(Minghui.org) มีผู้บำเพ็ญเต๋าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากท่านหนึ่งในช่วงปลายราชวงศ์ถังถึงต้นราชวงศ์ซ้องเหนือ ชื่อของเขาคือ เฉินทวน (มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 871 - 989) ชื่อทางการคือ ทู่หนาน เขาได้รับสมญานามจากบางคนว่า “ฟู่ เหยา จือ” กล่าวกันว่าเขาสามารถ "นอนหลับได้นานถึง 3 ปี"

คนในรุ่นต่อ ๆ มาเรียกเขาด้วยความเคารพว่า "ปรมาจารย์เฉินทวน" หรือ "เทพแห่งการนอน" และยกให้เขาเป็นปรมาจารย์สายเต๋า

เนื่องจากเขาเคยเดินทางไปยังภูเขาเอ๋อเหมย เขาจึงได้รับสมญานามว่า "ผู้สำเร็จเต๋าแห่งเอ๋อเหมย" นอกจากนี้เขายังได้รับบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ จากจักรพรรดิหลายพระองค์ เช่น "ท่านซีอี” จากจักรพรรดิไท่ซ้องแห่งราชวงศ์ซ้อง วลี “ซีอี” มาจากหนังสือของเหลาจื่อ : “ซี หมายถึง มองแต่ไม่เห็น และ อี หมายถึง ฟังแต่ไม่ได้ยิน” ดังนั้นคนรุ่นต่อมาจึงเรียกเขาว่า “ปรมาจารย์ซีอี” หรือ “เฉิน ซีอี”

เฉินเป็นนักเขียนที่มีผลงานจำนวนมาก ผลงานชิ้นที่มีชื่อเสียงของเขามีชื่อว่า ซินเซียงเปี่ยน ซึ่งสื่อความหมายว่า “ลักษณะที่ปรากฏเป็นผลมาจากใจ” งานชิ้นนี้ไม่อยู่ในกรอบดั้งเดิมของการทำนายโชคชะตา โดยอธิบายว่าลักษณะใบหน้าที่ปรากฏมีทั้งด้านเมตตาและด้านชั่วร้าย แต่ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินสิ่งที่ปรากฏออกมาขึ้นกับใจของแต่ละคนมากกว่า ใจคนกำหนดโชคชะตา และพฤติกรรมของคนก็สะท้อนใจคน ดังนั้นเราสามารถบอกโชคชะตาของคนได้จากพฤติกรรมของเขา ที่จริงวิธีทำนายโชคชะตาทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือดีและชั่วจะได้รับผลที่ตามมาอย่างเหมาะสมเสมอ

ตัวอย่างเช่น ในซินเซียงเปี่ยนของเฉินทวน เขาอธิบายว่าบางคนเสียชีวิตอย่างฉับพลันจากโรคภัยเพราะพวกเขาหมกมุ่นในกามตัณหาและสูญเสียพลังงานแห่งชีวิตและแก่นแท้ของชีวิต และเหตุผลที่ผู้คนตายจากแผลเน่าเปื่อยชนิดร้ายแรงก็เพราะพวกเขาชอบกินอาหารมันมากเกินไป ทำให้น้ำหนักเกิน

สำหรับฉันแล้วมีบรรทัดหนึ่งในซินเซียงเปี่ยนที่สื่อข้อความที่สำคัญ - “ผู้คนเสียชีวิตจากโรคภัยเพราะความโชคร้ายใช่ไหม ที่จริงแล้วเป็นเพราะบาปของพวกเขาเอง แต่พวกเขากลับสาปแช่งฟ้าดิน”

ฟ้าดินในวัฒนธรรมตะวันออกสร้างโดย ผานกู่ (ยักษ์ใหญ่ในตำนานของวัฒนธรรมจีนที่สละชีวิตของเขาเพื่อสร้างโลกและใช้ร่างกายของเขาเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์และความงดงามให้แก่โลก) ขณะที่ฟ้าดินในวัฒนธรรมตะวันตกสร้างโดยพระยะโฮวา – ทั้งผานกู่และพระยะโฮวาถือได้ว่าเป็นเทพระดับชั้นสูง ในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม คำว่า "ฟ้าดิน" ไม่ใช่แค่เป็นการกล่าวถึงธรรมชาติหรือเขตแดนใดโดยเฉพาะ แต่เป็นคำที่ใช้เพื่อกล่าวถึงเทพทั้งหมดในจักรวาล ตัวอย่างเช่น คำว่า "สวรรค์" ในภาษาจีนมีความหมายแฝงถึงพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย เราจึงมักได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือจาก "สวรรค์" บ่อย ๆ

“ผู้คนเสียชีวิตจากโรคภัยเพราะความโชคร้ายใช่ไหม ที่จริงแล้วเป็นเพราะบาปของพวกเขาเอง แต่พวกเขากลับสาปแช่งฟ้าดิน” ในบรรทัดนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการดูหมิ่นเทพของมนุษย์เป็นสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคระบาดร้ายแรงต่าง ๆ การที่ใครจะสามารถรอดชีวิตจากภัยพิบัติได้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของเขา แต่เป็นเพราะทัศนคติที่เขามีต่อเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มีตัวอย่างหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ ตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับคือการเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ 4 ครั้ง หลังเหตุการณ์ประทุษร้ายชาวคริสต์โดยจักรวรรดิโรมันในประวัติศาสตร์ของชาวตะวันตก เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวด

พ็อนทิอุส พิลาทุส ผู้ว่าการราชการจังหวัดจูดีอาซึ่งเป็นชาวโรม เป็นผู้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูโดยการตรึงกับไม้กางเขน ในปี ค.ศ. 33 บางคนพูดว่าการตัดสินของพ็อนทิอุสไม่ได้เป็นเพราะหน้าที่ที่ต้องทำตามคำสั่งจากจักรวรรดิโรมัน แต่เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป จนยอมจำนนต่ออิทธิพลของชาวยิวท้องถิ่นที่เป็นปรปักษ์กับศาสนาคริสต์

การประทุษร้ายศาสนาคริสต์ของจักรวรรดิโรมันเริ่มต้นจาก เนโร ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 5 ของจักรวรรดิโรมัน ระหว่างการครองราชย์ของเขา เนโรใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและปกครองอย่างโหดเหี้ยม เขาฆ่าแม่ของตัวเอง ฆ่าภรรยาของเขาหลายคน รวมทั้งฆ่าวุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่งด้วย เขาจึงได้รับฉายาว่า "เนโร ผู้กระหายเลือด"

กล่าวกันว่าในคืนวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 64 เนโรสั่งให้เผาบ้านของราษฎรรอบวังของเขาเพื่อให้เขาเดินหน้าแผนที่จะขยายวังได้สำเร็จ แต่คุมไฟไม่ได้ ทำให้ไฟไหม้นานถึง 6 วัน 7 คืน จากพื้นที่ทั้งหมด 14 เขต เขตที่ถูกเผาทั้งหมดมี 3 เขต เขตที่ถูกทำลายบางส่วนมี 7 เขต และมีเพียง 4 เขต ที่ยังคงเหมือนเดิม

ไม่นานนักก็มีข่าวลือว่าเนโรสั่งให้วางเพลิงเผาเมือง เขากล่าวโทษชาวคริสต์ว่าเป็นผู้กระทำเพื่อปกปิดว่าเขามีส่วนร่วม และสั่งจับกุมชาวคริสต์ เนโรระงับความโกรธของกลุ่มชนที่ไม่พอใจด้วยการทรมานเหยื่อ ตรึงกางเขนพวกเขา ให้สิงโตกิน ตรึงพวกเขาไว้ที่เสาด้วยตะปูและจุดไฟเผาเหมือนเทียนมนุษย์ ความโหดร้ายของเนโรเป็นจุดเริ่มของช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของจักรวรรดิโรมันโบราณ การประทุษร้ายชาวคริสต์ยืดเยื้อยาวนานหลายร้อยปี

ภายใต้การปกครองของเนโร ชาวโรมจำนวนมากหลงเชื่อคำโกหกเกี่ยวกับชาวคริสต์ หัวใจของพวกเขาเริ่มเติมเต็มด้วยความรู้สึกเกลียดชังพระเยซูและผู้ที่ศรัทธาในพระองค์

เช่นเดียวกับที่เฉินทวนอธิบายไว้ในซินเซียงเปี่ยน การที่ชาวโรมไม่เคารพและปฏิเสธพระเยซูกับผู้นับถือพระองค์ส่งผลให้เกิดโรคระบาดขึ้นในปีถัดมา ในปี ค.ศ. 65 ประชาชนจำนวนมากจากทุกชนชั้นทางสังคมเสียชีวิตระหว่างช่วงการระบาดหนักของโรคร้าย อีก 3 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 68 เกิดจลาจลในกรุงโรม เนโรฆ่าตัวตาย เขาได้รับผลกรรมในที่สุด

เนโรเสียชีวิตอย่างอัปยศ แต่จักรพรรดิโรมันรุ่นต่อ ๆ มายังคงเลือกที่จะประทุษร้ายชาวคริสต์ ชาวโรมถูกผู้ปกครองประเทศหลอกด้วยคำโกหกของพวกเขา จึงยังคงเป็นศัตรูกับศาสนาคริสต์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องประสบความทุกข์ทรมานจากโรคระบาดอีกหลายครั้งในปีต่อ ๆ มา

การระบาดใหญ่ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของ โอริโอล (ยังมีที่แปลเป็น ออเรลิอุส ปี ค.ศ. 161-180) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "โรคระบาดของแอนโทนี"

หลังจากที่โอริโอลขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 161 เขามีทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ต่อความศรัทธาของชาวคริสต์ และเริ่มการประทุษร้ายอีกครั้ง ทำให้ชาวคริสต์จำนวนมากถูกทรมานและถูกฆ่าตาย

ครั้งนี้โรคระบาดมีต้นกำเนิดในกองทหารของกองทัพบกที่ชายแดนด้านตะวันออกของจักรวรรดิ แล้วแพร่กระจายไปยังกรุงโรมและพื้นที่อื่น ๆ ในอีก 2 ปีต่อมา ประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตจากโรคระบาด ทั้งในเมืองและแถบชนบทกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัย

เฉพาะในปี ค.ศ. 166-167 ผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดมีจำนวนมากกว่าผู้เสียชีวิตจากสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในกรุงโรมมีผู้เสียชีวิต 2,000 คนทุกวัน รวมทั้งผู้สูงศักดิ์จำนวนมาก โรคระบาดยังแพร่กระจายไปยังเอเชียไมเนอร์ อียิปต์ กรีซ และที่อื่น ๆ ทำให้ผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีจำนวนมหาศาล แม้แต่จักรพรรดิโอริโอลเองก็เสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งนี้ด้วย

โรคระบาดใหญ่ครั้งที่ 3 ถูกบันทึกไว้ในงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ ซอสซิมุส โรคระบาดครั้งนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 250 และเกิดต่อเนื่องถึง 20 ปี ก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าโรคระบาดทั้ง 2 ครั้งก่อนหน้า และเรียกกันว่าโรคระบาดของไซเปรียน เนื่องจากหัวหน้าบาทหลวงไซเปรียนเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์และเขียนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับต่อเนื่องกัน (ช่วงปี ค.ศ. 200 - 258)

เหมือนก่อนหน้านี้ โรคระบาดเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ชาวคริสต์ถูกประทุษร้าย จักรพรรดิดีซิอุสสั่งให้ชาวคริสต์ละทิ้งความเชื่อของพวกเขาภายในวันที่กำหนด หากไม่ยอม พวกเขาจะต้องถูกสอบสวนในศาล ถูกยึดทรัพย์สิน และต้องกลายเป็นทาสหรือถูกประหารชีวิต แท่นบูชาจำนวนมากถูกทุบทิ้ง โรคระบาดใหญ่ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้น

ประชาชนเสียชีวิตมากถึง 5,000 คนทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ในช่วงที่เกิดการระบาดนั้น ผู้คนแสดงออกถึงความสิ้นหวังโดยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร :

“การระบาดของโรคอย่างกะทันหันนี้เกิดอย่างฉับพลันและไม่คาดคิดมาก่อน น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดในประวัติศาสตร์จริง ๆ”

“จำนวนของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมโหฬารและโลกกำลังจะถูกทำลาย !”

“มนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมเทพจึงนำหายนะอันใหญ่หลวงนี้มาให้พวกเขา พวกเขาได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ”

พวกประมุขแพร่ข่าวลืออีกครั้ง : “เป็นเพราะชาวคริสต์ดูหมิ่นเทพแห่งกรุงโรม ทำให้ท่านโกรธ ท่านจึงนำโรคระบาดนี้มา” ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จำนวนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตอีกครั้งจากการประทุษร้าย โรคระบาดแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

ในปี ค.ศ. 270 จักรพรรดิ คลาดิอุส (ค.ศ. 268-270) เสียชีวิตจากโรคระบาด เขาก็เป็นผู้กระทำผิดในการประทุษร้ายชาวคริสต์ด้วย

การระบาดใหญ่ครั้งที่ 4 ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสนจักรแห่งยูเซบิอุส (ค.ศ. 260–340) จักรวรรดิโรมันแตกแยกออกจากกัน มีจักรพรรดิทั้งหมด 6 พระองค์ในเวลาเดียวกัน หนึ่งในจักรพรรดิที่ปกครองฝั่งตะวันออกคือ แมกซิมินัส ดาซ่า (ค.ศ. 305-313)

เขาเริ่มต้นการประทุษร้ายในเขตอำนาจปกครองของเขา ซึ่งตามมาด้วยโรคระบาดที่น่าสยดสยองในทันที ยูเซบิอุสบันทึกไว้ว่า : "สมุดลงทะเบียนที่ครั้งหนึ่งเคยมีรายชื่อเต็มทั้งเล่ม ตอนนี้ได้ถูกลบไปหมดแล้ว ไม่มีอาหารปันส่วนให้ โรคระบาดรุนแรงมากทำลายล้างประชากรเกือบหมด ร่างศพเปลือยเปล่ามีอยู่ทุกที่ หลายวันแล้วก็ยังไม่สามารถเอาไปฝังได้ บางครั้งมีสุนัขแทะกินศพเหล่านี้ ช่างเป็นภาพที่น่าสลดใจมาก !” แมกซิมินัส ดาซ่า เองก็เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ

นอกจากโรคระบาดใหญ่ข้างต้นแล้ว จักรวรรดิโรมันโบราณยังประสบกับโรคระบาดขนาดที่เล็กกว่านั้นอีกหลายครั้งเนื่องจากมีการประทุษร้ายชาวคริสต์อย่างต่อเนื่อง การเกิดโรคระบาดอย่างฉับพลันทันทีบ่อย ๆ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เมื่อโรคระบาดโจมตี “ในกรุงโรม ไม่มีใครเห็นสัญญาณเตือนว่าในอากาศเต็มไปด้วยเชื้อโรคแล้ว แต่บ้านเรือนเต็มไปด้วยซากศพ บนถนนเต็มไปด้วยงานศพ ประชาชนทุกเพศทุกวัย – ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ติดเชื้อ ทาสหรืออิสระชนเหมือนกันหมด ล้มลงและตายได้ในทันที ภรรยาและลูกที่ร่ำไห้ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในไฟกองเดียวกันกับกองเพลิงของพวกเขา

ประชาชนอกสั่นขวัญหาย “เมื่อโรคระบาดเริ่มแพร่กระจาย พวกเขาจะผลักไล่คนที่ติดเชื้อออกไป ละทิ้งพวกเขาแม้จะเป็นญาติของตัวเอง พวกเขาจะโยนผู้ติดเชื้อทิ้งไว้ข้างถนนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ร่างที่ยังไม่ได้ฝังเหล่านั้นเหมือนโคลนสกปรกในสายตาของพวกเขา”

โรคระบาดรุนแรงที่เกิดอย่างฉับพลันซ้ำ ๆ กันเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของจักรวรรดิโรมันด้วย จักรพรรดิจำนวนมากเสียชีวิตจากโรคระบาด ความพยายามของพวกเขาที่จะขยายอาณาเขตและรวมเป็นหนึ่งเดียวของจักรวรรดินั้นเป็นอันสูญเปล่า จักรวรรดิโรมันโบราณที่เรืองอำนาจค่อย ๆ เสื่อมถอย แตกแยก และสูญหายไปในที่สุด

จักรวรรดิโรมันโบราณประทุษร้ายความศรัทธาของชาวคริสต์ แต่ละรอบของการประทุษร้ายจะตามมาด้วยหายนะจากโรคระบาด ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ของสิ่งที่เฉินทวนกล่าวไว้ในงานเขียนของเขา – มันไม่ใช่คำขู่เท็จอย่างแน่นอน แต่เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่เขาได้เรียนรู้ผ่านการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม

ฉันอยากย้ำเตือนผู้คนในสิ่งที่ปรมาจารย์เฉินทวนได้กล่าวไว้ เพราะว่ามนุษยชาติในปัจจุบันอยู่ในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งสำหรับโชคชะตาในอนาคตของพวกเขา

ขณะนี้พวกเราอยู่ในยุคที่ทางพุทธศาสนาเอ่ยถึงว่า “ช่วงเวลาสุดท้ายของธรรมะ” ที่จริงแล้วมันเป็นระยะสุดท้ายของช่วงเวลานี้แล้ว เป็นชั่วขณะสำคัญยิ่งที่จักรวาลเก่ากำลังจะถูกแทนที่ด้วยจักรวาลใหม่

ฝ่าหลุนต้าฝ่าที่รู้จักกันในนามฝ่าหลุนกง เป็นการบำเพ็ญปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นการบำเพ็ญปฏิบัติระดับสูงของสายพุทธ หากอธิบายอย่างเรียบง่าย ฝ่าหลุนต้าฝ่าคือธรรมะของพระพุทธที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นชุดของหลักการแห่งจักรวาล การเผยแพร่ฝ่าหลุนต้าฝ่าในชั่วขณะที่สำคัญนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้คน ทัศนคติของผู้คนที่มีต่อต้าฝ่าจะกำหนดว่าพวกเขาจะมีอนาคตหรือไม่ และพวกเขาจะสามารถคงอยู่ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวาลนี้หรือไม่

ในชั่วขณะของประวัติศาสตร์ที่สำคัญนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเลือกที่จะประทุษร้ายฝ่าหลุนกง กระทำผิดซ้ำ ๆ เช่นเดียวกันกับโรมันโบราณ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1999 พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำโดย นายเจียง เจ๋อหมิน เริ่มต้นการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงเป็นวงกว้าง พวกเขาพูดทำลายชื่อเสียงและให้ร้ายฝ่าหลุนกงอย่างเป็นระบบด้วยคำโกหกอย่างชัดเจน พวกเขาจัดฉาก “การเผาตัวเอง” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานปลอมในการยุยงให้เกิดความเกลียดชังฝ่าหลุนกง อุบายที่ทำคล้าย ๆ กับเพลิงไฟมหึมาของกรุงโรมที่เนโรใช้กับชาวคริสต์

พรรคคอมมิวนิสต์จีนดำเนินการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงโดยใช้นโยบาย 3 อย่าง : ทำลายชื่อเสียงของฝ่าหลุนกง ทำให้ผู้ฝึกหมดตัว และกำจัดร่างผู้ฝึก ผู้ฝึกถูกทรมานด้วยวิธีที่แตกต่างกันมากกว่า 100 วิธีจนถึงทุกวันนี้

ครั้งหนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้เงิน 1 ใน 4 ของงบประมาณของประเทศเพื่อประทุษร้ายฝ่าหลุนกง พวกเขาใช้เครื่องมือประโคมข่าวเท็จของรัฐทั้งหมดและกองทัพทุกเหล่าทัพเพื่อประทุษร้ายฝ่าหลุนกง ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงจำนวนมากกลายเป็นเหยื่อของการปล้นเอาอวัยวะขณะมีชีวิต อวัยวะของพวกเขาถูกตัดออกจากร่างกายในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตและมีความรู้สึกอยู่ ร่างกายของพวกเขาอาจถูกทำลายหรือถูกนำไปขายเพื่อทำตัวเป็นอย่างเกี่ยวกับกายวิภาค ผู้ที่ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมเรียกอาชญากรรมนี้ว่า “รูปแบบความชั่วร้ายที่ยังมีให้เห็นบนโลกนี้”

ไม่มีอะไรหลบซ่อนจากสวรรค์และโลกได้ การวางตำแหน่งตัวเองเมื่อเผชิญกับการกระทำที่เหี้ยมโหดอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า “ครอบครัวที่ทำดีจะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้ามครอบครัวที่ทำชั่วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” ทัศนคติที่ต่างกันจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

ประชาชนในโรมันโบราณหลงเชื่อคำโกหกหลอกลวงที่ใส่ร้ายชาวคริสต์ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความคิดที่ชั่วร้ายต่อพระเยซูและผู้ศรัทธาในพระองค์ พฤติกรรมของพวกเขาทำให้สวรรค์โกรธและส่งผลให้เกิดโรคระบาดที่ก่อความเสียหายใหญ่หลวงเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง

ในวันนี้ หากผู้คนยังคงถูกหลอกจากคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หากพวกเขาเห็นด้วยกับการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงและปฏิเสธธรรมะของพระพุทธที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายจากการถูกกำจัดทิ้งในช่วงการเปลี่ยนผ่านของจักรวาลอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่ทางร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงการกำจัดชีวิตชั่วนิรันดร์ของพวกเขาด้วย

ทำไมผู้ฝึกฝ่าหลุนกงยังคงอธิบายความจริงให้กับผู้คนอย่างต่อเนื่อง เพราะคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทำให้ฝ่าหลุนกงดูเหมือนชั่วร้ายหรือดูเหมือนมีอันตรายก่อให้เกิดพิษร้ายในใจของสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับอันตรายอย่างแท้จริงจากการถูกกำจัดทิ้งและการดับสลายของชีวิตพวกเขา เป้าหมายสุดท้ายของพรรคคอมมิวนิสต์คือการทำลายมนุษยชาติถึงรากฐาน มันไม่เพียงทำผ่านทางการทำให้ตายทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมในอาชญากรรมต่อธรรมะของพระพุทธและทำลายพวกเขาในที่สุด

ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงหวังว่าผู้คนทั่วโลกจะสามารถเรียนรู้ความจริงและไม่หลงเชื่อคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกต่อไป เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติเหล่านี้ และสอดคล้องกับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล - ความจริง ความเมตตา ความอดทน - รวมถึงเปลี่ยนเป็นคนดีอย่างแท้จริงและมีอนาคตที่สดใสและมีความสุข ฝ่าหลุนกงชี้ทางให้คนกลับสู่ตัวเองที่แท้จริง เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับไปยังโลกสวรรค์ของพวกเขา พูดอีกอย่างหนึ่งคือฝ่าหลุนกงให้วิธีช่วยเหลือคนถึงรากฐาน

พรรคคอมมิวนิสต์ก่ออาชญากรรมที่ให้อภัยไม่ได้จำนวนมากในช่วงกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมันจะต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 มีการค้นพบหินขนาดมหึมาที่แตกหักเมื่อ 500 ปีก่อน ที่เมืองซ่างปู เทศมณฑลผิงถัง เขตปกครองตนเองเฉียนหนาน มณฑลกุ้ยโจว ภาคตัดขวางของก้อนหินมีตัวอักษรจีน 6 ตัว : “พรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลาย” นักวิทยาศาสตร์ไปทำการตรวจสอบและได้ข้อสรุปว่าตัวอักษรเหล่านั้นเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์และเกิดขึ้นเมื่อ 270 ล้านปีก่อน นี่ไม่ใช่การแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงเจตจำนงของสวรรค์ในโลกมนุษย์หรือ

น่าเศร้าที่มีคนจำนวนมากถูกหลอกหรือถูกบังคับให้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและองค์กรยุวชนของพรรค เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับองค์กรเหล่านั้น พวกเขาได้ปฏิญาณว่าจะมอบชีวิตให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ดังนั้นหากพวกเขาไม่ถอนตัวออกจากพรรค พวกเขาจะต้องดับสลายเคียงคู่กันไปกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อถึงเวลาที่สวรรค์ลงโทษปีศาจชั่วร้ายนี้

ในชั่วขณะที่วิกฤตนี้ ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงก้าวออกมาเพื่ออธิบายความจริงต่อผู้คนแม้จะต้องเสี่ยงชีวิต บอกพวกเขาว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าดีและสนับสนุนให้พวกเขาลาออกจากองค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้พวกเขาสามารถเลือกได้ถูกต้องและได้รับการช่วยเหลือ ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงไม่มีจุดประสงค์เบื้องหลังทางการเมืองแต่อย่างใดในการอธิบายความจริงของพวกเขา พวกเขาเพียงต้องการช่วยให้ผู้คนแยกตัวออกมาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ชั่วร้ายเพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยเหลือ

บางคนชี้ให้เห็นว่า ทุกครั้งที่เริ่มมีการประทุษร้ายในยุคโรมันโบราณ ก็จะมีการแพร่ระบาดของโรคร้ายตามมาไม่นานนัก แต่ทำไมไม่มีการแพร่ระบาดของโรคร้ายแม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะประทุษร้ายฝ่าหลุนกงมาหลายปีแล้ว

ในความเป็นจริงมันง่ายมากที่สวรรค์จะกำจัดพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้ที่กระทำผิดผ่านทางโรคระบาด โรคซาร์ที่ระบาดในปี ค.ศ. 2003 คือสัญญาณเตือน แต่ยังคงมีคนจำนวนมากที่ถูกหลอกจากคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังไม่ได้ลาออกจากองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีน และยังคงยึดมั่นอยู่กับความเชื่อที่ไม่มีวันเป็นจริงเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน สวรรค์มีเมตตาและให้โอกาสผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับฝ่าหลุนกงและลาออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน

แน่นอนว่าสวรรค์จะทำลายพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เนื่องจากเรื่องของฝ่าหลุนกงเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญต่อการคงอยู่และมีผลต่อโชคชะตาของสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน เทพผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาจึงยืดระยะเวลาครั้งแล้วครั้งเล่าและเลื่อนจุดเริ่มต้นของการเกิดภัยพิบัติจากโรคระบาดออกไป

บางคนอาจคิดว่า : "นักพยากรณ์ทำนายอายุขัยของฉันไว้แล้ว ยังบอกโอกาสที่ฉันจะได้โชคและมีความสุข และบอกว่าฉันจะมีชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข"

ความจริงคือไม่ว่านักพยากรณ์จะทำนายเก่งเพียงไร เขาก็เพียงสามารถบอกสิ่งต่าง ๆ โดยดูจากชีวิตในอดีตของคน เมื่อโรคระบาดมาถึง มันไม่สนใจวาสนาในอดีตของคุณ แต่มันตัดสินผู้คนจากทัศนคติของพวกเขาต่อเทพบนสวรรค์และทัศนคติของพวกเขาต่อธรรมะของพระพุทธ ถ้าใครมีความเชื่ออย่างแท้จริงว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าดีและออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้นั้นก็จะได้รับความคุ้มครอง หาไม่แล้วเขาอาจเผชิญกับอันตรายจากการถูกกำจัดทิ้ง

ฉันหวังว่าผู้คนในโลกจะสามารถเรียนรู้ความจริงและเลือกได้ถูกต้อง ฉันหวังว่าพวกเขาจะเชื่อในความดีของฝ่าหลุนต้าฝ่าและลาออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้มีอนาคตที่สดใส นี่คือความปรารถนาที่เร่งด่วนและจริงใจที่สุดของผู้ฝึกฝ่าหลุนกงทุกคน!