์ ผมมีคำถามอีกข้อหนึ่ง เกี่ยวกับสามแม่สี ท่านอาจารย์พูดถึงสามแม่สีว่าในมิติอื่นมีสีที่สอดคล้องกัน ในหมู่คน เราก็พูดถึงสีเสริม เช่นนั้นจะเข้าใจแม่สีอย่างไร ณ ที่ของคนตรงนี้เราพูดกันว่าเนื่องจากแสงก่อให้เกิดสีต่างๆ เพราะหากไม่มีแสงก็จะมองไม่เห็นสีต่างๆ เช่นนั้นในมิติอื่นมีแต่แสง จะแยกแยะเปรียบเทียบสีเหล่านั้นอย่างไร

อาจารย์ สามแม่สี คนสามารถผสมจากสีวาดภาพให้เป็นสีอื่น ๆ สามแม่สี ในการแยกแสง (spectrum) ของมนุษย์ ก็สามารถส่องและหักเหเป็นสีต่าง ๆ ในการแยกแสง แต่นี้จะเกิดขึ้นจากตัวสสารในมิติวัตถุของมนุษย์เท่านั้น มิติอื่นจะไม่เหมือนกัน สสารก็ต่างกัน บางคนบอกว่าสภาพ (รูปร่าง) ของวัตถุเกิดจากแสง รวมถึงการให้ความสว่างและความมืด และสีที่ปรากฏในภาพวาด มันไม่ใช่เช่นนั้น วัตถุในสภาพที่ไม่มีแสงมันก็มีรูปร่างอย่างนั้น แสงเพียงแต่ให้ความรู้สึกแก่คนทางสายตาว่าสว่างหรือมืด เมื่อความเข้มของแสงเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้มองเห็นสีผิดแผกไป แต่สีที่แท้จริงและรูปร่างของวัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลง ใช้คำพูดของการบำเพ็ญ แสงปิดกั้นสายตาคน สร้างภาพลวงตาให้แก่คน ในมิติอื่นๆ อีกมากมายไม่มีดวงอาทิตย์ และมีมิติอีกมากมายที่วัตถุทั้งหมดจะเปล่งแสงนวลอ่อนในตัวเอง ถ้าหากวัตถุใดไม่ต้องการดวงอาทิตย์ ถ้าหากในมิติใดไม่มีดวงอาทิตย์ สภาพของวัตถุยังคงมั่นคง ในบางมิติวัตถุทั้งหมดก็เปล่งแสงอ่อนๆ ไม่แยงสายตา ชีวิตในระดับชั้นเดียวกับตัวเองก็จะมองเห็น มิติแบบนี้ก็ไม่มีแหล่งกำเนิดของแสงที่สาดส่องโดยตรงแบบดวงอาทิตย์ รูปร่างลักษณะของวัตถุที่มองเห็นยังคงเป็นอย่างนั้น

มองดูด้วยดวงตามนุษย์ มิติอื่นจะเปล่งประกาย (แสง) สีและรูปร่างของวัตถุจะไม่เปลี่ยน แน่นอนเทพและทุกสิ่งของเทพล้วนสามารถเปลี่ยนแปลง รูปแบบของเทพไม่ใช่คงอยู่ในสภาพอย่างที่คนเรียกว่ามั่นคง (คงที่) โดยทั่วไปจะเหมือนสีของไฟนีออน รูปร่างและสีของไฟไม่ถูกกระทบจากแสง หากชีวิตนั้นเป็นชีวิตในระดับชั้นนั้น เขาจะไม่มีความรู้สึกเหมือนอย่างที่มนุษย์มีเวลาที่มองดูมิตินั้น ก็เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดกับพวกท่าน โมเลกุลก็มีพลังงาน มนุษย์ไม่รู้สึกเนื่องจากทุกสิ่งของมนุษย์ รวมทั้งดวงตาก็ประกอบขึ้นจากอนุภาคของโมเลกุลเช่นกัน หากเป็นชีวิตที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคที่ใหญ่กว่าซึ่งต่ำกว่าระดับโมเลกุล เช่นเดียวกัน (เขา) จะเห็นร่างกายมนุษย์และวัตถุทั้งหมดในมิติมนุษย์เปล่งแสงและมีพลังงาน นี้ต่างกับแนวคิดในมิติที่ว่า ทุกสิ่งเปล่งแสงโดยไม่ต้องมีดวงอาทิตย์ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไปเมื่อครู่ นั่นเป็นมิติที่วัตถุเปล่งแสงโดยตัวเอง

เพราะมิตินี้ของมนุษย์เป็นที่ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการเจิ้งฝ่า พ้นจากอาณาเขตของสามภพ ทุกสิ่งก็จะต่างกันโดยสิ้นเชิง ในมิติอื่นอีกมากมายและกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้นอีก ซึ่งคงอยู่ในระดับเดียวกับสามภพ โครงสร้างของวัตถุทั้งหมดล้วนเปลี่ยนไป ล้วนต่างไปจากในโลกมนุษย์ รูปร่างของวัตถุที่เห็นและความสัมพันธ์ระหว่างความสว่างและความมืดจะต่างไปจากลักษณะตามที่คนมองเห็นในโลก ฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างความสว่างและความมืดตามที่ปรากฏ ณ ที่ของมนุษย์ตรงนี้นั้น เป็นสภาพแวดล้อมพิเศษซึ่งสร้างขึ้นให้แก่มนุษย์ เทพบนสวรรค์ เทียนถี่จำนวนมากมายที่ไม่มีดวงอาทิตย์ส่องแสงให้โดยตรง แต่ก็มีเทียนถี่อีกจำนวนมากมายที่ไม่ใช่มีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวที่ส่องแสง บางแห่งมีดวงอาทิตย์ บางแห่งไม่มีดวงอาทิตย์ ชีวิต ณ ระดับชั้นต่าง ๆ สัมผัสกับความเข้มของแสงแตกต่างกัน พวกเขาต่างสอดคล้องกับรูปแบบการคงอยู่ของแสง ณ ระดับชั้นต่าง ๆ ในบทความผู้ฝึกเขียนว่าสามแม่สีมีความสัมพันธ์กับเจิน ซั่น เหยิ่นนั้น เป็นความรู้สึกของตัวเองในระหว่างบำเพ็ญ ไม่ใช่มูลฐานแก่นแท้ของเจิน ซั่น เหยิ่น

เมื่อมองเห็นทัศนียภาพบนสวรรค์ คนจะตื่นตะลึงอย่างมาก แล้วคนก็จะคิด จะใช้สีอะไรจึงจะวาดออกมาได้ล่ะ หากเป็นสสารระดับชั้นพื้นผิวซึ่งประกอบขึ้นจากโมเลกุล คนจะสามารถมองเห็น ตลอดจนสามารถสัมผัสและใช้ แต่สิ่งที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคในระดับที่จุลภาคกว่าโมเลกุลนั้น หาไม่ได้จากที่ของมนุษย์ตรงนี้ อันที่จริงโมเลกุลก็มีพลังงาน ไม่เพียงแต่มีพลังงาน ยังสามารถบังเกิดผลของพลังงาน มนุษย์ในโลกสัมผัสไม่ถึงพลังงานเนื่องจากโครงสร้างร่างกาย ดวงตา ผิวหนังตลอดจนเลือดเนื้อของมนุษย์ในโลก ทุกสิ่งล้วนเป็นผลิตผลของอนุภาคในชั้นของโมเลกุลทั้งสิ้น ฉะนั้นในระดับชั้นเดียวกัน คนจึงสัมผัสรับรู้ไม่ถึงพลังงานในระดับชั้นเดียวกัน สามารถจะสัมผัสรับรู้ถึงพลังงานของระดับชั้นจุลภาค เป็นเพราะอนุภาคซึ่งประกอบขึ้นเป็นวัตถุของมนุษย์ในชั้นนี้นั้น เม็ดของอนุภาคใหญ่กว่าอนุภาคในระดับจุลภาค ฉะนั้นพูดอีกนัยหนึ่งคือ องค์ประกอบซึ่งประกอบขึ้นเป็นสีนั้น ๆ ไม่ใช่เป็นอนุภาคเพียงชั้นเดียว ดังนั้นมิติชั้นที่สูงจึงมองดูสว่างไสวเป็นประกาย มากกว่ามิติที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคในระดับที่อยู่ต่ำลงมาหนึ่งชั้น แต่เป็นความสว่างไสวในแบบที่เหนือกว่าอาณาจักรเขตแดน ดังนั้นจึงหาสีเช่นนี้ไม่ได้ในโลกมนุษย์ ถึงแม้จะใช้สีเรืองแสงก็ไม่สามารถถ่ายทอด (วาด)ออกมา แต่แม้ว่าจะไม่มีสีอย่างนั้นที่จะถ่ายทอดความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเขตแดนนั้นให้ออกมา แต่ก็ยังสามารถใช้สีที่มนุษย์มี วาดโครงสร้างและลักษณะท่าทางความน่าเกรงขามในภาพให้ปรากฏ ทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง สีของมนุษย์ยังสามารถจะวาดออกมาได้ หากท่านสามารถใช้ทุกสิ่งของเทพ ถ่ายทอดเทพออกมาทั้งหมดในโลกมนุษย์ นั่นคือเทพได้มาถึงโลกมนุษย์

ศิษย์ ขอท่านอาจารย์อธิบายเสื้อผ้าอาภรณ์หรือเครื่องแต่งกายที่พุทธ เต๋า เทพ ใช้โดยปกติ

อาจารย์ เครื่องแต่งกายของพระพุทธที่พวกเราเห็นโดยปกติคือจีวรสีเหลือง พระโพธิสัตว์จะวาดให้สวมชุดเครื่องแต่งกายของสตรีจีนในสมัยโบราณ พวกท่านสามารถอ้างอิงได้จากเครื่องแต่งกายของสตรีในสมัยราชวงศ์ซ้อง นั่นเป็นแบบที่ปกติทั่วไปที่สุด เทพในรูปลักษณ์คนขาวไม่ว่าจะเป็นเทพของโลกใด โดยปกติพวกเขาล้วนแต่พันกายด้วยจีวรสีขาวผืนใหญ่หนึ่งผืน พระพุทธจะพันกายด้วยจีวรสีเหลืองผืนใหญ่หนึ่งผืน เทพในรูปลักษณ์คนดำจะพันกายด้วยจีวรสีแดงผืนใหญ่หนึ่งผืน แน่นอนยังมีปรากฏการณ์ในแบบต่างๆ อีกมากมาย และชั้นที่สูงขึ้นไปอีก มีทั้งเทพที่ไม่สวมใส่เครื่องแต่งกายใด ๆ เครื่องแต่งกายแบบดึกดำบรรพ์ในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งโบราณมาก ๆ เทพในแบบต่าง ๆ ลักษณะต่าง ๆ โดยปกติในชิ้นงานวาดในสิ่งที่คนสามารถรู้จักก็เพียงพอแล้ว แน่นอนเต๋าย่อมสวมใส่เสื้อผ้าในแบบของจีนโบราณ นี่เป็นเต๋าทั่วๆไป อันที่จริงเครื่องแต่งกายของเต๋าใหญ่ในระดับชั้นสูง ก็หลากหลายในแบบต่างๆ

ในอดีตคนบำเพ็ญยังมีปรากฏการณ์แบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด รัชสมัยใด เมื่อท่านบำเพ็ญสำเร็จ เวลาหยวนหมั่น เครื่องแต่งกายที่ท่านสวมใส่อยู่ ก็จะกลายเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาในภายหลัง โดยปกติจะเป็นเช่นนี้ แน่นอนพระพุทธจะไม่ใช่เช่นนี้ ผู้ที่บำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธก็จะมีรูปลักษณ์ของพระพุทธ จะสวมใส่เสื้อผ้าของพระพุทธ สำหรับผู้บำเพ็ญเป็นเทพแบบอื่นๆ ในกรณีปกติเวลาที่บำเพ็ญสำเร็จ สิ่งที่เขาสวมใส่ก็จะกลายเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ในภายหลัง พวกท่านมีใครเคยไปภูเขาอู่ตั้ง (บู้ตึ้ง) บ้าง เคยเห็นภาพวาดของเสวียนอู่บ้างไหม ในภาพเหตุใดเสวียนอู่จึงปล่อยผมสยาย เพราะในเวลาที่เขาบำเพ็ญสำเร็จเขาปล่อยผมสยาย ดังนั้นเขาจึงอยู่ในภาพลักษณ์สยายผม เขานั่งสมาธิอยู่ในป่าเป็นเวลานาน รู้สึกยุ่งยากที่จะรวบผม จึงไม่รวบผมจวบจนบำเพ็ญสำเร็จ จึงเป็นเช่นนั้น

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ในภาพเขียนโบราณ พระพุทธแต่งกายในชุดเสื้อผ้าก็มี  (ห่มจีวร) เปิดหัวไหล่ก็มี

อาจารย์ บางครั้งคนจะวาดรูปพระพุทธตามทัศนคติของตัวเอง เป็นต้นว่าในเขตพื้นที่เอเซียใต้อากาศค่อนข้างร้อน พระสงฆ์โดยปกติจะ (ห่มจีวร) เปิดหัวไหล่ เปิดหัวไหล่ขวาเพื่อให้เย็นสบาย ในเขตพื้นที่ทางเหนือพระสงฆ์จะใช้ผ้าปิดคลุมหัวไหล่ขวา ปิดคลุมหัวไหล่ขวาเอาไว้ก็จะไม่หนาว ในโลกของพระพุทธไม่มีความคิดเหล่านี้ โดยปกติพวกเขาจะแต่งกายโดยเปิดหัวไหล่ขวาในลักษณะนั้น คนจีนเวลาวาดรูปพระพุทธ ในทัศนคติของคนจีนคือปิดคลุมช่วงไหล่ทั้งหมด แท้จริงแล้วการแต่งกายของพระพุทธเป็นเช่นนั้น เทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันตกก็เปิดหัวไหล่หนึ่งข้างเช่นเดียวกัน เพราะชุดแต่งกายแบบนี้ไม่มีแขนเสื้อ ถ้าปิดคลุมหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างจะเคลื่อนไหวไม่สะดวก

ศิษย์ ผมใคร่ขอถาม พวกเราเรียนการวาดภาพ เหตุใดวิชาพื้นฐานจึงเรียนยากอย่างนี้ หาสถานที่เรียนลำบาก การเรียนภาพวาดในประเทศจีน ทำอย่างไรจึงจะสามารถยกระดับฝีมือให้ดียิ่งขึ้น

อาจารย์ โดยหลักเป็นเพราะการศึกษาในประเทศตะวันตก ได้รับอิทธิพลจากสำนึกที่เรียกว่าสำนักสมัยใหม่ (modernism) มากเกินไป จึงไม่เน้นการฝึกฝนวิชาพื้นฐานของนักศึกษาแต่อย่างใด นอกจากนี้อาจารย์และศาสตราจารย์ทั้งหลายก็ล้วนแต่นิยมสำนักสมัยใหม่ (modernism) พวกเขาไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ทั่วไปอันเป็นความรู้พื้นฐานที่สุดของการวาดภาพ สำหรับความชำนาญในวิชาพื้นฐาน ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักจึงจะเกิดความชำนาญ เริ่มต้นต้องวาดวัตถุที่อยู่กับที่ ฝึกฝนจนมีความชำนาญในเรื่องโครงสร้างและรูปทรงมิติ เมื่อฝึกวาดวัตถุที่อยู่กับที่ได้ดีแล้วก็ต้องฝึกสเก๊ตช์ภาพ จากนั้นฝึกการใช้สีให้เหมาะสมถูกต้อง ฝึกปรือจนชำนาญในวิชาพื้นฐานขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น วิชาพื้นฐานเป็นสิ่งที่นักเขียนภาพ นักปั้นแกะสลักจำเป็นต้องมีความชำนาญ

ศิษย์ เหตุใดในประเทศจีนจึงเขียนแต่ภาพทิวทัศน์ตลอดมา แน่นอนประเทศจีนก็มีการวาดรูปลักษณ์ของพระพุทธ แต่ในประวัติศาสตร์จีนส่วนใหญ่จะเขียนภาพวิวภูเขาและน้ำ

อาจารย์ ภาพเขียนของจีนเน้นที่นัยความคิด วาดอาณาจักรของนัยความคิด ความหมายข้างในของสิ่งที่วาด ดังนั้นส่วนใหญ่จึงวาดแต่ภาพวิวภูเขาและน้ำ ถึงอย่างไรคนจีนนั้นเป็นวัฒนธรรมของกึ่งเทพ ในสำนึกไม่ต้องการจะเขียนรูปคนมากจนเกินไป ก็เป็นไปตามเหตุผลอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้น เขียนภาพวิวภูเขาและน้ำเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีเขียนภาพคนบ้าง แต่โดยทั่วไปจะไม่ใช้คนเป็นแบบ เป็นการจินตนาการออกมาทั้งสิ้น ทำอย่างนี้ก็มีความหมดจดเสียอีก แน่นอนก็ไม่ใช่ ไม่เขียนรูปของคนจริงๆ เสียทีเดียว ในประวัติศาสตร์ตลอดมานักเขียนภาพก็มีการเขียนภาพของผู้กล้า วีรบุรุษ บุคคลที่ผู้คนต้องการจะจดจำ มาถึงยุคปัจจุบันก็มีความหลากหลายค่อนข้างมาก อันที่จริงภาพเขียนจีนที่ค้นพบ ที่เก่าแก่ที่สุดยังคงเป็นภาพเขียนของเทพ และจากอดีตจนถึงปัจจุบันภาพวาดในวัดวาอารามตลอดมา ก็เป็นภาพวาดของพุทธ เต๋า เทพทั้งสิ้น

ศิษย์ ภาพเขียนของจีนเน้นที่เส้นเป็นหลัก มีสีสันใสและอ่อนบาง ภาพวาดของตะวันตกจะเน้นในเรื่องสีสัน ภาพเขียนจีนของเราควรจะมีสีสันแบบตะวันตกหรือไม่

อาจารย์ ไม่ใช่ ภาพเขียนตะวันออกก็มีเอกลักษณ์ของตะวันออก ควรจะวาดอย่างไรก็ให้วาดอย่างนั้น ทันทีที่ท่านเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่ใช่แล้ว ภาพเขียนตะวันออกเน้นที่เส้น ภาพวาดตะวันตกวาดเส้นไม่ได้ ท่านวาดเป็นเส้นออกมาก็ไม่ถูกต้องแล้ว ภาพประกอบขึ้นโดยใช้ความสว่างและความมืด

ศิษย์ ท่านอาจารย์ จะเป็นการเขียนที่เน้นนัยความคิด (เซี่ยะอี้) หรือเขียนภาพจริง (เซี่ยสือ) ก็ดี เวลาพวกเราเขียนภาพ ฝ่าเซินของท่านอาจารย์ก็จะขึ้นไป ใช่หรือไม่ (เสียงหัวเราะ)

อาจารย์ ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะไม่... (เสียงหัวเราะ) เพียงเขาคิดท่านก็รู้ว่าจะวาดอย่างไรแล้ว แต่ท่านบอกว่า เอาละ เข้าใจแล้ว อย่างนี้ฉันก็ให้อาจารย์วาดก็แล้วกัน (เสียงหัวเราะ) เป็นเช่นนั้นไม่ได้

ศิษย์ ในเวลานั้น หากนักเขียนสามารถเข้าสู่สภาวะที่เหนือสามัญวิสัย ภาพเขียนของเขาอาจจะเหนือสามัญวิสัยมากๆ

อาจารย์ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาวะที่เหนือสามัญวิสัย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ ทำตัวให้เป็นปกติมากๆ ก็เหมือนการบำเพ็ญต้าฝ่า ปฏิบัติทุกสิ่งให้เป็นปกติ สิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าสมควรวาดก็ควรจะทำมันให้ดี ไม่มีการเข้าสู่สภาวะใดๆ และต้องไม่มีความคิดแบบนี้จึงจะถูกต้อง

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันอยากจะวาดรูปลักษณ์คนในแบบต่างๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่าเทพของคนดำจะห่มจีวรสีแดง แต่พวกเราไม่รู้ว่าผมของพวกเขามีลักษณะเป็นเช่นไร

อาจารย์ โดยปกติธรรมดา หากต้องการจะวาดเทพของตะวันตก พวกท่านสามารถจะอ้างอิงได้จากงานวิจิตรศิลป์ในสมัยศิลปวรรณคดีเฟื่องฟู รูปลักษณ์ของเทพในงานวิจิตรศิลป์ในสมัยศิลปวรรณคดีเฟื่องฟูของทางตะวันตกนั้นมีความถูกต้อง เทพบุตรในวัยผู้ใหญ่โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะมีเครา แน่นอนองค์ที่ไม่มีเคราก็มี พระพุทธโดยทั่วไปจะไม่ไว้เครา แต่ก็มีส่วนน้อยที่มีเครา เทพในรูปลักษณ์ของคนดำมีผมเหมือนคนดำ ผมสั้นม้วนเป็นขดๆ เพราะเทพสร้างมนุษย์ตามลักษณะของตัวเอง

ศิษย์ (คำแปล) ดิฉันได้วาดภาพรูปหนึ่งให้แก่โรงเรียนของดิฉัน โดยหลักเป็นภาพวาดของตัวเอง เวลาวาดดิฉันวาดด้วยความตั้งใจ พยายามไม่ปล่อยให้ทัศนคติขึ้นมามีอิทธิพล ดิฉันพบว่าได้รับการตอบสนองที่ดีจากคนทั่วไป ส่วนประกอบของภาพก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นคำถามของดิฉันคือ เพียงแต่เราตั้งใจวาดก็สามารถจะวาดออกมาดี ใช่หรือไม่ ดิฉันจึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แนะ ได้หรือไม่

อาจารย์ พูดกันอย่างเข้มงวดเวลาวาดภาพต้องมีความตั้งใจ เมื่อท่านตั้งใจ ทุกคนก็จะบอกว่าท่านวาดได้ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยที่เน้นความสำคัญของวิชาพื้นฐาน ก็ยังมีข้อแตกต่าง ฉะนั้นข้าพเจ้าคิดว่า หากฝึกฝนวิชาพื้นฐานให้ดีมากขึ้นอีก ศิษย์ต้าฝ่าก็จะวาดได้ดียิ่งขึ้น และเป็นการปูหนทางที่ถูกต้องให้แก่คนรุ่นต่อไป แน่นอนตั้งใจวาดภาพเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ศิษย์ ผมจะวาดภาพของท่านอาจารย์ได้หรือไม่

อาจารย์ โอ้ มีคนมากมายเคยทำและวาดภาพให้กับข้าพเจ้า สุดท้ายล้วนแต่ไม่เหมือน วาดได้ ไม่มีปัญหา วาดจากรูปถ่ายก็แล้วกัน

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ผมทราบว่ามีผู้ฝึกจำนวนมากที่อยากจะวาดภาพของท่านอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีภาพในมิติอื่น ที่วาดออกมาภาพที่วาดได้เหมือน รู้สึกว่ามีอานุภาพของฝ่าเซินจริงๆ แต่จะปฏิบัติอย่างไรกับภาพที่วาดออกมา เพราะถึงอย่างไรก็เป็นรูปของท่านอาจารย์ แล้วยังร่างต่างๆ ของรูปภาพเหล่านั้นอีก?

อาจารย์ ร่างของรูปภาพเหล่านั้นที่ควรเผาก็เผาทิ้งเสีย ไม่มีปัญหา ช่วงเวลาแห่งการเจิ้งฝ่า ศิษย์ต้าฝ่ายืนยันความถูกต้องของฝ่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก

ศิษย์ เช่นนั้นรูปที่วาดได้ดีล่ะ ไม่ทราบว่าพวกเราจะจุดธูปบูชา ได้หรือไม่

อาจารย์ ให้เก็บรักษาในลักษณะของภาพวาดก็แล้วกัน

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันได้ฟังการบรรยายวันนี้ ช่วยให้ความคิดเปิดกว้างอย่างมาก แต่ดิฉันอยากทราบว่า สามารถจะทำเป็นบันทึกออกมาหรือไม่ เพราะมีหลายคนไม่ได้มา และเป็นคนที่มีผลงานดีพอควรในสาขาวิจิตศิลป์

อาจารย์ รอให้ข้าพเจ้าเรียบเรียงหลักการของฝ่าที่บรรยายครั้งนี้เสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยดูกันอีกที

ศิษย์ ผมทราบแล้วว่าหนทางการสร้างสรรค์ควรจะเดินไปอย่างไร เดิมทีผมรู้สึกว่าในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เวลานี้ผมเข้าใจแล้ว ผมรู้สึกดีใจมาก

อาจารย์ นี่ก็คือฝ่าที่ข้าพเจ้าอธิบายให้แก่พวกท่าน

ศิษย์ ยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง อย่างเช่นตัวผม เรียนมาแต่การวาดแบบตะวันตกทั้งสิ้น แต่ผมก็ชอบภาพเขียนจีนมาก เวลาวาดจะสามารถเน้นที่ตัวภาพเป็นหลัก โดยไม่จำกัดอยู่กับวิธีของศิลปะตามประเพณีนิยมได้หรือไม่

อาจารย์ ถ้าท่านกำลังพูดว่า ท่านจะนำส่วนดีของเทคนิคของสองค่าย (ตะวันออกและตะวันตก) มาใช้ ดูเหมือนก่อนหน้านี้มีคนเคยลองทำมาแล้ว ท่านสามารถไปลองดู แต่ต้องให้มันมีความประสานกลมกลืน ดูแล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อลองดูแล้วท่านอาจจะรู้สึกว่า วัฒนธรรมการวาดภาพของตะวันออกและตะวันตกไม่อาจจะผสมเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริง

ศิษย์ สวัสดีท่านอาจารย์ ในภาพวาดของเรา เป็นต้นว่าทูตสวรรค์...มีปีก....ของตะวันตกและของตะวันออก นำมารวมอยู่ด้วยกันได้ไหม

อาจารย์ ในการเจิ้งฝ่า เทพที่ส่งผลในด้านบวกทั้งหมด เทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันออกและตะวันตก เทพในรูปลักษณ์ต่างๆทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความหมายอะไรที่ท่านต้องการจะนำเสนอในภาพวาด ก็คือส่วนประกอบที่จำเป็น เช่น เทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันตกทั้งที่มีปีก และไม่มีปีก นั่นก็ต้องดูว่าท่านจะนำเสนอส่วนประกอบของภาพอย่างไร ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน เทพในมิติชั้นต่ำ พวกเขารู้ว่าข้าพเจ้าจะมาเผยแพร่ฝ่า อิทธิพลเก่าจึงจัดวางให้พวกมันมาควบคุมให้ข้าพเจ้าเผยแพร่ฝ่าอย่างไร ในสภาพสังคมอย่างไร แน่นอนข้าพเจ้าไม่ทำไปตามที่พวกมันต้องการ ในเวลาเผยแพร่ฝ่า ข้าพเจ้าจะทำการเจิ้งฝ่าด้วยรูปลักษณ์อย่างไร สำหรับเหล่าเทพทั้งหลาย นี้เป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาการเลือกรูปลักษณ์ให้แก่ข้าพเจ้า ในเวลานั้นก็ได้เกิดข้อพิพาทระหว่างพุทธและเต๋า ณ ระดับชั้นต่ำ ศาสนา (ลัทธิ) เต๋าจึงเกิดขึ้นมาด้วยประการฉะนี้ เต๋าอยากจะให้ข้าพเจ้าเลือกรูปลักษณ์ของเต๋า อยากให้ข้าพเจ้าใช้เต๋าบรรยายฝ่าของเต๋า แต่ตัวพวกเขาเองก็รู้ว่าเต๋านั้นถ่ายทอดลูกศิษย์เพียงคนเดียวในแต่ละรุ่น เช่นนั้น การถ่ายทอดลูกศิษย์เพียงคนเดียวในแต่ละรุ่น แล้วจะช่วยเหลือสรรพชีวิตได้อย่างไร จะเผยแพร่ต้าฝ่าได้อย่างไรล่ะ ไม่ได้ พวกเขาจึงได้คิดหาวิธี โดยก่อตั้งเป็นศาสนาขึ้นมาในโลก ด้วยเหตุนี้ศาสนาเต๋าจึงเกิดขึ้น ต่อมาภายหลังในศาสนาเต๋า เต๋าจำนวนมากก็มีการแบ่งออกเป็นพระพุทธ พระโพธิสัตว์ บนสวรรค์จึงมีโลกของเต๋าขึ้นมาจริงๆ เพราะพวกเขาอยากจะให้ข้าพเจ้าเลือกรูปลักษณ์ของเต๋า ทางฝ่ายพุทธะเช่นกันต่างก็ตั้งเงื่อนไขเพื่อให้ข้าพเจ้าเลือกรูปลักษณ์ของพระพุทธ บอกว่าสมควรเลือกรูปลักษณ์ของพระพุทธ มีความเมตตากรุณาเอย ต้องการจะช่วยเหลือสรรพชีวิตเอย ฯลฯ แต่ข้าพเจ้ากลับชาติไปเกิดในดินแดนจีน หากข้าพเจ้ากลับชาติไปเกิดทางตะวันตก ถ้าเช่นนั้นเทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันตกก็คงต้องตั้งเงื่อนไข ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างพุทธและเต๋าจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุฉะนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้ากำหนดทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการเรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ในเรื่องรูปลักษณ์จึงยุติลง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่อิทธิพลเก่าจัดเตรียม

ฉะนั้นเทพบนสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเทพประเภทใด บนสวรรค์เวลาเกิดเรื่องอะไร พวกเขาจะปรึกษาหารือกัน พระเยซูลงมายังโลกเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ก็เกิดจากการประสานและร่วมมือกันของเหล่าเทพทั้งหลาย เพราะเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลกจะกระทบไปถึงสวรรค์ เมื่อพระพุทธจะเผยแพร่ฝ่า เทพอื่นๆ ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับ ข้อพิพาทระหว่างพุทธและเต๋าที่ข้าพเจ้ากล่าวไปเมื่อครู่ เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว เพราะเรื่องการเผยแพร่ฝ่าหลังจากกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องโต้เถียงกันอีก ทุกอย่างก็เรียบร้อย

ศิษย์ ภาพวาดสีน้ำมีส่วนคล้ายภาพเขียนจีน และมีส่วนคล้ายภาพวาดสีน้ำมัน ผลงานบางชิ้นใช้ทั้งสีน้ำและวิธีของภาพเขียนจีน

อาจารย์ วิชาพื้นฐานของการวาดภาพสีน้ำเป็นของตะวันตก ดังนั้นภาพวาดสีน้ำจึงเป็นวิธีของตะวันตก พูดถึงเรื่องของตัวสี มันไม่จำกัดอยู่ที่ท่านวาดภาพสีน้ำหรือเขียนภาพแบบจีน ท่านจะใช้สีน้ำมาวาดภาพเขียนจีนก็ไม่มีปัญหา ท่านจะใช้สีน้ำมาวาดด้วยวิธีของสีน้ำมันก็ไม่เป็นปัญหา ภาพสีน้ำโดยตัวของมันประเด็นไม่ได้อยู่ที่การใช้วิธีวาดแบบตะวันออกและตะวันตก หมายความว่าจะใช้สีประเภทใด วาดภาพประเภทใดนั้นเป็นคนละประเด็นกับวิธีวาด ภาพวาดของตะวันออกและตะวันตก ประเด็นก็ไม่อยู่ที่การใช้สีเข้มหรือสีอ่อนเท่านั้น ความหมายข้างในของมัน (ภาพตะวันออกและตะวันออก) นั้น หนุนด้วยวัฒนธรรมสองประเภท

มีคนจำนวนมากเคยลองวาดภาพผสมของตะวันออกและตะวันตก อันที่จริงล้วนไม่ประสบความสำเร็จ ภาพเขียนจีนและภาพวาดตะวันตก ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เพียงฝีมือและศิลปะของการวาดและการใช้สีตามที่ปรากฏ เบื้องหลังของภาพล้วนมีวัฒนธรรมของชนชาติที่ใหญ่มหึมา ความสามารถต่างๆ ในแต่ละประเภทของวัฒนธรรมล้วนแต่เป็นสิ่งสุดยอดของวัฒนธรรมชนชาติโดยรวม อันที่จริงการผสมภาพวาดของตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันนั้นไม่อาจจะทำได้ นอกเสียจากว่าวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกจะผสมผเสเข้าด้วยกันอย่างสิ้นเชิง จนกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีรากเหง้า เบี่ยงเบน

ศิษย์ พวกเราอยากจะวาดภาพเปิดสวรรค์ แผ้วถางปฐพี พูดอีกนัยหนึ่งคืออิทธิพลเก่าในจักรวาลถูกทำลายดับสูญไปแล้ว แล้วสิ่งที่ดี... ก็คือถ้าเทียนถี่ได้เปลี่ยนและกลายเป็นดี สิ่งที่ไม่ดีถูกตีลงไป ทัศนียภาพเช่นว่านี้ หากเติมรูปลักษณ์ของเทพอยู่ข้างในจะเป็นการดีที่สุด ใช่หรือไม่ หรือเพียงแต่เปลี่ยนแปลงเฉพาะสีก็พอ จะเป็นการดีที่สุดหากจะเพิ่มเติมบางสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวไปเมื่อครู่

อาจารย์ ไม่สามารถจะวาดให้เป็นนามธรรม จะต้องมีตัวเอกของสิ่งที่จะนำเสนอ ก็คือต้องเดินกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง

ศิษย์ เกี่ยวกับสัตว์เทพเหล่านั้นบนสวรรค์ อย่างเช่นสิงโตที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงเมื่อครู่ ยังมีมังกรเอย หงส์เอยเหล่านั้น ถ้าหากเหมือนมังกร อย่างเช่นในกลุ่มจำพวกมังกร นอกจากนี้มังกรชั่วร้ายสีแดงที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ในจิงเหวิน “มังกรร้ายถูกโค่น” มังกรตัวนั้นแตกต่างจากมังกรตัวอื่นๆ หรือไม่

อาจารย์ รูปลักษณ์ภายนอกของมังกรจะเหมือนกัน มังกรก็มีทั้งดีและไม่ดี มีมังกรชั่วร้าย มังกรดี มังกรเทพ มังกรที่เห็นทั่วไปในโลกของสวรรค์ ในโลกของพระพุทธล้วนแต่เป็นมังกรทอง เปล่งแสงสีทอง มีจุดหนึ่งอยากจะอธิบายให้ชัดเจน มังกรที่กล่าวกันในวัฒนธรรมตะวันออกและมังกรที่กล่าวกันในวัฒนธรรมตะวันตกไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน ไม่ใช่ตระกูลเดียวกัน มังกรในวัฒนธรรมตะวันออกมีสีต่างๆกัน บ้างจะมีสีขาวและดำเหมือนสีของปลา บ้างมีสีแดง บ้างมีสีเหลือง สีขาว แม้แต่สีดำ มันจะไม่เหมือนกันเพราะมังกรก็มีการแบ่งระดับชั้น แบ่งเป็นมังกรฟ้า มังกรดิน และมังกรในน้ำ มังกรที่กล่าวถึงในวัฒนธรรมตะวันตกนั้นเป็นสัตว์ชั่วร้าย(ดุร้าย)ประเภทหนึ่งในนรก โดยปกติเวลาคนจีนพูดถึงมังกร คนตะวันตกส่วนมากจะเข้าใจว่ามังกรเป็นสัตว์ที่ไม่ดี มีความรู้สึกเช่นนั้น อันที่จริงนี้เป็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก มังกรที่คนตะวันตกพูดถึงนั้นมีส่วนหัวเหมือนมังกร ส่วนของลำคอเล็ก ส่วนของลำตัวใหญ่เหมือนไดโนเสาร์ มีปีกที่ปราศจากขน และสิ่งมีชีวิตประเภทนี้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในระบบของเทพที่มีรูปลักษณ์ของคนตะวันตก เป็นมังกรในนรกอันนั้นในระบบของเทพที่มีรูปลักษณ์ของคนตะวันตก มันจะพ่นไฟยมโลก(ไฟนรก) อันที่จริงตามที่ข้าพเจ้าดูในอดีต คนคงจะจัดวางตำแหน่งผิดพลาดในขั้นตอนของการแปล จึงเรียกสัตว์ชนิดนั้นเป็นมังกร มันกับมังกรของตะวันออกไม่ใช่สิ่งเดียวกัน (ถามพูดฝึกตะวันตก) พวกท่านว่าความคิดที่มีต่อมังกรของคนตะวันตกเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าพูดไปหรือไม่ (ตอบ: ใช่)

อันที่จริงมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน ในโลกของสวรรค์ตะวันตก โดยปกติจะไม่มีมังกรประเภทที่พูดกันในตะวันออก มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในระบบนั้น และข้างในระบบของเทพในรูปลักษณ์ของคนขาวจะสอดคล้องกับสังคมของคนขาวบนโลก ตลอดจนถึงมิติที่ต่ำลงมา ข้างในของระบบอันนี้จะไม่กล่าวถึงมังกร และไม่มีสัตว์ประเภทนี้ปรากฏ แต่พวกเขาก็มีสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมายซึ่งข้างในระบบของเทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันออกไม่มี เป็นต้นว่าตะวันตกในอดีตมีสัตว์ประเภทหนึ่งอยู่ในโลก คือร่างกายท่อนล่างเป็นม้า ร่างกายท่อนบนเป็นคน ข้างในระบบของโลกตะวันออกไม่มีสิ่งนี้ ฉะนั้นมันไม่ใช่เป็นเพียงความแตกต่างของวัฒนธรรม เป็นเพราะข้างในระบบของโลกนั้นไม่มี

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันมีคำถามข้อหนึ่ง ดิฉันเป็นนักวาดภาพสีน้ำมัน การจะวาดภาพที่ดีออกมาสักรูปนั้นต้องใช้เวลามาก ....เพราะดิฉันเห็นว่ารายการต่างๆ ที่ต้องทำมีมากมาย

อาจารย์ ศิษย์ต้าฝ่าที่ขยันต่างก็มีงานมาก ในช่วงเวลาของการเจิ้งฝ่าต่างต้องอธิบายความจริง ช่วยเหลือสรรพชีวิต เช่นนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านในวันนี้ พวกเราคนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านนี้ ยังต้องสร้างสรรค์งานวิจิตรศิลป์เหล่านี้ออกมา การสร้างสรรค์งานเหล่านี้ต้องใช้เวลา ข้อนี้ข้าพเจ้าเข้าใจดี แต่ไม่ต้องกังวล ให้พวกท่านพยายามวาดเท่าที่พวกท่านสามารถจัดสรรเวลาได้ แต่ก็อย่าใช้เวลาให้ยาวนานจนเกินไป พยายามวาดให้มากเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีจำนวนภาพมากพอพวกเราค่อยจัดนิทรรศการ

ศิษย์ ท่านอาจารย์ สิ่งที่ผมใคร่ขอถาม...พูดถึงการจัดงานสองสิ่งให้สมดุล มีเวลาอยู่เพียงเท่านี้ ทำเรื่องนี้ก็ไม่สามารถทำเรื่องนั้น

อาจารย์ ใช่ ก็ต้องจัดมันให้ดีตามหลักเกณฑ์ สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านทำ ก็ไม่ใช่ทำเพื่อคนอื่นและเพื่อทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ให้แก่คนในอนาคตเสียทั้งหมด มันมีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของตัวพวกท่านเอง เพราะทุกท่านต่างก็มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของสังคมนี้ และต่างก็จะต้องเดินออกจากยุคสมัยนี้ พูดอีกนัยหนึ่งคือ ทัศนคติของคนยุคปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้แล้ว ล้วนแต่อยู่ในอ่างย้อมใบใหญ่ พวกเราคนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านนี้ แน่นอนผลกระทบทางด้านนี้ที่(พวกท่าน)ได้รับย่อมใหญ่กว่าคนอื่น เช่นนั้นในระหว่างการสร้างสรรค์ ในขั้นตอนของการเดินกลับไปสู่หนทางที่ถูกต้อง พวกท่านกำลังชำระตัวเองให้สะอาดใช่หรือไม่ ทางด้านศิลปะ (ท่าน)กำลังเลื่อนระดับตัวเองสูงขึ้นใช่หรือไม่ ใช่ เปลี่ยนแปลงตัวเองจากธาตุแท้ จากทัศนคติ ไม่ใช่กำลังบำเพ็ญตัวเองหรอกหรือ

ศิษย์ เมื่อวานผมเห็นท่านอาจารย์หมุนฝ่าหลุนในที่ประชุม รู้สึกตื่นตะลึงอย่างยิ่ง หากผมจะวาดทัศนียภาพนั้นออกมาจากความคิดของผม ณ เวลานั้นท่านอาจารย์อยู่ชุดใส่สูท ถ้าวาดออกมาไม่ทราบจะเป็นการตรงเกินไป ละเอียดเกินไปหรือไม่

อาจารย์ ไม่เป็นไร วาดได้ ใส่ชุดสูทก็วาดออกมาได้

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ผมมีคำถามสองข้อ หนึ่งคือฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรามีเทพรวมอยู่มากมาย เทพจำนวนมากมายเช่นนั้น แน่นอนผู้ฝึกเมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้วก็จะกลายเป็นพุทธ เต๋า เทพต่างๆ เช่นนั้นเวลานี้ถ้าพวกเราอยากจะวาดภาพของเพื่อนผู้ฝึกที่ฝึกบำเพ็ญได้ดีเหล่านั้น บางทีอาจมีบางคนบำเพ็ญได้ดีมากแล้ว พวกเราสามารถจะวาดภาพพวกเขาออกมาไหม แล้วเทพของศาสนาถูกต้องอื่นๆ อีกมากมายที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง นอกจากนี้พุทธศาสนาก็มีเทพถูกต้องเป็นจำนวนมาก พวกเราสามารถจะวาดภาพพวกเขาออกมาได้หรือไม่

อาจารย์ มีจำนวนมากที่สามารถจะวาดออกมาได้ พูดกันอย่างนี้ เทพที่กล่าวถึงในพุทธศาสนา พระพุทธ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นที่กล่าวถึงในพุทธศาสนาซึ่งคนปัจจุบันรู้จัก สามารถจะวาดออกมาได้ทั้งหมด เหลาจื่อ เต๋า ยะโฮวา พระเซยู พระแม่มาเรีย ก็วาดออกมาได้ แต่ศิษย์ต้าฝ่าซึ่งอยู่ในระหว่างยืนยันความถูกต้องของฝ่า การวาดภาพของเทพที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้าฝ่า มันไม่มีความหมายแต่อย่างใด พวกท่านจะวาดอะไร จะนำเสนอออกมาอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าพเจ้าพูดอะไรมากนัก

ศิษย์ ผมยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง พูดถึงผลงานอมตะต่างๆ ที่สืบทอดมาแต่สมัยศิลปวรรณคดีเฟื่องฟูในอดีต อย่างเช่น [อาหารค่ำมื้อสุดท้าย] (the Last Supper) เป็นต้น ผมรู้สึกว่าผลงานเหล่านี้เป็นโครงการที่ใหญ่มาก ผมหวังว่าพวกเราจะมีผลงานดีๆ เหลือไว้เช่นกัน แต่ไม่ใช่รูปแบบเดียวกับของพวกเขา เพราะของเราจะสะท้อนฝ่าหลุนต้าฝ่า แต่จะเหมือนกันในด้านของจิตวิญญาณ หนึ่งคือต้องมีแนวความคิดที่ดี มีฝีมือ มีเวลา และยังต้องมีเงื่อนไขที่จำเป็นอีกมากมาย ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่า ถ้าอยากจะทำโครงการในลักษณะนี้ออกมาให้ดี ในภาพรวมทั้งหมดจะต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมาก

อาจารย์ คิดเสียจนใหญ่โตมาก ไม่ต้องรีบร้อน ให้ค่อยเป็นค่อยไป ให้พวกเราสร้างสรรค์ไปตามกำลังความสามารถที่มีอยู่ พวกท่านเป็นผู้ริเริ่ม ถ้าพวกท่านมีกำลังความสามารถ พวกท่านก็ทำ ถ้าพวกท่านทำไม่ได้ คนที่อยู่ข้างหลังก็จะต้องทำอย่างแน่นอน มนุษยชาติจะต้องสร้างสรรค์ความเกรียงไกรให้แก่ต้าฝ่าอย่างแน่นอน เพราะต้าฝ่าให้สิ่งต่างๆ แก่มนุษย์มากมายนัก! (เสียงปรบมือ)

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันรู้สึกว่าในภาพเขียนของจีนรูปลักษณ์ของพระพุทธมีเครื่องประดับมากมาย วาดได้สวยงาม สวยงามมาก แต่ปัจจุบันนี้วาดออกมาอย่างเรียบๆ ง่ายๆ กันทั้งหมด ดิฉันรู้สึกว่าดูไม่ค่อยสวยงาม

อาจารย์ จุดที่ดูต่างกัน ณ ที่ของมนุษย์ตรงนี้มันปรากฏออกมาอย่างนี้ ณ แต่ละยุคสมัย พระพุทธจะปรากฏให้ผู้คนในแต่สมัยได้เห็นในชุดเครื่องแต่งกายของแต่ละยุคสมัย ในระยะแรกเมื่อข้าพเจ้าเริ่มเผยแพร่ฝ่า เวลาที่พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ มาหาข้าพเจ้า ชุดที่พวกเธอสวมใส่พวกท่านคงคาดคิดไม่ถึง พวกท่านทราบ ในสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรม หญิงสาวชาวจีนชอบใส่ชุดเครื่องแบบทหาร สีเขียวใบหญ้ากันมากที่สุด (ที่ประชุมหัวเราะ) พวกเธอแปลงกายมาในชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวใบหญ้า ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดคือ พระพุทธจะปรากฏออกมาให้เห็นตามทัศนคติของมนุษย์ในโลกในแต่ละยุคแต่ละสมัย อันที่จริงรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพระพุทธคือ ห่มจีวรสีเหลือง มีเส้นผมสีฟ้าม้วนเป็นขดๆ แน่นอนรูปปั้นสลักและภาพวาดของสมัยโบราณย่อมแตกต่างจากของเวลานี้ในระดับหนึ่ง ในสมัยนั้นรูปลักษณ์ของพระพุทธจะดูวิจิตรตระการตา นั่นก็ปรากฏออกมาตามทัศนคติของคนในเวลานั้น แน่นอนหากสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพระพุทธ ก็จะสามารถมองเห็นโลกของพระพุทธและแสงรัศมีของร่างพระพุทธ นั่นจะเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่สง่างามอย่างที่สุด เป็นเพราะเทพตั้งใจเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เวลาปรากฏให้คนเห็น

ศิษย์ ปัจจุบันภาพวาดของเราเรียบง่ายมาก

อาจารย์ พระพุทธ พระโพธิสัตว์ที่วาดในสมัยถัง จะมีเครื่องประดับมากสักหน่อย จะวาดตามรูปลักษณ์ของเทพในสมัยถังในเวลานั้นก็ได้

ศิษย์ ดิฉันใช้เวลาครึ่งปีที่พระราชวังลุฟวร์ ขณะที่ไกด์นำเที่ยวแนะนำภาพวาดของโมนาลีซ่าอยู่นั้น ดิฉันได้ยินเขาพูดถึงเทพในอดีต เขาบอกว่าโมนาลีซ่าเป็นตัวแทนของรูปลักษณ์ของเทพประเภทหนึ่งในอดีต บอกว่าเทพไม่ใช้เครื่องประดับใดๆ แต่ได้ฟังท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องนี้ ดิฉันจึงไม่เข้าใจ

อาจารย์ ที่วาดอยู่ในภาพใบนั้นคือมนุษย์ ไม่ใช่เทพ และไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่ผู้คนพูดกัน และเงาข้างในนั้นดูไม่ดีอย่างยิ่ง

ศิษย์ ไกด์นำเที่ยวบอกว่ามันสะท้อนภาพของผู้สูงศักดิ์ในอดีต บอกว่าผู้สูงศักดิ์ไม่ใช้เครื่องประดับใดๆ

อาจารย์ ล้วนแต่คนพูดทั้งสิ้น คำพูดของของไกด์นำเที่ยวเชื่อถือไม่ได้ เทพบนสวรรค์ใส่ต่างหูเป็นจำนวนมาก เทพธิดาบนสวรรค์จะใส่เครื่องประดับอย่างเช่นต่างหูเป็นต้น นั่นก็เป็นฝ่าชี่(อุปกรณ์ฝ่า) เทพในรูปลักษณ์ของคนตะวันตก ดูเหมือนเทพธิดาจะใส่เครื่องประดับบนร่างกายค่อนข้างน้อย พระโพธิสัตว์ดูเหมือนจะใส่เครื่องประดับมากสักหน่อย โดยปกติเทพจะมีสร้อยคอ พระโพธิสัตว์ยังจะมีสร้อยประคำเม็ดใหญ่และยาวๆ

ศิษย์ ท่านอาจารย์ นางฟ้าโปรยดอกไม้มีความหมายอย่างไรถึงวันนี้ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจ

อาจารย์ เมื่อบนโลกมีผู้มาโปรดมนุษย์บรรยายธรรม หรือมาทำสิ่งที่ดีและยิ่งใหญ่ พวกเธอจึงจะโปรยดอกไม้ มีผู้ฝึกจำนวนมากมองเห็น เวลาอาจารย์บรรยายฝ่าทุกครั้งพวกเธอก็จะโปรยดอกไม้ (เสียงปรบมือ) เธอกำลังให้กำลังใจแก่สรรพชีวิต โปรยดอกไม้ให้แก่พวกท่าน

ศิษย์ (คำแปล) ไม่ใช่บ่อยครั้งที่ผมจะมองเห็นเทพในมิติอื่น มองเห็นก็ไม่ค่อยจะชัดเจน ทำอย่างไรผมจึงจะรู้ว่าตัวเองวาดได้ถูกต้องหรือไม่ปัญหาข้อสำคัญคือ เวลาจะวาดเทพต้องวาดอะไรบ้าง

อาจารย์ โดยปกติ รู้คร่าวๆว่าใส่เสื้อผ้าในลักษณะใด มีรูปลักษณ์คร่าวๆเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็คือพื้นฐาน รอบๆตัวพวกท่านมีศิษย์ต้าฝ่าจำนวนมากที่มองเห็นทัศนียภาพในแบบต่างๆ ท่านสามารถให้พวกเขาลองพูดให้ฟัง เวลาวาดภาพ ก็จะรู้โดยธรรมชาติว่าโครงสร้างของภาพควรจะเป็นอย่างไร และสิ่งที่ควรจะวาด

ศิษย์ ดิฉันใคร่ขอถาม เกี่ยวกับภาพวาดของเด็ก เพราะว่าเด็กๆ มีความบริสุทธิ์ที่สุด ไร้เดียงสาที่สุด พวกเขาไม่มีความรู้ทางเทคนิค ฉะนั้นอาศัยมือพวกเขาวาดออกมา ฝีมือการวาดแบบนี้กับสิ่งที่พวกเราต้องการ คือความชำนาญทางเทคนิคนั้น มีความแตกต่างมากไหม

อาจารย์ ใช่ นักเขียนภาพก็คือนักเขียนภาพ เด็กก็คือเด็ก เด็กไม่ถือว่าเป็นนักเขียนภาพ เด็กที่ชอบวาดภาพคือเริ่มต้นในการเดินสู่เป็นนักเขียนภาพ ยังไม่ถือว่าเป็นนักเขียนภาพ คนที่วาดได้ไม่ดีก็จะไม่สามารถวาดภาพตลอดไป วาดได้และวาดไม่ได้ย่อมแตกต่างกันตลอดไป ดังนั้นเด็กจึงต้องศึกษา ฝึกฝนสิ่งที่เล่าเรียนมาให้ดี แม้แต่รูปภาพที่ผู้ใหญ่วาดให้เด็กๆ ในทุกวันนี้ก็มีหลังจากที่สำนักสมัยใหม่ปรากฏออกมาแล้ว ในอดีตหนังสือนิทานภาพนั้นก็วาดให้เด็กๆ ดู ในอดีตนิทานภาพประเภทนั้นก็วาดตามวิธีที่สืบทอดมาตามประเพณี

ศิษย์ เช่นนั้นหากเด็กๆ อยากจะวาดสิ่งที่เกี่ยวกับต้าฝ่า ให้พวกเขาวาดออกมาโดยตรง จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ หรือจะต้องเรียนจากสถาบันวิชาการ จะต้องมีความชำนาญทางเทคนิคจึงจะสามารถแสดงผลงานหรือ

อาจารย์ เด็กๆสามารถจะฝึกวาดภาพ ภาพที่ฝึกวาดไม่สามารถจะนับเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ แต่การบ้านของเด็กๆจากชั่วโมงเรียนวาดเขียนของโรงเรียน สามารถนำไปแสดงประกวดในโรงเรียน นักเรียนของโรงเรียนหมิงฮุ่ยแน่นอนจะต้องศึกษาฝ่า ชั่วโมงเรียนวาดเขียนย่อมต้องวาดสิ่งที่เกี่ยวกับต้าฝ่าและผู้ฝึก นั่นก็เป็นเพียงการเรียนและการบ้าน แต่ข้าพเจ้าหวังว่าชั่วโมงเรียนศิลปะของโรงเรียนทั้งหมด จะฝึกสอนวิชาพื้นฐานให้แก่นักเรียนอย่างเป็นทางการ อันที่จริงเทพที่วาดออกมาโดยไม่มีความสามารถทางเทคนิคเป็นการวาดเทพให้อัปลักษณ์ใช่หรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีความตั้งใจดี แต่พูดจากอีกด้านหนึ่ง เทพไม่สามารถจะให้วาดกันอย่างง่ายๆ ลวกๆ ใช่หรือไม่ หากวาดไม่เป็นแล้วจะแสดงความน่าเกรงขาม ความดีงามและถูกต้องของเทพออกมาได้อย่างไร แน่นอนวาดผู้ฝึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่โรงเรียนหมิงฮุ่ย นักเรียนที่ตัวเองอยากฝึกวาดภาพ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ทำได้ ภาพที่วาดได้ดีทางโรงเรียนสามารถจัดประกวดกันเอง แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ผลงานที่มีระดับมาตรฐานสูงอย่างแท้จริงนั้นจะต้องใช้ความสามารถ(กงฟู) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดนิทรรศการ จะต้องแสดงผลงานที่มีมาตรฐานดั้งเดิมขนานแท้และความชำนาญออกมา

ศิษย์ เวลาวาดภาพเหตุการณ์ที่ศิษย์ต้าฝ่าและท่านอาจารย์ทำการเจิ้งฝ่า พุทธ เต๋า เทพในมิติอื่นๆ ที่วาดออกมา เนื่องจากเทพทั้งหมดของจักรวาลเก่าต่างก็ไม่เข้าร่วมกับการเจิ้งฝ่า เช่นนั้นจะสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าเป็นปรากฏการณ์ของร่ายกายของศิษย์ต้าฝ่าในมิติต่างๆ ที่เข้าร่วมการเจิ้งฝ่า ณ มิติต่างๆ

อาจารย์ ไม่ใช่ว่าเทพทั้งหมดไม่เข้าร่วม เทพส่วนใหญ่ในจักรวาลไม่เข้าร่วม แต่นอกจากอิทธิพลเก่าแล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของอาจารย์และส่งผลในด้านบวก ยังมีทหารสวรรค์ ขุนพลสวรรค์คอยปกป้องฝ่า ไม่ใช่ว่าเทพทั้งหมดไม่เข้าร่วม เทพถูกต้องบางส่วนก็เข้าร่วม ท่านสามารถไปวาด ขณะอยู่ท่ามกลางเจิ้งเนี่ยน (ความคิดถูกต้อง) ศิษย์ต้าฝ่าสามารถระดมอิทธิฤทธิ์และพลังกง แต่เป็นการยากที่จะระดมกำลังด้านที่เป็นเทพที่ตัวเองบำเพ็ญสำเร็จแล้ว

ศิษย์ เวลาศิษย์ต้าฝ่าเข้าร่วมการเจิ้งฝ่าในมิติอื่น เขาก็จะมีรูปลักษณ์ของพุทธ เต๋า เทพด้วย เขาจะมีรูปลักษณ์แบบเดียวกับพุทธ เต๋า เทพอื่นๆ ด้วยไหม

อาจารย์ รูปลักษณ์จะเป็นอย่างนั้น ศิษย์ต้าฝ่าจะยืนยันความถูกต้องของฝ่าอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญเท่านั้น ณ ฝั่งนั้นโดยพื้นฐานจะไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด แต่ขณะที่ฟาเจิ้งเนี่ยน (ส่งความคิดถูกต้อง) สามารถจะระดมกำลังความสามารถของฝั่งนั้น การยืนยันความถูกต้องของฝ่าโดยพื้นฐานล้วนแต่กระทำโดยร่างหลัก ณ ฝั่งนี้ เวลาที่มีเจิ้งเนี่ยนแข็งแกร่งสามารถจะระดมพลังงานและฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) อิทธิฤทธิ์ โดยปกติจะเป็นเช่นนี้

ศิษย์ เช่นนั้นได้แต่นั่งอยู่ ณ ตรงนั้นหรือ

อาจารย์ เพราะไม่อนุญาตให้เขาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองในเวลาที่มีมีร่างหลักอยู่ด้วย เพราะหลังจากที่ร่างหลักบำเพ็ญสำเร็จแล้ว เขาจะเคลื่อนไหวตามร่างหลัก ในสภาพการณ์ที่ไม่มีร่างหลัก ถ้าเขาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองมิเท่ากับว่าส่วนนั้นของเขาเป็นอิสระโดยตัวเองหรอกหรือ นั่นมิกลายเป็นอีกชีวิตหนึ่งหรอกหรือ ให้มาแทนที่ท่านแล้วหันกลับมาควบคุม ให้เป็นเช่นนั้นได้หรือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่บำเพ็ญ ก็จะไม่ใช่ท่านแล้ว ให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ฉะนั้นต้องหลังจากที่ร่างหลักทำทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จทั้งหมดแล้วรวมเข้าเป็นร่างเดียวกัน พูดกันอย่างนี้ แขนของท่าน มันขยับขึ้นมาเอง ไม่สามารถจะควบคุมมันแล้วยังจะใช่แขนของท่านอีกหรือไม่ (ที่ประชุมหัวเราะ)

ศิษย์ ฝั่งนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวแล้วจะกระทำสิ่งต่างๆ อย่างไร?

อาจารย์ คนที่ทำสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริงคือพวกท่านที่ทำการยืนยันความถูกต้องของฝ่าอยู่ในโลกมนุษย์ ก็คือท่านฟาเจิ้งเนี่ยนอยู่ ณ ที่ตรงนี้ ท่านกำลังอธิบายความจริงช่วยเหลือพลโลก เมื่อมีเจิ้งเนี่ยนแข็งแกร่งก็สามารถระดมพลังงานของท่าน ณ ระดับชั้นต่างๆ ก็มีพลังงาน ฝ่าชี่(อุปกรณ์ฝ่า) พลังกงของระดับชั้นต่างๆ มีเจิ้งเนี่ยนแข็งแกร่งมากเท่าใด กำลังความสามารถที่ระดมก็จะใหญ่เท่านั้น ผู้ฝึกบางคนหยวนเสิน(จิตหลัก)สามารถออกจากที่ตั้ง ออกจากร่าง และยังส่งผลในการเจิ้งฝ่า คนที่หยวนเสินสามารถออกจากที่ตั้งเป็นเพราะ(เขา)สามารถควบคุมร่างเทพส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว

ศิษย์ ภาพวาดในพุทธศาสนามีพุทธ เต๋า เทพจำนวนมากมาย สามารถจะใช้อ้างอิงหรือไม่

อาจารย์ สามารถใช้อ้างอิงได้

ศิษย์ ตัวหนังสือหวัด(เฉ่าซู)เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบน เช่นนั้นในภาพวาดของเรา ต่อไปนี้คำขวัญ คำนำจะต้องเขียนด้วยหนังสือตัวบรรจง(ไข่ซู)และด้วยลี่ซูไหม

อาจารย์ ตัวหนังสือหวัด(เฉ่าซู)นั้น จะเขียนออกมาภายใต้สภาวะที่คนหลงอยู่ในด้านลบของคนและถูกทัศนคติครอบงำ ข้าพเจ้าคิดว่าเขียนหนังสือตัวบรรจง(ไข่ซู)จะดีกว่า ตัวอักษรเป็นสิ่งที่เทพให้แก่มนุษย์ ทำเช่นนี้เป็นการเคารพต่อเทพ ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดในหลักการของฝ่า ถ้าท่านบอกว่าฉันชอบเขียนตัวหนังสือหวัด(เฉ่าซู) ฉันฝึกแต่การเขียนตัวหนังสือหวัด ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่สนใจในเรื่องของมนุษย์ แต่ศิษย์ต้าฝ่าจะต้องถูกต้องเที่ยงตรง

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ใคร่ขอให้ท่านพูดเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ตุนหวง และความเห็นของท่านได้หรือไม่

อาจารย์ ในสมัยโบราณที่ตรงนั้นเป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างถูกทำลายจากสงครามและขาดการบูรณะเป็นเวลานานปี ภาพจิตรกรรมฝาผนังของตุนหวงนั้นทยอยวาดออกมาในช่วงก่อนและหลังราชวงศ์ถังโดยประมาณ บางภาพเป็นทัศนียภาพบนสวรรค์ เนื่องจากเป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีคนนับถือพระพุทธและนับถือศาสนากันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากมองเห็นทัศนียภาพของพระพุทธ ทัศนียภาพของเทพ คนจึงวาดพวกเขาออกมา แต่ก็ได้รับผลกระทบจากฝีมือการวาดที่ไม่สุกงอมของทางตะวันออก ชิ้นงานขาดความสุกงอม ขาดความถูกต้องแม่นยำทางรูปทรงมิติ และโครงสร้างของรูปร่างเหมือนอย่างศิลปะตะวันตก แต่พูดถึงคนสามารถจะมีฝีมือในระดับนี้ในสมัยหนึ่งถึงสองพันปีที่แล้ว ก็สามารถทำให้พุทธศาสนาและศิลปะของจีน สามารถส่องรัศมีของความมีวัฒนธรรมที่เก่าแก่

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันใคร่ขอถาม อารยธรรมโบราณอื่นๆ อย่างเช่นอียิปต์และวัฒนธรรมมายันในทวีปอเมริกาใต้ ดูเหมือนมีความแตกต่างอย่างมากจากพุทธ เต๋า เทพที่พวกเรารู้จัก มันเคยคงอยู่จริงหรือ

อาจารย์ อารยธรรมเหล่านั้นเคยมีคงอยู่ คนพวกนั้นนับถือเทพต่างๆ มีจำนวนมากเป็นเทพที่ถูกต้อง

ศิษย์ ท่านอาจารย์ เกี่ยวกับสัตว์เทพบนสวรรค์ของตะวันออก และเทพของตะวันออก ฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) ของพวกเขา โดยสังเขปมีอะไรบ้าง

อาจารย์ โอ้ ดูเหมือนท่านกำลังถามว่าในจักรวาลมีอนุภาคเป็นจำนวนเท่าใด มีมากมาย มากมายจริงๆ ฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) เทพองค์ใดก็มีและไม่ใช่มีเพียงชิ้นเดียว คนที่บำเพ็ญขึ้นไป ฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) จะก่อเกิดควบคู่ไปกับที่คนบำเพ็ญ เช่นจามข้าวที่พระสงฆ์ใช้เป็นประจำ ลูกประคำ แป้นเคาะไม้ (ใช้ในศาสนพิธี) พู่ปัด ดาบกายสิทธิ์ของเต๋าเป็นต้น ล้วนสามารถจะกลายเป็นฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) ควบคู่ไปกับที่คนบำเพ็ญ ลูกประคำที่พระสงฆ์ถือและจับคลึงทุกวันขณะท่องชื่อพระพุทธ เมื่อเขาเลื่อนระดับชั้นสูงขึ้น พลังงานที่มือก็เพิ่มมากขึ้น จับคลึงลูกประคำต่อไปเรื่อย ๆ พลังงานข้างในนั้นก็เพิ่มพูนจนเต็ม ธาตุแท้ของลูกประคำก็จะเปลี่ยนแปลงไป ต่อไปเมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้วลูกประคำทุกเม็ดก็กลายเป็นฝ่าชี่ (อุปกรณ์ฝ่า) ลูกประคำทั้งพวงก็เป็นฝ่าชี่อีกอันหนึ่ง สำหรับคนที่มีระดับชั้นสูง ข้างในลูกประคำทุกเม็ดก็เหมือนโลกใบหนึ่งอะไรก็มี ของทุกอย่างสามารถกลายเป็นฝ่าชี่ทั้งสิ้น ศิษย์ต้าฝ่าทำการยืนยันความถูกต้องของฝ่า ท่านเขียนบทความยืนยันความถูกต้องของฝ่า ดินสอ ปากกาแท่งนั้นที่ท่านใช้เขียนทุกวันก็มีคุณูปการในอนาคตดินสอ ปากกาของท่านก็อาจจะกลายเป็นฝ่าชี่ก็ได้ สิ่งของที่คนบำเพ็ญใช้เมื่อมีคุณูปการ ก็อาจจะกลายเป็นฝ่าชี่ รวมทั้งพู่กัน แปรงวาดภาพที่พวกท่านเคยใช้ยืนยันความถูกต้องของฝ่า

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันใคร่ขอถามเกี่ยวกับรูปปั้นแกะสลัก คือรูปปั้นแกะสลักของกรีกและโรมัน ของเขาดูประณีตและถูกต้องแม่นยำมาก แต่พอหันกลับมาดูรูปปั้นพระพุทธของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ดิฉันกลับรู้สึกว่า(รูปปั้นพระพุทธของจีน)สามารถทำให้คนรู้สึกตื้นตันใจ ดังนั้นดิฉันรู้สึกว่าสัดส่วนไม่ส่งผลใดๆ กับการเคารพชื่นชมที่คนมีต่อเทพ

อาจารย์ ใช่ บนรูปปั้นพระพุทธและเทพมีฝ่าเซินของพระพุทธและเทพ แน่นอนย่อมแตกต่างจากรูปปั้นแกะสลักธรรมดา ดังนั้นจึงสามารถทำให้คนรู้สึกตื้นตันใจ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ คนจีนจะเขียนภาพที่เน้นนัยความคิด (เซี่ยะอี้) คนตะวันตกจะเน้นวาดชั้นพื้นผิว (สิ่งของ) ให้ออกมาดูถูกต้องแม่นยำ เป็นวิธีที่ต่างกันสองแบบ ล้วนสามารถทำให้คนประทับใจ เทพในภาพวาดตะวันออกสามารถทำให้คนประทับใจเพราะเป็นภาพเขียนของเทพ ถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญก็จะไม่เป็นเช่นนั้น เทพในภาพวาดตะวันตกก็สามารถทำให้คนรู้สึกเคารพชื่นชมเช่นกัน แต่ในภาพวาดตะวันตกถ้าเป็นภาพของคนธรรมดาสามัญ คนดูแล้วไม่เกิดความประทับใจ ถ้าแม้นภาพเขียน รูปปั้นสลักของจีนมีวิธีและศิลปะที่สุกงอม ถูกต้องแม่นยำเหมือนกับตะวันตกแล้วละก็ มิสามารถจะทำให้คนรู้สึกตื้นตันใจมากยิ่งขึ้น เหมือนของจริงมากยิ่งขึ้นหรอกหรือ ไม่สามารถจะเห็นชิ้นงานที่ไม่มีความสุกงอม ไม่มีความถูกต้องแม่นยำเป็นสิ่งที่ใช้ได้ เพียงเพราะมันมีความศักดิ์สิทธิ์ของเทพ ชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบบวกกับความศักดิ์สิทธิ์ของเทพ นั่นจึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น

ศิษย์ ฉะนั้น ต้องศึกษาฝีมือและศิลปะของเขา

อาจารย์ สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไม่ใช่เพียงฝีมือและศิลปะเท่านั้น ข้าพเจ้าหมายถึงให้วาดตามวิธีดั้งเดิมขนานแท้ พยายามทำให้ศิลปะสมบูรณ์แบบที่สุด เช่นนี้ก็จะเป็นการยกระดับสำหรับตัวท่าน และเคารพนับถือต่อเทพอีกด้วย

ศิษย์ (คำแปล) สิ่งที่ผมอยากถามคือ ผมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำการออกแบบ จะซูมภาพโคลสอัพอยู่เป็นประจำ เป็นต้นว่าหากผมซูมภาพโคลสอัพของศิษย์ต้าฝ่าหรือของคนธรรมดาสามัญ ผมอยากทราบว่า เวลาสร้างสรรค์งานออกแบบ สามารถจะใช้ภาพโคลสอัพส่วนใบหน้าของคนเป็นต้นหรือไม่ ไม่ทราบว่าจะเหมาะสมหรือไม่ อะไรคือมาตรฐาน

อาจารย์ ทำได้ ไม่เพียงแต่ภาพโคลสอัพเท่านั้น จะใช้คนเป็นแบบทั้งตัวก็ได้ แต่ต้องมีมาตรฐานของความสวยงามที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ชอบ ตามที่ทัศนคติของคนเข้าใจ

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ความสามารถทางด้านนี้ของผู้ฝึกในประเทศจีนแข็งแกร่งกว่าพวกเรา คือพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาดีกว่าพวกเรา พวกเขาสามารถจะช่วยอะไรบ้างหรือไม่ หมายความว่าผู้ฝึกของเราในประเทศจีนควรจะมีภาพวาดที่ดีกว่าของพวกเราเป็นจำนวนมาก

อาจารย์ ปัจจุบันนี้ พวกเราไม่ควรหวังในความช่วยเหลือจากผู้ฝึกในจีนแผ่นดินใหญ่ ณ เวลานี้คือพวกเราศิษย์ต้าฝ่าของประเทศต่างๆ นอกประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้ซึ่งมีความชำนาญในสาขานี้ที่ทำกันอยู่ แน่นอน ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาศิษย์ต้าฝ่าสักพันคนในจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งวาดภาพได้ดี แต่ปัจจุบันนี้มีการประทุษร้ายเกิดขึ้นที่ตรงนั้น

ศิษย์ สิ่งที่ผมอยากถามคือ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และภาพวาดในปัจจุบันนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับภาพวาดดั้งเดิมที่สืบทอดมา

อาจารย์ อะไรก็หลีกหนีไม่พ้นจากผลกระทบของกระแสนิยมแห่งยุคสมัย ดังนั้นภาพยนตร์การ์ตูนจำนวนมาก รูปร่างของตัวการ์ตูนเหล่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันอัปลักษณ์มาก บางตัวที่เป็นตัวแทนของความดีก็ดูไม่ดี พูดถึงภาพลักษณ์แล้วมันชั่วร้ายอย่างมาก สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดกับพวกท่านในวันนี้ก็คือเดินกลับไปสู่หนทางมนุษย์ด้วยเจิ้งเนี่ยน ด้วยความดี และด้วยวีธีดั้งเดิมขนานแท้ ในระหว่างแผ้วถางหนทางให้แก่พลโลกในอนาคต ก่อนอื่นศิษย์ต้าฝ่าต้องหาเจิ้งเนี่ยนในด้านศิลปะกลับมาเสียก่อน

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ดิฉันอยากทราบว่าการสร้างสรรค์งานวาดและการสร้างสรรค์งานดนตรีเกี่ยวข้องกันอย่างไร

อาจารย์ ล้วนต้องมีเจิ้งเนี่ยนในการสร้างสรรค์ เมื่อครู่ข้าพเจ้าก็ได้พูดกับคนที่ทำงานด้านดนตรี เพิ่งจะพูดจบไปเมื่อครู่ ก็จะไม่พูดตรงนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้พูดกับพวกเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเช่นกัน

ศิษย์ ท่านอาจารย์ ท่านกล่าวถึงความเมตตา ดิฉันไม่อยากจะวาดภาพที่ใหญ่มาก

อาจารย์ นำเสนอในหัวข้อที่เล็กก็ดีเหมือนกัน ทำได้ทั้งนั้น ท่านบอกว่าท่านจะนำเสนอเรื่องเล็กๆ สักเรื่อง ไม่ต้องการให้เป็นภาพใหญ่ อยากจะให้เป็นภาพที่เล็กๆ ก็ทำได้

ศิษย์ ท่านอาจารย์ มังกรฟ้าแปดกลุ่มผู้พิทักษ์ฝ่ามีรูปลักษณ์อย่างไร

อาจารย์ มังกรฟ้าแปดกลุ่มผู้พิทักษ์ฝ่าตรัสโดยองค์ศากยมุนี แท้จริงแล้วท่านทรงหมายถึงสรรพชีวิตแปดกลุ่ม ชีวิต จิตวิญญาณแปดกลุ่ม สิ่งที่ข้าพเจ้าจัดให้พวกท่านคือทหารสวรรค์ ขุนพลสวรรค์ให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่า และยังมีมังกร สองกลุ่มนี้ แน่นอน ศิษย์ต้าฝ่าเฉพาะบางรายยังจะมีผู้พิทักษ์ฝ่าเป็นกรณีเฉพาะ ผู้พิทักษ์ฝ่ากลุ่มอื่นๆ ไม่สามารถจะบอกได้อย่างถูกต้องแน่ชัดทั้งหมด เพราะสรรพชีวิตในกลุ่มอื่นในหลายกลุ่มเหล่านั้น ทั้งหมดอยู่ในระหว่างการเจิ้งฝ่า จะสามารถคงเหลือไว้หรือไม่ จะสามารถเดินข้ามมาหรือไม่ ต้องดูภายหลังการเจิ้งฝ่า

อาจารย์ เห็นท่านยกมือหลายครั้งแล้ว

ศิษย์ ผมเพียงอยากจะพูดว่า ผมรู้สึกว่าต้าฝ่ามีหัวข้อเรื่องมากมาย หลายปีมานี้ ต้าฝ่าดังเกริกก้องไปทั่วปฐพี

อาจารย์ ใช่ มันเป็นเช่นนั้น

ศิษย์ ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นตลอดมา รู้สึกว่าต้าฝ่าของเรามีข้อมูลหัวข้อหลากหลายอย่างยิ่ง ให้ทั้งความสุขและความสะเทือนอารมณ์ ในฐานะที่เป็นศิษย์ต้าฝ่าและศิลปิน พวกเรามีภาระหน้าที่อันนี้ ต้องทำสิ่งที่เราสมควรทำให้สำเร็จลุล่วง เมื่อเป็นเช่นนั้น แน่นอนเวลาจะลงมือวาดจริงๆ รู้สึกว่าจะมีความยุ่งยากไม่น้อย วันนี้ได้รับฟังท่านอาจารย์อธิบายด้วยตัวเอง พวกเรารู้สึกว่าเราพอจะมีทิศทางรองรับปัญหาต่างๆ แล้ว ประเด็นที่ผมอยากจะเสนอคือ หวังว่าคณะผู้จัดนิทรรศการศิลปกรรมของเรา จะทำการจัดข้อมูลหัวข้อที่สำคัญๆ ทั้งหมดให้สอดประสานกันสักหน่อย เพราะในระหว่างคิดแบบชิ้นงาน พวกเรา มีข้อมูลหัวข้อมากมายที่จะต้องวาด และมันก็สำคัญด้วย

อาจารย์ การประสานงานที่ท่านพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พวกเราบางคนพอความคิด จินตนาการเปิด ร่างภาพอย่างหยาบๆ แล้วให้พวกเราคนที่มีความสามารถวาดนำไปวาด ท่านก็ไม่ต้องไปคิดแบบชิ้นงาน ใช้วิธีอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน

ศิษย์ ศิษย์ต้าฝ่าของเราบางคนมีความสามารถคิดออกแบบงานได้ดีมาก มีความคิดดีมาก แต่ฝีมือไม่ค่อยดีนัก เหมือนอย่างการทำรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ของศิษย์ต้าฝ่า พวกเราจะแลกเปลี่ยน แบ่งปันข่าวสาร ข้อมูล ความคิด ฝีมือและศิลปะซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้มีความมั่นใจในคุณภาพของหัวข้อเรื่องที่สำคัญใหญ่ๆ เพราะเป็นงานนิทรรศการครั้งแรกของศิษย์ต้าฝ่า พวกเราต้องนำเสนอมาตรฐานที่สามารถจะเป็นตัวแทนของพวกเราศิษย์ต้าฝ่าได้อย่างแท้จริง ผมจึงคิดว่างานชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็กก็ดีทั้งนั้น แต่สำหรับชิ้นงานที่ใหญ่เกินไปจะจัดแสดงค่อนข้างลำบาก อย่างเช่นผมมีความคิดที่ดีมาก และทางด้านผีมือผมก็คิดว่าสามารถจะบรรลุมาตรฐานในระดับหนึ่ง แต่ผมก็รู้สึกว่ามีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่ผมมองไม่เห็น หรือไม่รู้ว่าจะวาดออกมาอย่างไร อยากจะให้ประมวลเข้าด้วยกัน

อาจารย์ ใช่ ควรจะเป็นเช่นนี้ พวกท่านสามารถให้คนสักสองคนรับผิดชอบในการคิดแบบ แล้วนำมาให้คนที่มีความสามารถไปวาดออกมา เช่นนี้ก็จะลดเวลาในการคิดแบบ โดยพื้นฐานให้คิดแบบเป็นร่างหยาบๆ โดยสังเขปก็พอ เพราะพวกท่านล้วนแต่มีฝีมือและศิลปะ มีความสามารถก็สามารถทำต่อได้ ข้าพเจ้าคิดว่า นี้เป็นความคิดที่สร้างสรรค์มาก

ข้าพเจ้าก็จะพูดเพียงเท่านี้ สิ่งที่เหลือ สิ่งที่เจาะจงมากกว่านี้ ให้พวกท่านดูว่าจะจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไรให้ดี ว่าจะเดินหนทางของศิษย์ต้าฝ่าออกมาอย่างไร เพราะสิ่งต่างๆ ที่พวกท่านทำในวันนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง สิ่งที่พวกท่านทำได้ดี มนุษย์จะเลียนแบบ สิ่งที่พวกท่านทำไม่ดี มนุษย์ก็จะเลียนแบบเช่นกัน ฉะนั้นศิษย์ต้าฝ่าจำต้องทำให้ดี ชิ้นงานที่พวกท่านทำไม่ดี ที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถจะนำออกมาแสดง เพราะจะส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติ ฉะนั้นไม่เพียงแต่ต้องทำด้วยวิธีที่ดั้งเดิมขนานแท้ ยังต้องนำเสนอสิ่งที่ดี นำเสนอสิ่งที่มีความเมตตา สรรเสริญต่อต้าฝ่า สรรเสริญต่อเทพ ในเวลาเดียวกันทางด้านฝีมือและศิลปะก็ต้องแสดงความมีมาตรฐาน แสดงมาตรฐานที่ดั้งเดิมขนานแท้ (เสียงปรบมือ)


หมายเหตุจากผู้แปล : บทความนี้จะมีการแก้ไขเพื่อให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาจีนมากที่สุด 
วันที่แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธันวาคม 2011