(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 1)

มิลาเรปะยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง”

“ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ 7 ขวบ พ่อของข้าพเจ้าป่วยหนัก แพทย์ทั้งหลายจนปัญญาที่จะรักษาโรค หมอดูก็บอกว่าพ่อของข้าพจ้าหมดหวังที่จะหายจากโรค ญาติ ๆ ของข้าพเจ้ารู้ว่าอาการของโรคอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว แม้แต่พ่อของข้าพเจ้าก็รู้ว่าตัวเองใกล้จะเสียชีวิตแล้ว เขาจึงตัดสินใจจัดการเรื่องของเราสามแม่ลูกและทรัพย์สินของครอบครัวก่อนที่จะเสียชีวิต

“พ่อขอให้ลุง ป้า ญาติ และเพื่อนบ้านมารวมตัวกันในบ้านของเรา เขาอ่านพินัยกรรมที่เขาเตรียมไว้ต่อหน้าทุกคน

“พินัยกรรมระบุไว้อย่างชัดเจนว่าทรัพย์สินทั้งหมดควรตกเป็นของลูกชายคนโตของเขา

“หลังจากอ่านพินัยกรรม พ่อของข้าพเจ้าพูดช้า ๆ ว่า 'ครั้งนี้โรคของผมคงไม่มีหวังที่จะหายแล้ว ลูกชายและลูกสาวยังอายุน้อย จึงขอฝากลุง ป้า และญาติ ๆ ให้ช่วยดูแลพวกเขาไปก่อน แม้ว่าผมจะไม่ร่ำรวยนักแต่ก็ยังมีทรัพย์สินอยู่มากพอควร ในฟาร์มปศุสัตว์ของผมมีวัว แกะ และม้า ที่ดินผืนใหญ่ของผม คือสามเหลี่ยมออร์มา ส่วนที่ดินผืนเล็ก ๆ มีมากจนพูดถึงทีละแปลงไม่ไหว คอกสัตว์ที่ชั้นล่างมีวัว แกะ และลา ที่ชั้นบนมีเฟอร์นิเจอร์ ของเก่าที่ทำจากทองและเงิน เครื่องประดับ อัญมณี และเสื้อผ้าที่เป็นผ้าไหม ผมมีโกดังที่เก็บธัญพืชไว้เต็มด้วย โดยรวมแล้วผมมีทรัพย์สินมากมายเพียงพอและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น หลังจากผมเสียชีวิต ขอให้ใช้ทรัพย์สินส่วนหนึ่งจัดงานศพของผม ส่วนทรัพย์สินที่เหลือ ผมหวังว่าทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ โดยเฉพาะลุงและป้าจะช่วยแม่ของลูก ๆ ดูแลลูกทั้งสองคนของผม เมื่อโตปากะโตขึ้นและถึงเวลาแต่งงาน ขอให้พาดีเซส ซึ่งเป็นหญิงสาวที่หมั้นไว้กับเขา มาแต่งงานด้วย ค่าใช้จ่ายสำหรับจัดงานแต่งงานขอให้เหมาะสมกับฐานะทางสังคมของเรา เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้โตปากะดูแลทรัพย์สิน ผมหวังว่าลุงและป้าจะดูแลเด็กสองคนนี้และแม่ของพวกเขาด้วย ขอให้ช่วยเหลือเพื่อให้พวกเขาทั้งสามคนไม่ลำบาก หลังจากที่ผมเสียชีวิต ผมจะเฝ้าดูพวกเขาแม้หลังความตาย’

“หลังจากพูดจบ พ่อก็จากไป ทิ้งเราสามคนไว้ข้างหลัง

“เราฝังศพพ่อ หลังจากนั้นเราก็ปรึกษากัน ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ให้แม่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินทั้งหมด แต่ลุงและป้ากลับยืนกรานอย่างหนักแน่นและพูดว่า 'ถึงแม้คุณจะเป็นญาติ แต่เราเป็นญาติที่ใกล้ชิดกว่า พวกเราจะไม่มีวันปล่อยให้พวกคุณแม่ลูกต้องลำบาก ดังนั้นเราจะจัดการทรัพย์สินทั้งหมดตามพินัยกรรม' พี่ชายของแม่ของข้าพเจ้าและพ่อของดีเซสให้เหตุผลหลายอย่างว่าทำไมแม่ควรเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินนี้ แต่พวกเขาไม่ฟังเลย ทรัพย์สินของข้าพเจ้าตกเป็นของลุง ทรัพย์สินของน้องสาวตกเป็นของป้า ส่วนทรัพย์สินที่เหลือ ลุงกับป้าก็แบ่งเท่า ๆ กัน

“พวกเขาพูดกับพวกเราสามแม่ลูกว่า 'ตั้งแต่นี้ไป พวกเราจะดูแลพวกคุณอย่างดี !'

“หลังจากประโยคนี้ ทรัพย์สินของเราก็หมดไป

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลุงก็ให้เราไถนาในฤดูร้อนที่ร้อนระอุ ส่วนป้าให้เราทอผ้าจากขนแกะในฤดูหนาวที่หนาวจัด เรากินอาหารเหมือนที่สุนัขกิน และทำงานใช้แรงงานเหมือนโคกระบือ เราใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สวมเข็มขัดที่ทำด้วยเชือกจากหญ้า เราทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำโดยไม่ได้หยุดพัก งานหนักเกินไปจนทำให้มือและเท้าของเราแตก และผิวที่แตกมีเลือดออก เสื้อผ้าที่เรามีไม่ให้ความอบอุ่นมากพอ อาหารก็ไม่พออิ่ม ผิวของเรากลายเป็นสีเทา เราซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยมีทองคำ อัญมณี และแหวนอยู่บนผมเปียของข้าพเจ้า แต่ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว เหลือแค่เชือกสีเทา-ดำเท่านั้น ในที่สุด ผมของข้าพเจ้ามีเหาและไข่เหาเต็มไปหมด พวกเหาสร้างรังอยู่ในผมที่ยุ่งเหยิงของข้าพเจ้า ทุกคนที่เห็นเราต่างก็พากันดุว่าลุงและป้าของข้าพเจ้าที่ใจร้ายขนาดนี้ แต่พวกเขาหนังหนาเหมือนหนังวัว พวกเขาจึงไร้ยางอายและไม่สนใจคำตำหนิเหล่านั้น แม่ของข้าพเจ้าจึงเรียกป้าว่า ‘ยักษ์เจ้าเล่ห์’ หรือ ‘แม่เสือผี’ แทนที่จะเรียกชื่อจริงของเธอว่า ‘คยุงตซา พัลเดรน’ ต่อมามีการพูดคำว่า ‘แม่เสือผี’ กันอย่างแพร่หลายในหมู่บ้าน ชาวบ้านในสมัยนั้นมักพูดว่า 'แย่งชิงทรัพย์สินของคนอื่นแล้วปฏิบัติต่อเจ้าของเดิมเหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน ในโลกนี้มีเรื่องที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้จริง ๆ หรือ !'

“ก่อนที่พ่อของข้าพเจ้าจะเสียชีวิต ทั้งคนรวยและคนจนมาที่บ้านของเรา เพื่อประจบสอพลอ ตอนนี้ลุงกับป้ามีเงินและใช้ชีวิตราวกับผู้สูงศักดิ์ คนเหล่านี้ก็เริ่มเข้าหาลุงกับป้า บางคนถึงกับพูดไม่ดีเกี่ยวกับแม่ของข้าพเจ้าว่า 'มีคำพูดที่ว่าสามีร่ำรวยทำให้ภรรยาดูมีความสามารถ' คำพูดนี้ถูกต้องจริง ๆ ! ดูสิ ตอนที่สามีของนังสตา คาร์เยนยังมีชีวิตอยู่ เธอเป็นผู้หญิงที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พอไม่มีเขา เธอกลายเป็นคนตระหนี่มาก’

“มีสุภาษิตในทิเบตว่า 'คนที่โชคร้ายเพียงครั้งเดียว จะถูกซุบซิบนินทากระฉ่อนไปทั่ว' เมื่อสถานการณ์ของเราแย่ลงเรื่อย ๆ ความเห็นอกเห็นใจของผู้คนที่มีต่อเราก็ลดลงเรื่อย ๆ และมีการซุบซิบและเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“พ่อแม่ของดีเซสสงสารในความโชคร้ายของข้าพเจ้า บางครั้งเขาก็ส่งเสื้อผ้าหรือรองเท้าให้ข้าพเจ้า พวกเขาปลอบโยนข้าพเจ้าอย่างอบอุ่นว่า 'โตปากะ รู้ไหม ทรัพย์สินไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป ทรัพย์สินมาแล้วก็ไป อยู่เพียงชั่วคราวเหมือนน้ำค้างยามเช้า อย่าได้เสียใจที่ไม่มีเงิน ปู่ของเธอก็เริ่มต้นจากศูนย์ไม่ใช่หรือ พอโตขึ้น เธอก็จะสามารถหาเงินและสร้างฐานะได้เหมือนกัน !'

“ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณพวกเขามาก

“แม่ของข้าพเจ้ามีที่ดินจากสินสอดของเธอ ชื่อของที่ดินผืนนี้ไม่ไพเราะ แต่เป็นที่ดินที่ดีและเหมาะแก่การเพาะปลูก ลุงคนโตของข้าพเจ้าเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากที่ดินผืนนี้ และเก็บข้าวฟ่างไว้เป็นดอกเบี้ยทุกปี หลังจากผ่านไปหลายปี เงินต้นและดอกเบี้ยสะสมรวมกันเป็นจำนวนไม่น้อย วันเวลาที่ยากลำบากก็ค่อย ๆ ผ่านไปจนข้าพเจ้าอายุครบ 15 ปี แม่ของข้าพเจ้าก็ขายที่ดินผืนนี้ไปครึ่งหนึ่ง เธอนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินผืนนี้รวมกับดอกเบี้ยจากข้าวไปซื้อเนื้อสัตว์จำนวนมาก ซื้อข้าวบาร์เลย์บนพื้นที่สูงเพื่อทำแป้งซัมปา และซื้อข้าวไรย์เพื่อหมักไวน์ สิ่งที่แม่ทำทำให้ชาวบ้านประหลาดใจ ทุกคนก็แอบคาดเดากันเองว่า 'หรือว่านังสตา คาร์เยน จะจัดงานเลี้ยงและขอทรัพย์สินของครอบครัวคืนอย่างเป็นทางการ’ หลังจากแม่และพี่ชายของเธอตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ปูเสื่อที่ขอยืมมา เรียงจนเต็มห้องโถงรับแขกของบ้านเราซึ่งมีเสา 4 ต้น และคาน 8 คาน พวกเขาเชิญลุงและป้าเป็นเจ้าภาพต้อนรับญาติ มิตรสหาย และเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในช่วงที่พ่อประกาศพินัยกรรมบนเตียงนอนก่อนสิ้นใจ แม่วางเนื้อและอาหารที่ดีที่สุดไว้ข้างหน้าลุงและป้า และวางอาหารมากมายข้างหน้าแขกทุกคน พร้อมกับไวน์หนึ่งถ้วยใหญ่ตรงหน้าทุกคน งานเลี้ยงครั้งนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ

“'ทุกคน วันนี้ฉันได้เตรียมอาหารและไวน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเชิญทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อแสดงน้ำใจเล็กน้อย' แม่พูด

เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว แม่ก็ยืนขึ้นท่ามกลางแขกทั้งหมดและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดลูกชายของฉัน ที่จริงแล้วนั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับทุกท่าน ขณะที่สามีของฉัน เชอรับ กเยลเซน ประกาศพินัยกรรมของเขาก่อนเสียชีวิต ทุกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ รวมถึงป้าและลุงก็อยู่ด้วย และเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันขอให้ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ฟังพินัยกรรมอีกครั้งหนึ่ง'

“จากนั้นพี่ชายของแม่ก็ลุกขึ้นยืน และอ่านพินัยกรรมเสียงดัง แขกทุกคนไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น

“แม่ของข้าพเจ้าพูดต่อว่า 'ตอนนี้โตปากะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และถึงวัยที่จะมีภรรยาได้แล้ว ตามพินัยกรรมของเชอรับ กเยลเซน พ่อของเขา เราควรจัดงานแต่งงานให้สมฐานะทางสังคมของเรา โตปากะควรสืบทอดหน้าที่จัดการทรัพย์สินของครอบครัวเราตามพินัยกรรมได้แล้ว สำหรับพินัยกรรมที่เราเพิ่งอ่าน ทุกท่านที่อยู่ในช่วงเวลาที่เชอรับ กเยลเซน ใกล้จะสิ้นใจต่างก็ได้ยินด้วยตัวเองแล้ว ฉันจึงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอีก วันนี้ฉันจึงขอให้ลุงและป้าคืนทรัพย์สินที่พวกเขาช่วยรักษาไว้ให้กับเราด้วย ฉันขอขอบคุณลุงและป้าและทุกท่านอย่างจริงใจสำหรับการดูแลตลอดหลายปีที่ผ่านมา'

"'หือ ! พวกเธอยังมีทรัพย์สินอยู่หรือ !' ทั้งลุงและป้าตะโกนว่า 'ทรัพย์สินของพวกเธออยู่ที่ไหนกัน'

“ปกติลุงกับป้าจะมีความเห็นขัดแย้งกันแทบทุกเรื่อง แต่พอเรื่องที่จะยึดเอาทรัพย์สินของคนอื่น พวกเขากลับร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว

“พวกเขาพูดอีกครั้งว่า 'พวกเธอยังมีทรัพย์สินอยู่อีกหรือ ทรัพย์สินของพวกเธออยู่ที่ไหน เมื่อเชอรับ กเยลเซน ยังหนุ่ม เขาได้ยืมที่ดิน ทองคำ อัญมณี ม้า วัว และแกะจำนวนมากจากเรา พอเขาตายไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็ควรคืนให้เรา ทรัพย์สินของพวกเธอคืออะไรล่ะ ทรัพย์สินของพวกเธอเทียบไม่ได้กับดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ข้าวสาลีหนึ่งกำมือ เนยจามรีหนึ่งตำลึง หรือวัวควายแก่ ๆ สักตัว ฮื่อ ! เรื่องเพ้อฝันแบบนี้มาจากไหน ใครเขียนพินัยกรรมนี้ให้พวกเธอ พวกเราเลี้ยงดูเธอและลูก ๆ มาหลายปีก็เกินพอแล้ว ! มีคำกล่าวว่าบางคนตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง คำกล่าวนี้ตรงกับคนไร้ค่าอย่างพวกเธอ !

“พวกเขาโกรธมากขณะพูดเรื่องนี้ ส่งเสียงคำรม กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกัดฟัน

“พวกเขากระโดดลุกจากที่นั่ง กระทืบเท้าบนพื้นอย่างแรง แล้วตะโกนว่า 'ฮื่อ ! พวกเธอเข้าใจหรือยัง บ้านหลังนี้เป็นของเรา ออกไปเดี๋ยวนี้ !'

“ระหว่างพูด พวกเขาก็ฟาดแม่ของข้าพเจ้าด้วยแส้ม้า แล้วใช้แขนเสื้อเหวี่ยงใส่ข้าพเจ้าและน้องสาว เปตา

“แม่ฟุบอยู่บนพื้นด้วยความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงและร้องออกมาว่า 'เชอรับ กเยลเซน ! คุณเห็นไหม คุณบอกว่าคุณจะเฝ้าดูแม้หลังความตาย ตอนนี้คุณเห็นหรือยัง !'

“ข้าพเจ้ากับน้องสาวกอดแม่ พวกเราสามคนร้องไห้อย่างหนัก เมื่อพี่ชายของแม่เห็นคนสนับสนุนลุงมากมาย เขาไม่มีทางเลือก จึงระงับความโกรธและนิ่งเงียบ แขกบางคนถอนหายใจ 'แม่ลูกพวกนี้น่าสงสาร !' พวกเขาเสียใจและร้องไห้ในโชคชะตาที่เลวร้ายของพวกเรา แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจเงียบ ๆ

“ลุงกับป้าไม่หยุดระบายความโกรธเคือง พวกเขาด่าทอพวกเราสามคนอย่างชั่วร้ายด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด

"'ฮื่อ ! เธอต้องการให้เราคืนทรัพย์สินให้หรือ ใช่ มันเป็นของพวกเธอ แต่เราจะไม่คืนให้ แล้วพวกเธอจะเอาคืนยังไงล่ะ ถ้าเราใช้มันเพื่อดื่มไวน์และเลี้ยงแขก นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเธอ !' พวกเขาหัวเราะเยาะพวกเราและดูถูกว่า 'ถ้าพวกเธอมีความสามารถ ก็หาคนมาสู้กัน แล้วเอาทรัพย์สินคืน' ถ้าพวกเธอหาใครไม่ได้ ก็ไปสวดมนต์เถอะ ! พอพูดจบ พวกเขาก็หันหลังกลับและออกไปพร้อมกับเพื่อน ๆ

“ความโศกเศร้าอย่างที่สุดทำให้แม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นาน ภายในบ้านที่มีเสา 4 ต้นและคาน 8 คาน เหลือเพียงเรา 3 คน และญาติที่เห็นใจบางส่วนเท่านั้น ดีเซสกับพ่อและพี่ชายของเธอคอยปลอบโยนพวกเราด้วยความเมตตา พวกเขายินดีให้สิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันเพื่อให้เรามีชีวิตรอด พี่ชายของแม่เสนอให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ในขณะที่แม่และน้องสาวช่วยเขาทำฟาร์ม เขายืนกรานว่าเราจำเป็นต้องทำบางอย่างเพื่อแสดงให้ลุงและป้าเห็นว่าครอบครัวของเชอรับ กเยลเซน ไม่ได้อ่อนแอหรือไร้ความสามารถจนถูกเหยียดหยามได้ง่าย ๆ

“ในที่สุดแม่ก็ระงับความโศกเศร้าและเช็ดน้ำตา เธอพูดอย่างแน่วแน่ด้วยความเศร้าโศกและโกรธเคืองว่า 'เพราะฉันไม่มีความสามารถที่จะเอาทรัพย์สินคืน ฉันก็จะไม่พึ่งคนอื่นให้เลี้ยงดูลูก ๆ ของฉันเช่นกัน ตอนนี้แม้ว่าลุงและป้าของเด็ก ๆ จะคืนทรัพย์สินให้บางส่วน ฉันก็จะไม่รับ อย่างไรก็ตาม โตปากะจะต้องเรียนรู้งานฝีมือ ก่อนที่เราจะตอบแทนความมีน้ำใจของลุงกับป้า ฉันกับลูกสาวยินดีที่จะทำงานแม้จะต้องเป็นคนรับใช้หรือทาสรับใช้ก็ตาม เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็น !'

“แล้วแม่ก็หันไปหาพี่ชายของเธอแล้วพูดว่า 'เรายินดีที่จะทำหน้าที่แทนพี่ในฟาร์ม !'

“เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเธอ จึงไม่มีใครเสนอความคิดเห็นอื่นอีก แล้วเราก็ทำตามแผนของเธอ

“มีลามะในนิกายแดงท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญทักษะทางธรรมบางอย่างซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นมีความเชื่ออย่างแรงกล้า (หมายเหตุ : นิกายแดงในทิเบตถือเป็นรูปแบบแรกสุดของพุทธศาสนาในทิเบต โดยมีชื่อในภาษาทิเบตว่า ญิงมา (Nyingma) แปลว่า “คำสอนเก่า” แต่เพราะลามะทั้งหมดสวมชุดสีแดงจึงมักเรียกว่านิกายแดง) แม่บอกให้ข้าพเจ้าไปเรียนกับลามะนิกายแดงท่านนี้ เมื่อข้าพเจ้าออกจากบ้าน มีญาติ 2 หรือ 3 คนมาพบข้าพเจ้า ในช่วงเวลานั้น พ่อแม่ของดีเซสมักจะให้เธอนำอาหาร ฟืน หรือน้ำมันมาให้ข้าพเจ้าที่สถานที่เรียน เมื่อแม่กับน้องสาวหางานไม่ได้ พี่ชายของแม่ก็จัดหาอาหารให้เรา เขาไปทั่วทุกที่เพื่อหางานให้แม่เพื่อช่วยแม่ ไม่ให้แม่ต้องขอทาน เขาทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเราทั้งสามคน น้องสาวของข้าพเจ้าไปทำธุระให้คนอื่นเป็นครั้งคราว ไปตีกลอง ทำความสะอาดโรงนา และทำงานจิปาถะเพื่อจะได้มีอาหารและเสื้อผ้า แต่เรายังคงกินอยู่อย่างขัดสนและใส่เสื้อผ้าขาดซอมซ่อ มีแต่ความเศร้าโศก ไม่มีความสุขเลย”

ขณะที่ท่านมิลาเรปะกล่าวถึงตรงนี้ คนที่ฟังธรรมของท่านต่างหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าสะเทือนใจ รู้สึกเบื่อหน่ายกับโลก บรรดาศิษย์ที่นั่งฟังธรรมอยู่เต็มถ้ำต่างร้องไห้คร่ำครวญและสะอึกสะอื้นอย่างเงียบ ๆ

(มีต่อ)