(Minghui.org) ไมเคิล โมล์นาร์ ชาวเมลเบิร์นวัย 51 ปี ทำงานเป็นวิศวกรระบบให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในออสเตรเลีย เขาบอกว่าเขารู้สึกโชคดีที่ได้เริ่มฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าในเดือนมกราคม 1999 เขาขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ และพูดว่า "ผมรู้สึกขอบพระคุณตลอดไปที่ได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า"

ไมเคิล โมล์นาร์ ส่งคำอวยพรเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ถึงท่านอาจารย์หลี่

โมล์นาร์เติบโตขึ้นมาในครอบครัวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ของเขามีปัญหาด้านสุขภาพจิตและมักทำร้ายเขา เขาพูดว่า “ผมโตมาโดยไม่มีพ่อ ผมไม่ได้พัฒนาทางด้านอารมณ์เลย ผมไม่เข้าใจบรรทัดฐานทางสังคมหรือสิ่งที่สังคมยอมรับ แม้ว่าผมจะมีเพื่อน แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวของผมก็เหวี่ยงจากสุดขั้วหนึ่งไปอีกสุดขั้วหนึ่ง”

เขาเปลี่ยนไปมากหลังจากที่เขาเริ่มฝึกต้าฝ่า พูดได้ว่าความแตกต่างนั้นเหมือนกับกลางวันกับกลางคืน

“ถ้าผมไม่พบต้าฝ่า ผมคงลงเอยเหมือนเด็กจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวบกพร่องในหน้าที่ (dysfunctional family) พวกเขาส่วนใหญ่ลงเอยด้วยปัญหายาเสพติดหรือตัวเองกลายเป็นผู้ที่ทำร้ายเพราะมันสืบสานมา ผมคิดว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าช่วยผมหยุดวงจรนั้นได้อย่างแน่นอน ผมไม่คิดว่าการแต่งงานของผมจะยืนยาวขนาดนี้ นั่นแน่นอน”

ในฐานะพ่อของลูกสาวสองคน โมล์นาร์พูดว่าเขาไม่รู้เลยว่าความรับผิดชอบของพ่อคืออะไรก่อนที่เขาจะเริ่มฝึก แต่ฝ่าหลุนต้าฝ่าได้มอบสติปัญญาและหัวใจที่ห่วงใย ทำให้เขาและภรรยาเป็นพ่อแม่ที่มีความรับผิดชอบ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ทั้งหมดนี้จะเป็นไปไม่ได้เลย

สร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว

หลังจากฝึกมา 26 ปี โมล์นาร์พูดว่าประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดคือการนำหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร

เขาพูดว่า “มันท้าทายเพราะเส้นแบ่งระหว่างถูกและผิดในสังคมนั้นไม่ชัดเจน เมื่อคนเห็นคุณในทางลบ การปฏิบัติตามหลักการของต้าฝ่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย บางครั้งการทำเช่นนั้น ผู้คนจะคิดว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิธีคิดที่เสื่อมลงของสังคม

“มันเกี่ยวกับการซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนรอบข้าง การเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา และอดทนต่อผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาในสังคมปัจจุบัน เมื่อผู้คนไม่ดำเนินชีวิตตามหลักการเหล่านี้และถูกสอนแตกต่างไป บ่อยครั้งคุณต้องปิดปากไม่พูดอะไรเพราะระดับศีลธรรมแตกต่างกันมาก”

เขาบอกว่าบางครั้งเขาก็ทำไม่ได้เมื่อเผชิญกับการทดสอบ “แม้ว่าผมจะพยายามรักษาความคิดของผมให้สอดคล้องกับฝ่า แต่บางครั้งการทดสอบก็เข้ามาโดยไม่คาดคิด ผมอาจเจอกับการทดสอบและคิดว่าตัวเองทำได้ดีจริง ๆ และผ่านไปได้ เมื่อผมไม่ทันระวัง การทดสอบใหม่ก็เข้ามาทันทีและผมรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดในสถานการณ์เช่นนี้

“ผมพยายามไม่หวั่นไหวเมื่อทำผิดพลาด โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นโอกาสที่จะระบุถึงบางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผล ดังนั้นผมจึงเตือนตัวเองว่าจิตยึดติดเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม”

เขาพูดถึงประสบการณ์จากการฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าว่า “ผมได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งใหม่ทุกวัน ลูก ๆ ของผมสอนผมมากมายเกี่ยวกับตัวผมเอง เพราะมันไม่สำคัญที่คุณจะพูดว่า 'ผมฝึกความจริง-ความเมตตา-ความอดทน' กี่ครั้ง จนกว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ที่คุณนำหลักการเหล่านี้ไปใช้จริง ๆ คุณจะไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง มันเป็นประสบการณ์ที่ต้องเจียมตนเพราะผมตระหนักว่าผมต้องเรียนรู้ที่จะเสียสละมากขึ้นแค่ไหน

“เมื่อดูเพื่อนของลูก ๆ ส่วนใหญ่ น่าเศร้าที่พ่อแม่ของพวกเขาหลายคนหย่าร้างกัน มันมักเป็นเพราะในฐานะพ่อแม่ พวกเขาขาดความเมตตาต่อกัน การรักษาครอบครัวที่เข้มแข็งคือการเสียสละและคำนึงถึงทั้งครอบครัว ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และตระหนักว่ามีอย่างอื่นที่ผมสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น มันเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องในการบำเพ็ญตัวเอง”

เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าคนที่โตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อควรรับผิดชอบครอบครัวอย่างไร ดังนั้น เมื่อเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันดังกล่าว เขาเชื่อว่าหากไม่มีหลักคำสอนและการนำทางของท่านอาจารย์ เขาและครอบครัวคงจะล้มเหลว

โมล์นาร์พูดว่าเขารู้สึกขอบพระคุณท่านอาจารย์หลี่สำหรับโอกาสที่ได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า

โมล์นาร์พูดว่าเขาไม่เคยหวั่นไหวตลอด 26 ปีที่เขาฝึกต้าฝ่า “มีความเชื่อว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นจริงและถูกต้องแท้จริง ท่ามกลางความวุ่นวายทั่วโลก ต้าฝ่าเป็นที่เดียวที่ผมสามารถพบกับความสงบสุขและสงบนิ่ง สงบทั้งความคิดและอารมณ์ และสามารถสังเกตโลกและดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเดินตามกระแสอย่างสงบ .

“ผมขอพูดว่าผมรู้สึกสำนึกในพระคุณของท่านอาจารย์เป็นอย่างมากที่ให้โอกาสผมได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ผมสงสัยมาตลอดว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ถ้าไม่มีฝ่าคอยนำทาง ผมรู้สึกขอบพระคุณชั่วนิรันดร์ที่ได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์”