(Minghui.org) สวี่ จื้อ-เจี๋ย ซึ่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของไต้หวันจัดงานแถลงข่าวระหว่างประเทศร่วมกันระหว่างไต้หวันกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับกฎหมายระดับโลกเพื่อต่อต้านการผ่าเอาอวัยวะโดยปราศจากความยินยอมเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2024 คณะกรรมการนิติบัญญัติด้านสิทธิมนุษยชนของสภานิติบัญญัติได้เชิญเจิ้งจือซึ่งเป็นอดีตแพทย์จากประเทศจีนมาพูดในงานแถลงข่าวนี้ เจิ้งจือเป็นแพทย์จบใหม่อยู่ที่ภาควิชาระบบทางเดินปัสสาวะที่โรงพยาบาล Shenyang Army General ขณะที่เขาเข้าร่วมการผ่าเอาอวัยวะขณะมีชีวิตของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาพูดว่าเขาหวังว่าจะบอกผู้คนให้มากขึ้นเกี่ยวกับความโหดร้ายที่เขาเห็นด้วยตัวเอง

นอกจากสมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวัน สวี่ จื้อ-เจี๋ย และเฉิน เจา-จือ แล้ว ตัวแทนของสมาคมการแพทย์ไต้หวันและสมาคมทนายความไต้หวันได้แสดงการสนับสนุนกฎหมายเกี่ยวกับการผ่าเอาอวัยวะด้วย ฮิเรากิ มารุยามะ ซึ่งเป็นประธาน "หยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางการแพทย์-สมาคมศึกษาการปลูกถ่ายอวัยวะในประเทศจีน (Stop Medical Genocide – Society for the Study of Organ Transplantation in China)" ของญี่ปุ่น (SMG Network) ก็เข้าร่วมงานเช่นกัน

การแถลงข่าวระหว่างประเทศในไต้หวันเรื่อง "กฎหมายต่อต้านการผ่าเอาอวัยวะ" เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2024

เจิ้งจือเป็นแพทย์จบใหม่ที่ภาควิชาระบบทางเดินปัสสาวะที่โรงพยาบาล Shenyang Army General ในปี 1994 เขา แพทย์ทหารอีกสามคน หัวหน้าพยาบาล และพยาบาลหญิงคนหนึ่ง ถูกสั่งให้เข้าร่วมภารกิจลับทางทหาร เขาได้รับคําสั่งให้ผ่าเอาอวัยวะจากนายทหารที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี

เจิ้งจือพูดว่าในเวลานั้น มือ เท้า และคอของนายทหารหนุ่มถูกมัดด้วยเชือกบาง ๆ และมีทหารถือปืนกลมือยืนเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ หลังจากหัวหน้าพยาบาลตัดเสื้อผ้าเพื่อฆ่าเชื้อ แพทย์ทหารก็ผ่าท้องคนไข้โดยตรงโดยไม่ใช้ยาสลบ เขากรีดแผลขนาดใหญ่จากใต้ลิ้นปี่ (ใต้กระดูกอก) และผ่าตรงไปที่สะดือ แล้วเอาลําไส้ออกไป

ในเวลานั้นผู้ให้บริการทางการแพทย์แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มเอาไตซ้ายและไตขวาออกไป แพทย์ทหารสั่งให้เจิ้งจือผ่าหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดํา พอเขาลงมือทํา เลือดก็พุ่งออกมา เขานึก "ผมรู้ในทันทีว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะเลือดในช่องท้องไหลออกมา"

จากนั้นแพทย์ทหารสั่งให้เขาเอาลูกตาออก แต่หลังจากถอดผ้าพันแผลที่พันรอบใบหน้าออก เขาก็พูดว่า "ผมเห็นดวงตาของนายทหารหนุ่มมองตรงมาที่ผม และเปลือกตาของเขายังคงขยับอยู่ ผมพูดว่าผมทําไม่ได้จริง ๆ ผมทําไม่ได้จริง ๆ แพทย์ทหารอีกคนหนึ่งหยิบคีมห้ามเลือดทันทีและกดหน้าผาก [ของนายทหารหนุ่ม] จากนั้นก็ใช้มือขวาของเขาควักลูกตาออก" เจิ้งจือเล่าขณะที่เขาร้องไห้

"หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ ผมแทบจะทรุด ผมรับไม่ไหวแล้ว ผมรีบขอลาผู้อํานวยการกลับบ้าน นี่เป็นเรื่องที่ช็อกมากสําหรับผม นายทหารหนุ่มอายุไม่ถึง 18 ปี อายุเกือบเท่ากับผม... ชีวิตสดใสมีชีวิตชีวาเช่นนั้น แต่ผมไม่กล้าบอกใคร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเตือนผมว่าถ้าผมบอกใคร ชีวิตของผมจะตกอยู่ในอันตราย"

ในปี 2005 คนสนิทของสมาชิกคณะกรรมการประจำกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของเจิ้งจือมาเยี่ยมเขาในช่วงตรุษจีนและพูดว่า "ในห้องใต้ดินของสวนด้านหลังของสํานักงานความมั่นคงสาธารณะในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ มีผู้ฝึกฝ่าหลุนกงจํานวนมาก รวมถึงเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย"

การเลือกระหว่างความดีและความชั่ว

เจิ้งจือพูดว่า "การผ่าเอาอวัยวะเป็นอาชญากรรม ซึ่งโรงพยาบาลหลายแห่งจากเหนือจรดใต้ในประเทศจีนกระทำมาหลายปีแล้ว ที่จริงมันไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นรายงานระหว่างประเทศหรือเวชระเบียนของการปลูกถ่ายอวัยวะที่ดําเนินการโดยโรงพยาบาล ก็เห็นได้ว่ามีคนจํานวนมากถูกผ่าเอาอวัยวะไป"

เจิ้งจือซึ่งเป็นอดีตแพทย์ชาวจีนพูดว่าเขาต้องการบอกทุกคนในโลกว่าการผ่าเอาอวัยวะโดยปราศจากความยินยอมเป็นการเลือกระหว่างความดีกับความชั่ว

เขาพูดว่าเขาไม่ต้องการเห็นหลายพันครอบครัวเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ และไม่ต้องการให้อาชญากรรมการเผ่าเอาอวัยวะขณะมีชีวิตนี้เกิดขึ้นกับใครอีก เขาพูดว่า "วันนี้ผมลุกขึ้นมาเป็นพยานเพื่อยืนยันความจริง เพื่อบอกทุกคนในโลกว่านี่คือการเลือกระหว่างความดีกับความชั่ว เมื่อเผชิญกับความจริงนี้ มันเป็นโอกาสสุดท้ายสําหรับมโนธรรมของทุกคน ผมหวังว่าคนเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจและหวาดกลัวจะรวบรวมความกล้าเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงได้เช่นกัน"

ในช่วงปลายปี 2005 เจิ้งจือเดินทางไปประเทศไทยผ่านเวียดนามเพื่อขอความคุ้มครองจากสหประชาชาติและในที่สุดก็มาถึงแคนาดา

หวง ซู-หลิง ซึ่งเป็นศาสตราจารย์เกษียณอายุที่ศูนย์การศึกษาทั่วไปของวิทยาลัย National Defense Medical College (ในไต้หวัน) พูดว่า "นักเรียนที่เราสอนเป็นแพทย์ทหารจากประเทศจีน สองคนในนั้นออกมาบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งช็อกจริงๆ"