(Minghui.org)สวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพ และสวัสดีเพื่อนผู้ฝึก !

ฉันซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์การบำเพ็ญในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“ดังนั้นกรรมจะแทรกเข้าไปไม่ได้ เพียงแต่ธาตุแท้ของคนถูกกลบไปเท่านั้น ธาตุแท้มีวิธีพิจารณาเรื่องราวและสิ่งของของตัวเอง ถ้าหากสามารถขจัดความคิดที่ก่อตัวขึ้นภายหลังทิ้งไปเสีย และเผยวิธีการพิจารณาด้วยธาตุแท้ของคนออกมา นั่นคือที่ ๆ ท่านจากมา ความคิดที่ก่อเกิดในระยะเริ่มแรกของท่าน ก็คือความคิดเริ่มแรก ณ ที่ ๆ ท่านถูกสร้างขึ้นมา”(จิตพุทธ จ้วนฝ่าหลุน เล่ม 2)

ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ฉันบำเพ็ญได้ไม่ก้าวหน้านัก ฉันได้ทำสามสิ่ง ฝึกท่า และเข้าร่วมกิจกรรมของต้าฝ่าหลายโครงการ ถึงกระนั้นฉันเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่ ฉันรู้ว่ามีบางอย่างขวางไม่ให้ฉันก้าวไปข้างหน้า แต่ฉันก็หาสาเหตุไม่พบ ในขณะเดียวกัน สภาวะการบำเพ็ญของฉันก็ปรากฏชัดในโครงการโทรศัพท์ เพราะการโทรศัพท์ของฉัน ที่หลายครั้งเจาะผ่านไฟร์วอลล์ไม่ได้

คอมพิวเตอร์แล็บท็อปเสีย

แล็บท็อปของฉันขึ้นข้อความแจ้งว่าผิดพลาดร้ายแรง (serious error)โดยไม่มีอาการผิดปกติเตือนมาก่อนอุปกรณ์หยุดทำงานโดยสิ้นเชิง ฉันได้เครื่องใหม่มาเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพื่อทำงานต่อ และเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนออนไลน์ได้ ฉันได้เครื่องใหม่มาเปลี่ยนเร็วมาก แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในทีมของเราตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าฉันใช้เครื่องนี้ไม่ได้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และต้องเปลี่ยนใหม่

อุปกรณ์ของศิษย์ต้าฝ่าไม่ควรเสีย และก็น่าแปลกใจว่าทำไมฉันได้แล็บท็อปใหม่ที่ใช้ไม่ได้ การทำงานต้าฝ่าและการมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนนั้นเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นมันต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับทัศนคติของฉัน – วิธีที่ฉันทำสิ่งต่าง ๆ - หรือความคิดในตอนนั้น ฉันจำได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันพยายามอัปเดตเครื่องแต่อัปเดตได้ไม่สมบูรณ์

ฉันตระหนักว่าฉันไม่สามารถยกระดับในการบำเพ็ญเพราะมีบางอย่างขวางกั้นอยูุ่ ฉันค้นหาจากภายในเพื่อหา สาเหตุแต่ก็ไม่พบอะไร

ค้นหาจิตยึดติด

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“ฉะนั้นความคิดและจิตสำนึกนี้ก็คือมีความหมายมั่น เมื่อความคิดและจิตสำนึกของคนโดยตัวมันเองต้องการจะเคลื่อนความคิด พูดอะไรสักหน่อย ทำอะไรสักหน่อย ควบคุมอวัยวะสัมผัสของคน แขนขาทั้งสี่ ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็อาจจะเป็นการยึดติดแบบหนึ่ง” (บทที่ 8 จ้วนฝ่าหลุน)

ฉันจำได้ว่ามีความคิดแวบหนึ่งขึ้นมา “ฉันจะไม่คืนแล็บท็อปใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ฉันจะเก็บมันไว้ในลิ้นชัก” พอฉันดูความคิดให้ละเอียดขึ้น ก็มีบทสนทนาผุดขึ้นมาในหัวของฉัน “มันไม่ดีสำหรับร้านอิเล็กทรอนิกส์ถ้าคุณคืนของ คุณไม่ได้ใส่ใจ” อีกเสียงหนึ่งพูดว่า “หาข้อแก้ตัวในฝ่าแย่จริง ๆ” ฉันรับรู้ว่าตัวเองมีจิตยึดติด กลัวว่าจะเสียหน้า กลัวว่าจะทำอะไรผิดและจะดูไม่ดี อยู่ในสภาวะอย่างนี้มันแย่มาก ฉันรีบแก้ไขตัวเองด้วยความคิดถูกต้อง และทำให้มั่นใจว่าทุกชิ้นส่วนจะต้องใส่กลับเข้าไปในอุปกรณ์

จิตยึดติดนำทางผู้บำเพ็ญไม่ได้ พวกเราผู้บำเพ็ญต้องสอดคล้องกับฝ่า ตัวตนที่แท้จริงของฉันซึ่งมีความจริงใจควรเข้าควบคุม ฉันตระหนักว่าเป็นอีกครั้งที่ฉันไม่ได้ค้นหาจากภายใน แต่กลับต้องการแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เหมือนอย่างที่คนธรรมดาสามัญทำกัน

จากนั้นฉันรับรู้ได้ว่าตัวเองมักไม่มุ่งเน้นที่ปัญหาที่ยากจะจัดการ แต่จะรีบทำสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ปัญหา และทำเพื่อแก้ไขปัญหา จิตสำนึกหลักของฉันอ่อนแอลง และสิ่งอื่นและจิตยึดติดก็เข้าควบคุม

ฉันตระหนักได้ในทันทีว่าการโทรศัพท์ของฉันทำลายไฟร์วอลล์จีนได้อีกครั้ง มันวิเศษมากในตอนนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฉันมีอัตราการโทรล้มเหลวสูงผิดปกติถึง 50 เปอร์เซ็นต์

การแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกอีกคนหนึ่งทำให้กระจ่างขึ้น

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“ความคิดอย่างหนึ่งเมื่อก่อตัวขึ้น จะครอบงำตัวท่านตลอดชีวิต มีอิทธิพลต่อความนึกคิดตลอดจนอารมณ์ดีใจ โกรธ เสียใจ และความสุขของคน นี่เป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นภายหลังคนเกิด นานวันเข้าสิ่งนี้จะหลอมเข้ากับความนึกคิด หลอมเข้ากับสมองที่แท้จริงของตัวเอง และก่อกำเนิดเป็นอุปนิสัยของคนคน นั้น” (จิตพุทธ จ้วนฝ่าหลุน เล่ม 2)

หลังจากศึกษาฝ่าด้วยกันแล้ว เราถกกันถึงข้อบกพร่องของเรา ฉันต้องการให้กำลังใจเพื่อนผู้ฝึก และบอกว่าเราสามารถและควรแก้ไขตัวเองด้วยการยอมรับความผิดพลาด จากนั้นเขาต้องการให้ฉันเขียนรายการจิตยึดติดของฉัน เพื่อช่วยให้เขามองเห็นมันได้ชัดเจนขึ้น

ดังนั้น ฉันจึงเขียนรายการจิตยึดติดออกมา : ความพอใจในความสมบูรณ์แบบ จิตยึดติดต่าง ๆ และอื่น ๆ เขากลับโกรธ เกือบตะโกนใส่ฉัน และพูดว่าฉันกำลัง “กล่าวหาว่าเขาเป็นซากศพ” ฉันบอกจิตยึดติดที่ฉันไม่มีให้เขาฟัง ทั้งหมดนี้เพียงปกปิดจิตยึดติดมูลฐานเท่านั้น

ฉันกลัวแต่ยังคงสงบนิ่ง ฉันต้องการค้นหาจิตยึดติดของตัวเองที่ยังหาไม่พบและพยายามค้นหาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันรับรู้ได้ในตอนนั้นว่าฉันกำลังจมอยู่ในความสุขสบายเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ ประหนึ่งว่าฉันกำลังลงนอนบนหมอนที่นุ่มสบาย และได้ละทิ้งจิตสำนึกหลักของตัวเอง

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“หลับตาสู่นิทราตัดขาดความว้าวุ่นใจ

ตื่นขึ้นมาเรื่องมากมายทำไม่หมด

ฟ้าดินยากจะขวางกั้นหนทางการเจิ้งฝ่า

เพียงแต่จิตมนุษย์ของศิษย์ขัดขวาง” (“ยุ่งยาก” หงอิ๋น 3)

ในบริบท ฉันถามตัวเองว่าทำไมเริ่มบำเพ็ญ ความคิดอะไรพาฉันมาสู่ฝ่าหลุนต้าฝ่า มันคือ : “ชั่วขณะหนึ่งเพื่อที่จะไม่ต้องกังวล เพื่อเป็นอิสระจากทุกสิ่งบนโลก !” หมายความว่าฉันต้องการความสะดวกสบายและอะไรที่ง่าย ๆ ไม่ลำบาก

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“นี่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตใจของพวกเราเอง ถ้าคิดที่จะสลัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ก่อนอื่นจิตใจดวงนี้ของคุณต้องเปลี่ยนกลับมา” (บทที่ 4 จ้วนฝ่าหลุน)

ฉันต้องเปลี่ยนสถานการณ์กลับมาให้ดีขึ้น เพื่อจะก้าวไปข้างหน้า ฉันตัดสินใจทำทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ฉันยังตัดสินใจฝึกท่าชุดที่ 2 เป็นเวลา 1 ชั่วโมงด้วย

ในหลายสัปดาห์ต่อมา ฉันพบปัญหามูลฐานของฉัน ฉันให้พื้นที่กับตัวตนที่แท้จริงของฉันน้อยเกินไป - จิตยึดติดของฉันควบคุมความคิดของฉัน ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของฉันที่ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยทัศนคติผิด ๆ แต่ฉันปล่อยให้จิตยึดติดของตัวเองควบคุมความคิดและการกระทำ ฉันมองมันแยกออกจากตัวเองไม่ได้ หากความยึดติดเข้าควบคุม มันจะไม่กลมกลืน และนำมาซึ่งสภาวะที่กลมกลืนไม่ได้

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“มีเพียงสนามพลังงานของการซิวเลี่ยนฝ่าที่ถูกต้องเท่านั้น” (บทที่ 3 จ้วนฝ่าหลุน)

ให้ตัวตนที่แท้จริงควบคุม

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของฉัน บางครั้งก็เป็นความคิดจาง ๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น แต่ฉันสังเกตได้ทุกครั้งที่มันกำลังคิดอยู่ข้างใน ฉันไม่รู้ว่าฉันได้บำเพ็ญในด้านนี้บ้างหรือเปล่า

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“ที่มาของความคิดนานาชนิดที่ฝั่งนั้นซับซ้อนอย่างมาก บทบาทของชีวิตนานาชนิดล้วนผสมเข้าด้วยกันแล้วสะท้อนมาที่ชั้นผิวของคน ก็เป็นอย่างนี้ ช่างซับซ้อนอย่างยิ่ง” (การบรรยายธรรมในที่ประชุมนานาชาตินครหลวงสหรัฐอเมริกา ปี 2012)

ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจปฏิเสธความคิดที่ไร้ประโยชน์กับสถานการณ์เช่นนี้ที่ฉันเผชิญอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่คล้ายกับว่ามาจากการจัดวางของอิทธิพลเก่า การทำเช่นนี้ ฉันได้ให้พื้นที่กับความคิดที่จริงใจของฉันมากขึ้นในการคิด ทำให้พวกมันสามารถนำทางฉันได้ดียิ่งขึ้น

คำบอกใบ้จากท่านอาจารย์ทั้งในเรื่องส่วนตัวและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานช่วยให้ฉันเข้าใจว่าฉันกำลังแทรกแซงเรื่องของคนธรรมดาสามัญทุกชนิด ไม่เฉพาะเรื่องทางการเมืองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเรื่องในชีวิตประจำวันด้วย ฉันตระหนักว่าไม่ควรทำอย่างนั้น

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“พวกคุณไม่ใช่มาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ คือช่วยคนท่ามกลางอันตรายที่สุดของประวัติศาสตร์” (“ให้มีสติ”)

ตอนที่ไปซื้อของฉันพบกับชายจรจัดคนหนึ่ง ฉันรู้สึกสงสารเขาและคิดว่าบางทีฉันควรจะจ่ายเงินซื้อของให้เขาหรือเปล่า แต่แล้วฉันก็ตัดสินใจไม่ทำเพราะสังเกตเห็นว่ามีอาหารที่ฉันคิดว่าเป็นอาหารฟุ่มเฟือยอยู่ในตะกร้าของเขา พอออกมานอกร้าน ฉันชนกับเขา เขาด่าว่าฉัน ฉันมองเข้าภายในเพื่อค้นหาว่าตัวเองทำอะไรลงไปด้วยความคิดที่ฉันคิดว่าไม่เห็นแก่ตัวบ้าง

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“ต้าฝ่าคือปัญญาของจ้าวผู้สร้างสรรพสิ่ง เขาคือแก่นแท้ของการสร้างจักรวาล” (“ลุ่นอวี่” จ้วนฝ่าหลุน)

จากจุดนี้ ฉันตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นปรากฏการณ์ของฝ่าและทุกสิ่งมีเหตุผลอันสมควรของตัวเอง ฉันควรปฏิบัติต่อผู้คนอย่างมีศักดิ์ศรีและให้เกียรติ และไม่ครอบงำพวกเขาด้วยสิ่งที่เรียกว่าความเมตตาโดยเจตนา

ท่านอาจารย์กล่าวว่า

“เขาใช้หลักการของคนธรรมดาสามัญไปวัดซินซิ่งของพระพุทธ จะสามารถวัดได้อย่างไร” (บทที่ 4 จ้วนฝ่าหลุน)

ที่ทำงานของฉันซึ่งเป็นโรงเรียนได้เอาการทดสอบโควิด-19 ด้วยชุดทดสอบจากจีนมาใช้ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจว่าฉันตรวจแล้วหรือยัง ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการสั่งให้บันทึกทุกอย่างเก็บไว้ ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าได้ละเลยบางอย่างไป ฉันไม่ได้แจ้งอาจารย์ใหญ่ และกระทรวงว่ารายได้จากชุดทดสอบให้ผลประโยชน์ทางอ้อมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้มันประทุษร้ายผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าและกลุ่มอื่น ๆ ต่อไปได้

ในจดหมาย ฉันย้ำว่าไม่ต้องการเข้าร่วมกับพวกสนับสนุนมาตรการหรือพวกที่ต่อต้านพวกเขา นั่นคือฉันไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ฉันแค่อยากชี้ให้เห็นว่าเรากำลังสนับสนุนการต่อต้านการปราบปรามผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าและกลุ่มอื่น ๆ อยู่ หลังจากผ่านไป 2 – 3 วัน ฉันรู้สึกว่าสถานการณ์เกี่ยวกับการทดสอบกำลังคลี่คลาย ที่จริงเพื่อนร่วมงานของฉัน ได้แบ่งเป็นสองค่ายที่มีความเห็นตรงข้ามกันอยู่แล้ว

ความประสานกลมกลืน

ฉันรู้สึกประสานกลมกลืนในใจ ทั้งหลักสูตร การทดสอบของนักเรียนและครู ทุกอย่างดูเล็กน้อยลงในใจฉัน เรื่องพวกนั้นไม่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดอีกต่อไปแต่เป็นฝ่า ฉันอยู่ที่นั่นเพียงเพื่อเด็ก ๆ วัยรุ่น และคนหนุ่มสาวเท่านั้น ฉันถามตัวเองว่า “พวกเขาต้องการอะไรมากที่สุด” กลุ่มเรียนรู้ไม่ได้หายไปไหน ถ้าฉันพูดกับเด็กและชี้ให้เห็นว่าเขากำลังทำให้เด็กอีกคนขุ่นเคือง ไม่มีใครทักท้วง ทุกคนฟังอย่างเงียบ ๆ

บรรยากาศที่กลมกลืนแผ่ซ่านไปทั่วแม้จะสวมหน้ากากและอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดปกติและตึงเครียดก็ตาม ฉันเคยคิดว่าไม่มีใครรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้ อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฉันตระหนักว่ากิจกรรมของครูทั่วไปทุกคนถูกควบคุมด้วยจิตยึดติดและเกี่ยวข้องกับจิตแข่งขันมากมาย และฉันต้องขจัดพวกมันออกไป

นักเรียนคนหนึ่งจากชั้นเรียนที่กำลังจะจบการศึกษาส่งการบ้านผิดมา เธอสับสนชื่อกับรูปภาพจนทำให้ทำการบ้านผิดไป ฉันอธิบายให้เธอฟังอย่างสงบว่าเธอเลือกภาพมาวิเคราะห์ผิด ในตอนนั้นมีนักเรียนอีกคนแก้ตัวแทนเธอ และพูดว่าเพื่อนของเธอไม่ควรถูกตำหนิ ฉันรอจนเธอพูดจบ และถามเธอว่าพูดจบหรือยัง จากนั้นฉันถามเธอว่าเธอคิดว่าฉันจะลงโทษเพื่อนของเธอใช่ไหม เนื่องจากเธอไม่ตอบ ฉันจึงตอบว่าจะไม่ทำอย่างนั้น

อีกครั้งที่นักเรียนเงียบ สำหรับนักเรียนที่ยอมรับอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาว่า ไม่ได้ทำงานที่ได้รับมอบหมายในช่วงล็อกดาวน์ ฉันจะบอกพวกเขาให้ทำอย่างไรเพื่อชดเชย ได้หากเป็นเมื่อก่อนฉันจะคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว แต่ตอนนี้ฉันมีความสุขอยู่ข้างในและรู้สึกประสานกลมกลืนอย่างยิ่ง

ตอนนี้ฉันเห็นทุกพฤติกรรมของนักเรียนเป็นภาพสะท้อนของตัวเอง ฉันไม่โกรธพวกเขาอีกต่อไป - พวกเขาแสดงให้ฉันเห็นว่าฉันเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเสมอไปที่จะยอมรับ เพราะการรับรู้ของเราเกี่ยวกับตัวเองอาจแตกต่างจากการสะท้อนนั้นอย่างมาก

ในชั้นเรียนของฉัน มีนักเรียนอายุ 11 ปีคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อยั่วยุเพื่อนในชั้นเรียนและฉันให้โกรธ ไม่มีการกระทำของมนุษย์แบบผิวเผินใดจะทำให้เขารู้สึกได้ ฉันคิดในชั้นเรียนว่าแย่จริง ๆ ที่เขาพยายามทำอย่างเต็มกำลังที่จะทำให้พวกเราโกรธอีกครั้ง

แล้วฉันก็นึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์

"เจ้าไม่กล้าฆ่าข้า เจ้าก็ลอดใต้หว่างขาของข้าออกไป" (บทที่ 9 จ้วนฝ่าหลุน)

ฉันตระหนักก่อนหน้านี้ว่าปัจจัยในมิติอื่นใช้คนเพื่อเป้าหมายของพวกมันเอง – เพื่อทดสอบศิษย์ต้าฝ่าและคนอื่น ๆ แต่ฉันไม่ได้ตระหนักว่าพวกมันไม่สนใจเลยว่าคนคนนั้นจะมีจุดจบอย่างไร ไม่ว่านักเรียนของฉันจะถูกลงโทษ หรือใครก็ตามที่ขวางทางหันซิ่นจะถูกฆ่า พวกมันไม่สนใจเลย

นั่นคือเวลาที่ฉันตระหนักถึงคุณค่าอันไร้ขอบเขตของพระคุณของท่านอาจารย์และหลักการของ ความจริง – ความเมตตา – และความอดทน มีเพียงสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ได้ แม้จะมีภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ดังนั้นฉันจึง “ลอดใต้หว่างขาของเขาออกไป” ฉันรับกล่องอาหารว่างของเขา เก็บไม้บรรทัดของเขาที่เขาใช้ตีตัวเอง และปฏิบัติต่อเขาเหมือนสรรพชีวิตที่จะได้รับการช่วยเหลือต่อไป โดยปราศจากคำพูดและด้วยจิตใจที่เมตตา

ขอบคุณเพื่อนผู้ฝึกที่ช่วยฉันเรียบเรียงข้อมูลเชิงลึก ให้คำแนะนำ และอ้างอิงคำพูดจากฝ่า !

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ! ในระหว่างการฟันฝ่าและขั้นตอนของความเข้าใจ ท่านไม่ได้ทิ้งฉันไว้ตามลำพัง แต่ได้แก้ไขและเสริมสร้างฉันให้แข็งแรงขึ้นด้วยสิ่งต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ด้วยความช่วยเหลือนี้ทำให้ฉันเอาชนะปัญหาทั้งหมดและก้าวหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ฉันอยากบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในฐานะที่เป็นอณูหนึ่งของฝ่า ปรับตัวเองให้สอดคล้องกับฝ่าทีละขั้น ๆ ต่อไป (บทความที่นำเสนอในที่ประชุมฝ่าฮุ่ยประเทศเยอรมนี ปี 2021)

บทความ กราฟิก และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บน Minghui.org มีลิขสิทธิ์ อนุญาตให้ทำสำเนาที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ได้ แต่ต้องระบุแหล่งที่มาพร้อมชื่อบทความและลิงก์ไปยังบทความต้นฉบับ