(Minghui.org) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2024 คณะกรรมาธิการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Commission on International Religious Freedom, USCIRF) เผยแพร่รายงานประจำปี 2024 ซึ่งยังคงระบุประเทศจีนในรายชื่อ “ประเทศที่ต้องกังวลเป็นพิเศษ” จากการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่ออย่างร้ายแรง ประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในรายชื่อนี้ เช่น รัสเซีย เกาหลีเหนือ คิวบา เป็นต้น

เมื่อ USCIRF เผยแพร่รายงานประจำปีฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม 2000 USCIRF มีความกังวลกับประเทศจีน รัสเซีย และซูดานเป็นหลัก 25 ปีต่อมา ในปัจจุบันประเทศจีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party, CCP) ยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่ละเมิดเสรีภาพทางศาสนาที่เลวร้ายที่สุดในโลก

USCIRF เป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นอิสระและมีสมาชิกจากทั้งสองพรรค หน้าที่หลักคือติดตามและรายงานเสรีภาพในการนับถือศาสนาในต่างประเทศ และให้คำแนะนำด้านนโยบายแก่ประธานาธิบดี กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐสภาคองเกรส

ภาพหน้าจอของรายงานประจำปี 2024 ของ USCIRF

ตัวแทน CCP มีส่วนร่วมในการปราบปรามข้ามชาติที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อกล่าวหา

รายงานของ USCIRF ปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า CCP ยังคงประทุษร้ายฝ่าหลุนกงในปี 2023 “มักใช้บทบัญญัติ 'ต่อต้านลัทธิ' ภายใต้มาตรา 300 ของกฎหมายอาญาของประเทศจีน” รายงานนี้อ้างอิงรายงานสรุปการประทุษร้ายประจำปีของ Minghui.org ซึ่งรายงานคดีล่วงละเมิดและจับกุม 6,514 ราย โทษจำคุก 1,190 ราย และผู้เสียชีวิต 209 ราย ซึ่งเป็นผลมาจากการประทุษร้าย

รายงานนี้ยังเน้นย้ำถึงการปราบปรามข้ามชาติของ CCP ต่อกลุ่มที่มีความศรัทธาในต่างประเทศ โดยระบุว่า “ในปี 2023 รัฐบาลจีนยังคงรณรงค์การปราบปรามข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าไปที่ชุมชนชาติพันธุ์และศาสนาพลัดถิ่นที่มีความผูกพันกับประเทศจีน รวมถึงชาวอุยกูร์ ทิเบต คริสเตียนโปรเตสแตนต์ และผู้ฝึกฝ่าหลุนกงในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย

ในเดือนเมษายน 2023 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาได้จับกุมและตั้งข้อหา หลู เจี่ยนวั่ง และเฉิน จินผิง ในข้อหาดำเนินการสถานีตำรวจของจีนในต่างประเทศอย่างผิดกฎหมายในนครนิวยอร์ก คาดว่ามีสถานีตำรวจลับมากกว่า 100 แห่งที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ CCP ในประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 53 ประเทศ “หลูมีประวัติมีส่วนร่วมในการปราบปรามข้ามชาติในนามของรัฐบาลจีน โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มศาสนาและผู้ที่มีความเห็นต่างในดินแดนของสหรัฐฯ” รายงานระบุ

ในเดือนพฤษภาคม 2023 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกายังได้ตั้งข้อหาจอห์น เฉิน และหลินเฟิง ในข้อหามีส่วนร่วมในการปราบปรามข้ามชาติต่อผู้ฝึกฝ่าหลุนกงในสหรัฐอเมริกา

รายงานนี้ประณาม “การรณรงค์อิทธิพลทางการเมืองที่มุ่งร้าย โดยเฉพาะความพยายามในการล็อบบี้ในรัฐสภาคองเกรสของสหรัฐฯ” ของ CCP ซึ่งแสดงถึง “อิทธิพลทางการเมืองในรูปแบบที่ร้ายกาจเป็นพิเศษ โดยมุ่งเป้าไปที่การกำหนดนโยบายของรัฐบาลกลางเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์และเป้าหมายของรัฐบาลจีน

มีการผลักดันให้รัฐสภาคองเกรสของสหรัฐฯ สั่งห้ามล็อบบี้ยิสต์ทำงานให้กับ CCP และผลประโยชน์ของมัน เพื่อความดีงามของสหรัฐฯ และเสรีภาพทางศาสนาทั่วโลก

เกี่ยวกับอาชญากรรมการปล้นเอาอวัยวะ

ในส่วน "นโยบายสำคัญของสหรัฐฯ" รายงานนี้ระบุว่าสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาผ่านกฎหมายหยุดการปล้นเอาอวัยวะ (Stop Forced Organ Harvesting Act) ในเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งพยายามที่จะลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผ่าเอาอวัยวะขณะมีชีวิตที่รัฐสนับสนุนโดย CCP จากนักโทษทางความคิด โดยเฉพาะผู้ฝึกฝ่าหลุนกงและชาวอุยกูร์

ผู้แทน คริส สมิท กล่าวแถลงการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคม 2023

ผู้แทนราษฎร คริส สมิท ซึ่งเป็นผู้แนะนำร่างกฎหมายดังกล่าว กล่าวในสภาก่อนการเลือกตั้งว่า “การผ่าเอาอวัยวะโดยมีรัฐบาลสนับสนุนเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย” ทุกปีภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีน เหยื่อที่อายุยังน้อยจำนวน 60,000 ถึง 100,000 คน ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 28 ปี ถูกสังหารอย่างเลือดเย็นเพื่อขโมยอวัยวะของพวกเขา อาชญากรรมต่อมนุษยชาติเหล่านี้โหดร้ายอย่างเหลือเชื่อ

ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลสหรัฐฯ

ในข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลสหรัฐฯ รายงานนี้เสนอให้ "ขนานนามประเทศจีนใหม่เป็น 'ประเทศที่น่ากังวลเป็นพิเศษ (country of particular concern)' หรือ CPC สำหรับการมีส่วนร่วมในการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างชั่วร้าย ต่อเนื่อง และเป็นระบบ ตามคำจำกัดความในกฎหมายเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศ (International Religious Freedom Act, IRFA)” และ “ดำเนินการคว่ำบาตรต่อไปโดยประสานงานกับพันธมิตร เพื่อมุ่งเป้าที่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของประเทศจีนที่รับผิดชอบต่อการละเมิดเสรีภาพทางศาสนาอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะภายในกรมงานแนวร่วม (United Front Work) ของ CCP และหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะและหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ”