(Minghui.org) ทางการจีนลงข่าวมรณกรรมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยประกาศการเสียชีวิตของเจียง เจ๋อหมิน อดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ข่าวมรณกรรมนี้บอกว่าเจียงเป็นผู้นำที่โดดเด่นของจีนคอมมิวนิสต์ แต่ไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงพื้นฐานบางประเด็นของเขา ตัวอย่างเช่น เขาขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดจากความกระตือรือร้นในการปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของนักศึกษาในปี 1989 เขาทรยศประเทศจีนโดยยกดินแดนให้รัสเซีย เขาทำให้ประเทศจีนกลายเป็นรัฐที่ทุจริต และเขาบ่อนทำลายรากฐานทางศีลธรรมของประเทศจีนด้วยการประทุษร้ายฝ่าหลุนกง

เจียงเขียนประวัติศาสตร์ใหม่

เจียง ซื่อจวิ้น พ่อของเจียง เจ๋อหมิน เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรขายชาติ 2 องค์กร คือ "กอบกู้ชาติอย่างสันติ (Peaceful National Salvation)" และ "คณะกรรมการบำรุงรักษาหนานจิงชั่วคราว (Nanjin Temporary Maintenance Committee)" ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 1940 เขาเข้าร่วมรัฐบาลของวัง จิงเว่ย ในเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ซึ่งเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดขายชาติของญี่ปุ่น อ้างอิงจาก ‘ทุกสิ่งเพื่ออำนาจ : เรื่องจริงของเจียง เจ๋อหมินของจีน(Anything for Power: The Real Story of China's Jiang Zemin)’ ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2005 เจียง ซื่อจวิ้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองรัฐมนตรีในกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลของหวัง และเป็นหัวหน้าสมาชิกของคณะบรรณาธิการของสถาบัน พร้อมกับคนขายชาติอื่น ๆ เช่น นักเขียนชื่อฉาวโฉ่ หู หลานเฉิง เจียง ซื่อจวิ้น ได้รับรางวัลมากมายจากชาวญี่ปุ่นผู้รุุกรานจากการแสดงที่ "ยอดเยี่ยม" ของเขา

เจียง ซื่อจวิ้น คาดหวังไว้สูงกับบุตรชาย เจียง เจ๋อหมิน ดังนั้นเขาจึงส่งเจียง เจ๋อหมิน ไปเข้า “การฝึกอบรมผู้นำรุ่นเยาว์มหาวิทยาลัยหนานจิง (Nanjing University Young Leaders Training Session)” ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมสายลับของระบอบการปกครองหุ่นเชิด การฝึกอบรมนี้จัดขึ้นภายใต้ชื่อของมหาวิทยาลัยกลางหนานจิง (Nanjing Central University) ดังนั้นเจียง เจ๋อหมินและสายลับที่ผ่านการฝึกอบรมคนอื่น ๆ จึงได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยกลางหนานจิงจริง ๆ

เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นที่บุกรุกได้ผูกขาดธุรกิจฝิ่นของระบอบการปกครองหุ่นเชิดในเวลาต่อมา เจียง ซื่อจวิ้น และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่กระทรวงโฆษณาชวนเชื่อจึงจัดการประท้วงของนักศึกษาในปี 1943 เพื่อต่อต้านโรงฝิ่นที่ควบคุมโดยชาวญี่ปุ่น เจียง เจ๋อหมิน ลูกชายของเขาเป็นผู้นำความมุมานะครั้งนี้

พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เคยยอมรับประวัติของเจียง เจ๋อหมิน อย่างเปิดเผยที่เกิดในครอบครัวของคนขายชาติและพัวพันกับการฝึกอบรมสายลับ เมื่อเขาจ้างนายธนาคารเพื่อการลงทุนชาวอเมริกันและนักเขียน โรเบิร์ต ลอเรนซ์ คุห์น ให้เขียนชีวประวัติในปี 2005 เจียงเปลี่ยนประวัติศาสตร์ส่วนนั้น โดยอ้างว่าเขาได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวของนักศึกษา ที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนใต้ดินในปี 1943

เจียงยังปั้นน้ำเป็นตัวข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งโดยอ้างว่าลุงของเขา เจียง ซ่างชิง ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อเขาอายุ 13 ปี น้อยคนที่รู้ว่า เจียง ซ่างชิง เสียชีวิตไปแล้วในเวลานั้น แต่การโกหกเรื่อง "การรับเป็นบุตรบุญธรรม" ช่วยปกปิดมรดกขายชาติของเจียง

ทรยศประเทศจีนโดยเป็นสายลับเคจีบี

หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดอำนาจในปี 1949 เจียง เจ๋อหมินผันตัวเองไปเป็นวิศวกร เขาอาศัยการโกหกว่าเป็นบุตรกำพร้าของผู้พลีชีพ เจียง ซ่างชิง เขาจึงสามารถเข้าหา วัง เต้าหัน ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ เจียง ซ่างชิง ให้ช่วยเขาเริ่มไต่เต้าขึ้นสู่ความสำเร็จตามลำดับขั้นแห่งอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

แต่ก็มีเรื่องประหลาดใจอยู่เสมอ เมื่อเจียง เจ๋อหมินและคนอื่น 12 คน ถูกส่งไปฝึกที่มอสโกในปี 1955 เขาเล่นดนตรี ร้องเพลง และเล่าเรื่องตลกเพื่อเรียกร้องความสนใจ หน่วยข่าวกรองโซเวียตเคจีบีสนใจเขา กลายเป็นว่าเมื่อกองทัพแดงของโซเวียตเข้าประเทศจีนในปี 1945 เพื่อพิชิตญี่ปุ่น พวกเขาพบไฟล์ที่สมบูรณ์ของกิจกรรมสายลับที่สนับสนุนญี่ปุ่น รวมถึงไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับ "การฝึกอบรมผู้นำรุ่นเยาว์มหาวิทยาลัยหนานจิง " หลังจากค้นพบว่า เจียง เจ๋อหมิน เป็นลูกชายของคนขายชาติที่ฉาวโฉ่ เจียง ซื่อจวิ้น และเขาทำหน้าที่เป็นสายลับให้กับชาวญี่ปุ่นแบบส่วนตัวในตอนนั้น เคจีบีจึงมอบหมายให้คลาวาซึ่งเป็นหญิงช่ำชองแฝงตัว เข้ายั่วยวนเจียง เจ๋อหมิน

ตามที่คาดไว้ เจียงตกหลุมพราง และในขณะที่เขาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวนี้ เจ้าหน้าที่เคจีบีก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาสัญญากับเจียงว่าจะเก็บประวัติขายชาติของเขาและความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคลาวาไว้เป็นความลับ “โดยมีเงื่อนไขข้อเดียวคือให้เจียงเข้าร่วมกับสำนักงานตะวันออกไกลของเคจีบี และรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับนักศึกษาจีนที่อาศัยอยู่ในสหภาพโซเวียต รวมทั้งให้ข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับจีน” อ้างอิงจาก ‘เรื่องจริงของเจียง เจ๋อหมินของจีน’ “ดังนั้นเจียงจึงยังคงทำงานให้กับเคจีบีต่อไป หลังเดินทางกลับจากมอสโกไปยังประเทศจีน”

The People's Daily ซึ่งเป็นกระบอกเสียงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน รายงานสั้น ๆ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1999 ว่าเจียง เจ๋อหมิน และบอริส เยลต์ซิน ซึ่งเป็นผู้นำรัสเซียในขณะนั้น ได้ลงนามในข้อตกลงชายแดนจีน-รัสเซีย 3 ฉบับ ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งกำหนดให้ประเทศจีนยกดินแดนจีนในส่วนตะวันออกของพรมแดนจีน-โซเวียตซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 1 ล้านตารางกิโลเมตร (390,000 ตารางไมล์) ให้รัสเซีย

ในขณะที่ชีวประวัติของเจียงเน้นย้ำความสำเร็จเกือบทั้งหมดของเขา แต่ไม่มีการกล่าวถึงการประชุมระดับสูงกับเยลต์ซินและข้อตกลงชายแดนทั้งสามฉบับเลย ถ้าเปรียบเทียบพื้นที่ให้เห็น ดินแดนที่ยกให้ดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าไต้หวันถึง 30 เท่า จากพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตรของประเทศจีน ทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้งที่จากเดิมเคยอุดมสมบูรณ์รวมแล้วประมาณ 33% ของที่ดินทั้งหมด ในขณะที่พื้นที่ที่ถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงประมาณ 38% มีเพียงพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสามของที่ดินทั้งหมดที่ผู้คนอยู่อาศัยได้ แต่ผืนดินที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ที่เจียงมอบให้รัสเซียนั้นกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์และเป็นมรดกตกทอดมาจากคนรุ่นก่อนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ อุดมด้วยแร่ธาตุ และน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจำนวนมากจึงพูดถึงเจียงว่าเป็นผู้ขายชาติรายใหญ่ที่สุดของจีน แม้แต่ผู้รับช่วงต่อจากเจียงก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้เพราะการทำเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อประวัติศาสตร์ที่ “รุ่งโรจน์” และความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างร้ายแรง

คอร์รับชันและการฉกฉวยโอกาส

เจียงไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จากการปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของนักศึกษาในปี 1989 เขาไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ แต่เขาได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากพ่อผู้ขายชาติให้เอาใจผู้อื่นด้วยความสามารถพิเศษ เช่น การเล่นดนตรี ร้องเพลง และอื่น ๆ

มีช่วงเวลาที่น่าอับอายไม่น้อยในเวทีระหว่างประเทศ เมื่อเจียงเยือนสเปนในปลายเดือนมิถุนายน 1996 กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส แห่งสเปน ได้เชิญให้เขาตรวจเยี่ยมทหารกองเกียรติยศ ในขณะนั้นเองกษัตริย์คาร์ลอสก็ต้องประหลาดใจที่เจียงหยิบหวีออกมาหวีผมตัวเองต่อหน้าพระองค์ ในระหว่างงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในคืนนั้น เจียงนั่งทางด้านขวาของราชินี อีกครั้งหนึ่งที่เขาหวีผมต่อหน้ากล้อง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1966 หนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของสเปนคือ El Pais และหนังสือพิมพ์อื่น ๆ อีกมากมาย ได้ลงภาพหน้าหนึ่งและเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หวีผมดังกล่าว

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อีกนับไม่ถ้วนที่เจียงโอ้อวดความสามารถด้านดนตรี ร้องเพลง และเต้นรำของเขา ตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1999 เมื่อเจียงไปเยี่ยมเมืองซาลซ์บูร์กซึ่งเป็นบ้านเกิดของโมสาร์ทพร้อมกับประธานาธิบดีโธมัส เคล็สติล แห่งออสเตรีย สิ่งล้ำค่าที่สุดในที่พักเดิมของโมสาร์ทคือ เปียโนเวียนนาที่โมสาร์ทซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะแขนงนี้ซื้อมาด้วยตนเองในปี 1785 หลังจากประธานาธิบดีอธิบายโบราณวัตถุอายุ 200 ปี เจียงพุ่งไปที่เปียโน ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่ง และเปิดเปียโน อยากเล่นเต็มที แต่แทนที่เขาจะเล่นผลงานที่เป็นตัวแทนของโมสาร์ท เขากลับเล่นเพลงจีน - "Wave Upon Wave in the Honghu Lake" [1] ประธานาธิบดีเคล็สติลดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ต้องการให้เจียงแตะต้องโบราณวัตถุที่ล้ำค่าของผู้เปี่ยมด้วยพรสววรค์นี้อย่างชัดแจ้ง แต่ด้วยมารยาททางการทูตจึงจำต้องยืนอยู่ข้าง ๆ เจียงเล่นเปียโนอย่างลืมตัวในขณะจ้องมองสาวน้อยชาวจีนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยสายตาหยาบโลน โดยหวังว่าจะได้รับความชื่นชมจากเธอ

ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเจียงกับนักร้องซ่ง จู่อิง เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศจีน หลังจากซ่งเปิดตัวในงานฉลองเทศกาลตรุษจีนปี 1991 ของ CCTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจียงจดโน้ตเกี่ยวกับเธอ จากนั้นซ่งก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และหลังจากการแสดงรอบหนึ่ง เจียงแอบส่งกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้เธอซึ่งมีข้อความว่า “มาหาพี่ใหญ่ได้ในยามจำเป็น พี่ใหญ่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง” ต่อมาซ่งหย่ากับสามีเพื่อให้เธอและเจียงสะดวกที่จะพบปะกันได้บ่อยขึ้น เจียงยังให้การ์ดแดงกับซ่งเพื่อเข้าถึงจงหนานไห่ (ที่ทำการรัฐบาลกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องพูดว่าคนที่กล้าแพร่งพรายข้อมูลหรือสืบสวนเรื่องเหล่านี้จะถูกแก้เผ็ดอย่างไร

ความสำส่อนของเจียงมาพร้อมกับการคอร์รับชันของเขา เจียงมีคติพจน์ว่า “กอบโกยทรัพย์สมบัติโดยไม่ทำตัวให้เป็นจุดเด่น” หลังจากเจียง เมียนเฮง ลูกชายของเขากลับจากสหรัฐอเมริกาในปี 1992 เขาได้สร้างวิสาหกิจโทรคมนาคมขนาดมหึมาโดยได้รับการสนับสนุนจากเจียง เจ๋อหมิน ทำให้เจียง เมียนเฮงเป็นบุคคลคอร์รัปชันอันดับ 1 ของจีน ไม่เพียงเท่านั้น เจียง เมียนเฮง ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยและไม่มีประสบการณ์จริงแม้แต่วันเดียวในตำแหน่งศาสตราจารย์ของเขา แต่เจียง เมียนเฮงได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานของ Chinese Academy of Sciences ในปี 1999

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าตระกูลเจียงเป็นเจ้าของทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในต่างประเทศและ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งได้รับการฟอกเงินเรียบร้อยแล้ว สื่อฮ่องกงเคยรายงานว่าธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) ค้นพบเงินที่ไม่มีการอ้างสิทธิ์มากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐที่มาจากจีน หลิว จินเป่า ซึ่งเป็นรองประธานธนาคารแห่งประเทศจีนในขณะนั้นเปิดเผยในเวลาต่อมาถึงแหล่งที่มาของเงินทุนหลังจากที่เขาถูกจับกุม หลิวบอกว่าเงินดังกล่าวเป็นของเจียง เจ๋อหมินที่เตรียมไว้เป็นแผนสำรองก่อนการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 16 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยการโอนเงินไปต่างประเทศ

การคอร์รัปชันของเจียงแพร่กระจายไปยังเจ้าหน้าที่ระดับล่างอย่างรวดเร็ว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าโจว หย่งคัง อดีตเลขาธิการคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมาย (PLAC) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตำรวจของประเทศจีนถูกยึดทรัพย์สินอย่างน้อย 90 พันล้านหยวน (หรือ 14.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) กัว โป๋โสวง และสวี ไฉโฮ่ว ทั้งคู่เป็นรองประธานของคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติ ทั้งคู่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาคอร์รัปชันและกอบโกยความมั่งคั่งด้วยการขายตำแหน่งทางทหาร

ผลก็คือกองทัพกลายเป็นห้างสรรพสินค้าสำหรับอำนาจ เงิน และธุรกรรมทางเพศ จนถึงขณะนี้ มีการสอบสวนนายพลมากกว่า 160 คน และเจ้าหน้าที่ระดับรองผู้ว่าการ (หรือรองรัฐมนตรี) มากกว่า 400 คน ในหมู่พวกเขามีเจ้าหน้าที่ 121 คนที่แต่ละคนรับสินบนไม่ต่ำกว่า100 ล้านหยวน เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่าก็พบการทุจริต สือ เฟิ่งกัง เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านในกรุงปักกิ่ง มีทองคำ 31 กิโลกรัม เงินสดกว่า 7.2 ล้านหยวน รถยนต์หรูกว่า 20 คัน และตู้เก็บไวน์ระดับพรีเมียมหลายตู้ ที่ถูกค้นพบ

ถ้านำสินบนมาแบ่งปันให้กับประชาชน สินบนที่เจ้าหน้าที่ได้รับเหล่านี้อาจนำไปแก้ปัญหาความยากจนของประเทศจีนได้

แต่ข้อเท็จจริงและตัวเลขข้างต้นไม่ปรากฏในข่าวมรณกรรมของเจียงเลย ถ้าชาวจีนรู้ความจริง พวกเขาคงมี "ความชื่นชม" ที่แตกต่างออกไปให้กับความเป็นผู้นำที่ "โดดเด่น" ของเจียง

เงินและการค้าประเวณีในกองทัพ

ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เห็นได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเน่าจนถึงแก่น อย่างไรก็ตาม เจียงมีบางคุณสมบัติในการเป็นประมุขแห่งรัฐนอกเหนือจากการปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย เพื่อรักษาอำนาจวิเศษของเขาในฐานะเลขาธิการพรรคและประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติ เขาออกคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งมากมายเพื่อซื้อความภักดีของผู้คน ไม่เอาผิดการลักลอบขนสินค้าอย่างผิดกฎหมายและการคอร์รัปชัน และปล่อยให้การค้าประเวณีเฟื่องฟู

ระหว่างปี 1993 ถึง 2004 เพียงช่วงเดียว เจียงได้เลื่อนตำแหน่งทางทหารให้นายพล 79 คน และเลื่อนตำแหน่งให้พลตรีและพลโทหลายร้อยคน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 1996 เจียงบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “วันนี้เป็นวันดี เรามาเลื่อนตำแหน่งให้นายพลสัก สองสามคนเพื่อความสนุกสนานดีไหม” เจ้าหน้าที่สี่คนกลายเป็นนายพลในวันนั้น

กองทัพเริ่มทำธุรกิจในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายทางทหารและ "สนับสนุนกองทัพด้วยกองทัพ" หลังจากเจียงครองอำนาจในปี 1989 เขาปล่อยให้การดำเนินธุรกิจที่ป่าเถื่อนของกองทัพและการคอร์รัปชันเข้าควบคุม ซึ่งนำไปสู่การคอร์รัปชันในกองทัพอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และการลักลอบขนสินค้าอย่างผิดกฎหมายในกองทัพนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าโจรสลัดเสียอีก

ในการประชุมระดับชาติเพื่อตรวจสอบการลักลอบขนสินค้าอย่างผิดกฎหมายในเดือนกันยายน 1998 จู หรงจี ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้เปิดเผยตัวเลขบางส่วน แค่หกเดือนแรกของปีนั้นเพียงปีเดียว กองทัพได้ยิงและสังหารเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ต่อต้านการลักลอบขนสินค้าอย่างผิดกฎหมาย ตำรวจ และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ 450 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 2,200 คน ในบรรดาเงิน 800 พันล้านหยวนจากการลักลอบขนสินค้าอย่างผิดกฎหมายทุกปี อย่างน้อย 500 ล้านมาจากกองทัพ สมมติว่าการหลีกเลี่ยงภาษีคิดเป็น 1 ใน 3 ของต้นทุนสินค้า นั่นหมายความว่ากองทัพกวาดรายได้ถึง 160 ล้านล้านหยวนในช่วงเวลานั้น เงินดังกล่าวไม่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายทางทหาร จึงเข้ากระเป๋าของเจ้าหน้าที่เอง

การคอร์รัปชันนำไปสู่การค้าประเวณีอย่างรวดเร็ว ในปี 1995 สาขาที่ 3 ของพนักงานทั่วไปเพียงแห่งเดียวมีสถานบริการ "ความบันเทิง" ถึง 15 แห่ง ซึ่งจ้างหญิงสาว 476 คน ให้บริการ "เต็มรูปแบบ" นอกจากนี้ กองทัพยังมีสโมสร เกสต์เฮ้าส์ สถานพักฟื้นผู้ป่วย และสถานที่พักตากอากาศหลายแห่ง ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงนิยมใช้เพื่อ "ความรื่นรมย์" ดังกล่าวโดยใช้เงินของสาธารณชน สถานการณ์นี้ถึงจุดสูงสุดในปี 1997

สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้แบ่งออกเป็นระดับสุดยอด ระดับสูง และระดับล่าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับสุดยอด 8 แห่งทั่วประเทศจีนที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงตลอดทั้งปี สิ่งอำนวยความสะดวกระดับสูงมีมากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศซึ่งถูกจองเต็มทุกวัน สิ่งอำนวยความสะดวกระดับสุดยอดนั้นประณีตและหรูหราโดยมีเฮลิคอปเตอร์ทหาร Z-9 ประจำการสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน บริกรหญิง ผู้ช่วย พยาบาล และพนักงานคนอื่น ๆ ล้วนเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน หลังจากผ่านการตรวจสอบทางการเมืองและได้รับการคัดเลือกจากคณะผู้แสดงด้านศิลปของทหารและตำรวจ โรงเรียนสุขภาพของทหารและตำรวจ และหน่วยงานของรัฐแล้ว พวกเขายังต้องเข้ารับการฝึกอบรมด้านวัฒนธรรม วรรณกรรม มารยาท สังคม และด้านอื่นๆ ก่อนเข้าทำงานในสถานที่เหล่านั้น

ข่าวมรณกรรมบอกว่าเจียงปกครองกองทัพอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น โดยพื้นฐานแล้วกลับตรงกันข้าม มีเรื่องตลกในประเทศจีนว่า มีเพียงการพยากรณ์อากาศเท่านั้นที่เป็นความจริง ในขณะที่ข่าวอื่น ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเท็จทั้งหมด

ทำลายคุณค่าทางศีลธรรม

ขณะที่เจียงและบริวารกำลังทำลายประเทศจีนด้วยความโกลาหลทั้งหมดนี้ ความหวังใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ท่านอาจารย์หลี่หงจื้อเผยแพร่ฝ่าหลุนกงสู่สาธารณชนในปี 1992 ฝ่าหลุนกงคือระบบการทำสมาธิที่อ้างอิงหลักการของความจริง - ความเมตตา – ความอดทน ฝ่าหลุนกงมีหลักการที่ลึกซึ้งและพลังอันน่าอัศจรรย์ในการเสริมสร้างสุขภาพและยกระดับจิตใจได้อย่างรวดเร็ว จึงดึงดูดผู้ฝึกหลายสิบล้านคนอย่างรวดเร็ว

เจียงถือว่าฝ่าหลุนกงเป็นภัยคุกคามและสาบานว่าจะทำลายล้างฝ่าหลุนกง แม้จะมีการคัดค้านจากสมาชิกประจำอื่นทุกคนของ คณะกรรมการกลางประจำกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม เจียงอ้างว่าฝ่าหลุนกงจะเป็นอันตรายต่อพรรค เขาและบริวารจึงสั่งให้ตำรวจ หน่วยข่าวกรอง และสื่อ สร้างเรื่องเพื่อให้ฝ่าหลุนกงเสื่อมเสีย ในสุนทรพจน์ที่ไร้หลักฐานของเขาที่การประชุมคณะกรรมการกลางกรมการเมืองของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1999 เขาผลักดันให้เร่งความพยายามในการทำลายฝ่าหลุนกง “นี่คือการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรคกับศัตรูทั้งในประเทศและต่างประเทศ เหนือ[ความจงรักภักดีของ]มวลชน และเหนือตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญ” เขากล่าว

หลังจากเขาเริ่มการประทุษร้ายในเดือนกรกฎาคม 1999 เจียงสาบานว่าจะกำจัดฝ่าหลุนกงภายในสามเดือน และออกคำสั่งให้ “ทำลายชื่อเสียงของพวกเขา[ผู้ฝึก] ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว และทำลายพวกเขาทางร่างกาย !” ที่จริงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานวิสามัญฆาตกรรมขึ้นแล้วตามคำสั่งของเขาในวันที่ 10 มิถุนายน 1999 มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อสำนักงาน 610 ที่ทำหน้าที่คล้ายเกสตาโป มันแทรกซอนหน่วยงานรัฐบาลทุกระดับด้วยพลังที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงประมาณหนึ่งในสี่ของ GDP ของประเทศจีน ระหว่างปี 2002 ถึง 2012 ค่าใช้จ่ายในการ "รักษาเสถียรภาพ" ยังมากกว่าค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศ

ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงไม่มีประเด็นทางการเมือง—พวกเขาเพียงต้องการเป็นคนดี แต่เจียงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนระดมเครื่องมือและทรัพยากรของรัฐเพื่อใส่ร้ายป้ายสีฝ่าหลุนกง ขนาดและความรุนแรงเกินกว่าที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม และไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ หนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุทั้งหมดผลิตและเผยแพร่เรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายฝ่าหลุนกง เช่น บิดเบือนการเรียกร้องอย่างสันติในวันที่ 25 เมษายน 1999 กล่าวร้ายฝ่าหลุนกงว่าเป็นต้นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต และจัดฉากเหตุการณ์เผาตัวเองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ที่จริงตามบทความที่เผยแพร่โดยหมิงฮุ่ยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2000 สำนักงาน 610 วางแผนสร้างเหตุการณ์เผาตัวเองเพื่อใส่ร้ายฝ่าหลุนกงไว้แล้ว การเผาตัวเองเกิดขึ้นจริงในวันที่ 23 มกราคม 2001 ซึ่งเป็นวันก่อนวันตรุษจีน

เนื่องจากความเชื่อในความจริง - ความเมตตา – ความอดทนของพวกเขา ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกจับกุม กักขัง จำคุก และถูกทรมานในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา บางคนตกเป็นเหยื่อของการถูกผ่าเอาอวัยวะซึ่งเป็นความชั่วร้ายรูปแบบใหม่บนโลกใบนี้ ข้อมูลที่หมิงฮุ่ยได้รับยืนยันว่าผู้ฝึกมากกว่า 4,700 รายเสียชีวิตจากการประทุษร้าย เนื่องจากการเซ็นเซอร์และการปิดกั้นข้อมูล ยอดผู้เสียชีวิตจริงจึงน่าจะสูงกว่านี้มาก ศาลพิพากษาจีนซึ่งเป็นศาลอิสระ ได้ออกคำพิพากษาในเดือนมิถุนายน 2019 โดยระบุว่าการปล้นเอาอวัยวะยังคงดำเนินอยู่ในประเทศจีนและผู้ฝึกฝ่าหลุนกงคือเหยื่อรายใหญ่ที่สุด

เพื่อให้การประทุษร้ายยังคงอยู่และทวีความรุนแรงขึ้น เจียงและบริวารเชื่อมโยงผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการเลื่อนตำแหน่งกับการปฏิบัติตามนโยบายการประทุษร้ายว่าทำได้ดีเพียงใด ตัวแทนในสำนักงาน 610 หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ค่ายบังคับใช้แรงงาน และเรือนจำ ได้รับเงินจูงใจเพื่อบังคับให้ผู้ฝึกละทิ้งความเชื่อของพวกเขา ทุกองค์กรในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ องค์กรธุรกิจ หรือโรงเรียน ได้รับคำสั่งให้เตรียมการให้ลูกจ้างดูวิดีโอใส่ร้ายฝ่าหลุนกง และประกาศว่าพวกเขาต่อต้านฝ่าหลุนกง ให้การโฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเรียนของนักเรียน เอกสารประกอบ และข้อสอบด้วย บางแห่งบังคับให้ผู้โดยสารเหยียบรูปผู้ก่อตั้งฝ่าหลุนกงก่อนขึ้นรถเมล์หรือรถไฟ

น่าขันที่ข่าวมรณกรรมยกย่องว่าเจียงเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่เขามีผลงานที่รับรู้กันถึงการโกหก หักหลัง โหดเหี้ยม คอร์รัปชัน และทำให้ศีลธรรมเสื่อมทราม เขาผลักจีนให้ตกลงสู่ก้นบึ้งทั้งเรื่องปัญหาทางสังคมและทางศีลธรรม พร้อม ๆ กับอนาคตที่มืดมนสำหรับพวกเรา คนในอนาคต และโลก บทเรียนมากมายมีให้เรียนรู้ และเราต้องเข้าใจบาปที่เจียงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนกระทำก่อนที่จะกลับสู่เส้นทางเดิม

ข้อคิดเห็นในบทความนี้เป็นความคิดเห็นหรือความเข้าใจของผู้เขียนเอง เนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Minghui.org หมิงฮุ่ยจะผลิตฉบับรวมเล่มของเนื้อหาออนไลน์เป็นประจำรวมทั้งในโอกาสพิเศษด้วย