(Minghui.org ) สวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพ ! สวัสดีเพื่อนผู้ฝึก !
การเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของผมช่วยให้ผมก้าวหน้า
ผมฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่ามา 13 ปีแล้ว ก่อนการประชุมฝ่าของออสเตรเลียในปี 2008 แต่ผมไม่เคยเขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์การบำเพ็ญมาก่อนเลย หลังจากกิจกรรมหนึ่ง ผู้ฝึกเก่าคนหนึ่งที่ผมรู้จักดีพูดว่า "คุณผ่านอะไร ๆ มามากมายในการบำเพ็ญของคุณ และทำหลายสิ่งหลายอย่าง คุณควรเขียนถึงประสบการณ์ของคุณจริง ๆ"
ผมตอบว่า “ผมไม่เคยเขียนมาก่อนและไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร” เธอเสนอที่จะช่วยผมด้วยความเมตตา และผมก็ตกลง
แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้รับรู้ถึงความพึงพอใจที่อยู่เบื้องหลังปฏิกิริยาของตัวเอง ผมคิดว่า เพราะผมมักกระตือรือร้นและมีความสามารถในโครงการต่าง ๆ มาตลอด ผมทำได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นผมจะเขียนอะไรหรือไม่ก็ไม่สำคัญเลยจริง ๆ ผมรู้สึกยินดีที่มีคนสังเกตเห็นความพยายามของผมและเต็มใจที่จะเขียนเกี่ยวกับผม โดยคาดว่าบทความที่เขียนนั้นจะต้องชื่นชมผมอย่างแน่นอน
ผมเล่าประสบการณ์การบำเพ็ญของตัวเองให้ผู้ฝึกที่จะช่วยผมฟังทางโทรศัพท์ ผมเล่าว่า ในฐานะผู้ประสานงานในโครงการหนึ่ง ผมเพิ่งมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับผู้ประสานงานคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะพูดออกมาว่ากำลังค้นหาจากภายใน แต่ผมไม่ได้ตระหนักว่ายังมีน้ำเสียงของการบ่นอยู่ในคำพูดของผม กระทั่งความต้องการที่จะโอ้อวด
ในช่วงเวลาที่ประสบกับการทดสอบในโครงการนั้น ผมโทรหาผู้ฝึกเก่าคนหนึ่งที่ผมสนิทด้วย โดยหวังว่าจะได้รับกำลังใจ ผมเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับการทดสอบที่ผมประสบอยู่และมันยากที่จะเข้าใจแค่ไหน โดยไม่คาดคิด เธอพูดตรง ๆ ว่า "คุณแค่ต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์" ผมตกใจมาก ผมโทรหาเธอเพื่อขอคำปลอบใจและการสนับสนุน แต่เธอกลับชี้ให้เห็นจิตยึดติดของผม
ผมเริ่มตรึกตรองอย่างจริงจังว่าผมมีจิตยึดติดต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์จริงหรือไม่ ทำไมความขัดแย้งของผมกับผู้ประสานงานคนอื่น ๆ ถึงยืดเยื้อมานานขนาดนี้ ทำไมเราจึงไม่สามารถร่วมมือกันอย่างกลมกลืนได้ ถึงแม้ว่าผมจะตระหนักว่าผมเป็นคนชอบแข่งขัน แต่ผมไม่สามารถปล่อยวางมันไปได้จริง ๆ และรู้สึกไม่สบายใจบ่อย ๆ คำตอบที่ตรงไปตรงมาของเธอกระทบใจผมอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผมตระหนักว่าจิตยึดติดต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของผมนั้นต้องชัดเจนมาก จนคนอื่นมองเห็นได้แม้ว่าผมจะไม่ยอมรับก็ตาม
ผมเล่าเหตุการณ์นี้ให้กับผู้ฝึกที่ช่วยเขียนบทความฟัง แต่ผมยังปล่อยวางความคับข้องใจไม่ได้ เมื่อมองย้อนกลับไป การเล่าเรื่องทั้งหมดของผมเต็มไปด้วยจิตโอ้อวด ผมคิดว่า หลังจากบำเพ็ญมาหลายปี ได้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในหลายโครงการ ผมค่อนข้างมีความสามารถ ผมต้องการระบายความคับข้องใจเพื่อให้คนอื่นเข้าใจความยากลำบากที่ผมเผชิญในงานประสานงานของผม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ฝึกคนนั้นก็ส่งบทความฉบับร่างครั้งที่ 1 มาให้ผม พอได้อ่าน ผมก็ประหลาดใจมาก เนื้อหาทั้งหมดเขียนขึ้นจากมุมมองของการค้นหาจากภายใน มันไม่ได้รวมเนื้อหาส่วนที่แสดงถึงความสำเร็จของผมหรือแสดงความคับข้องใจของผม
บทความฉบับร่างกลับอ้างถึงคำสอนของท่านอาจารย์เกี่ยวกับการบำเพ็ญจิตใจ ขณะที่ผมศึกษาฉบับร่างอย่างระมัดระวังและเปรียบเทียบมันกับฝ่า ผมเริ่มนึกถึงความคิดและความรู้สึกในระหว่างการสนทนานั้น และทันใดนั้นผมก็เห็นจิตยึดติดมากมายของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะโอ้อวด ผมมองว่าตัวเองเป็นผู้ประสานงานหลัก เชื่อว่าความคิดเห็นของผมมีน้ำหนักมากกว่าและไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากนี้ ผมยังตระหนักได้ว่าผมดูถูกผู้ฝึกคนหนึ่งที่สนับสนุนเราด้วยทักษะทางเทคนิค แม้ว่าผมจะไม่ได้แสดงออกทางคำพูดก็ตาม
ขณะที่ผมเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผมต่อ ภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาทีละภาพ ทุกครั้งที่ความร่วมมือกับผู้ประสานงานคนอื่น ๆ ไม่ราบรื่น เมื่อผมเปรียบเทียบตัวเองกับฝ่า ผมก็เห็นความไม่มั่นคงและด้านลบในใจของผมได้อย่างชัดเจน สภาวะด้านลบเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการประสานงานและการพัฒนาโครงการของเราอย่างไม่ต้องสงสัย วิธีคิดของผู้บำเพ็ญมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อผมคิดว่าตัวเองถูกเสมอและตำหนิคนอื่นที่ไม่เข้าใจผม จิตยึดติดเหล่านั้นสร้างอุปสรรค ในช่วงเวลาประมาณหนึ่งเดือนที่ผมเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์นั้น ผมทบทวนประสบการณ์เหล่านี้ซ้ำ ๆ จากขั้นตอนนี้ ผมค่อย ๆ ตระหนักว่ากุญแจสำคัญในการยกระดับในการบำเพ็ญอย่างแท้จริงคือการค้นหาจากภายในอย่างไม่มีเงื่อนไข
ผมรู้อย่างชัดเจนว่าผู้ฝึกที่ช่วยผมมองเห็นแต่ด้านที่ถูกต้องและด้านบวกของผมเท่านั้น แต่สำหรับผม การเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งแรกนี้ทำให้ความเข้าใจในหลักการของฝ่าของผมก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก มันเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญหลังจากที่ผมบำเพ็ญมาได้ 13 ปี ผมเข้าใจหลักการของการค้นหาจากภายในได้อย่างแท้จริง และผมปล่อยวางความไม่พอใจและความไม่อดทนได้อย่างมาก ผมเริ่มพิจารณาเรื่องต่าง ๆ จากมุมมองของผู้อื่น กลายเป็นคนที่อดทนมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น ผมค่อย ๆ พบว่ามันง่ายขึ้นที่จะหลีกเลี่ยงการโต้เถียง
เมื่อความคิดเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้น ผมเพียงแค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างชัดเจนเพียงครั้งเดียว โดยไม่ยืนกรานให้คนอื่นยอมรับ ถ้าคนอื่นไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่รู้สึกว่าต้องโต้เถียงหรือปกป้องตัวเองอีกต่อไป ในช่วงเวลาที่สงบ ผมสามารถรักษาความไม่หวั่นไหวทางอารมณ์ ปราศจากความวิตกกังวลและไม่คิดมากเกินไป การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ฝึกคนนั้นช่วยผมเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์นั้น มันเตือนใจผมว่า ผมไม่ควรละเลยการเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์การบำเพ็ญของผม
เมื่อมองย้อนกลับไป ถึงแม้ว่าผมจะบำเพ็ญมา 13 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่หลักการพื้นฐานที่สุดของการค้นหาจากภายในอย่างแท้จริง ผมสะดุดโดยไม่รับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของตัวเองอย่างเต็มที่ และการทำเช่นนั้น ผมยังไม่ได้ทำงานอธิบายความจริงที่ได้รับมอบหมายตามที่สมควรทำ ถ้าผมเขียนบทความแลกเปลี่ยนอย่างจริงจังก่อนหน้านี้ ผมคงสามารถร่วมมือกับเพื่อนผู้ฝึกได้ดีกว่านี้มาก และเราจะสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นได้ ทำให้โครงการอธิบายความจริงของเราบรรลุผลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้
ตอนแรกผมเคยกังวลว่าการเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์แบบเฉพาะเจาะจงอาจส่งผลเสียต่อผู้ฝึกที่เกี่ยวข้อง แต่ระหว่างขั้นตอนการเขียนครั้งแรกนี้ ความกังวลนั้นก็จางหายไป
ตามหลักการของฝ่า ผมต้องค้นหาจากภายในอย่างไม่มีเงื่อนไข แล้วจึงจะค้นพบปัญหาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดกับมุมมองของตัวเอง การพูดจารุนแรง หรือการเก็บงำความไม่พอใจและการดูถูกเอาไว้ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง การยกระดับในการบำเพ็ญอย่างแท้จริงมาจากการเปลี่ยนแปลงจิตใจเท่านั้น นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมปล่อยวางความกลัวว่าการเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์อาจทำให้คนอื่นขุ่นเคือง
ความเข้าใจฝ่าที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อผมเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเองและเปรียบเทียบกับฝ่า นั่นทำให้ผมมองเห็นจิตยึดติดของตัวเองได้ง่ายขึ้น แม้ภายนอกผมจะดูสงบและเห็นด้วย แต่การเขียนนี้เผยให้เห็นความไม่พอใจที่ฝังรากลึกและละเอียดอ่อนของผม ผมมองเห็นการต่อต้านภายใน การบ่นพึมพำเกี่ยวกับผู้อื่น และความพยายามแสดงว่าตัวเองถูกต้อง การไตร่ตรองเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หากไม่จัดการกับความคิดภายในเหล่านี้แล้ว “ความอดทน” ที่ปรากฏออกมาก็เป็นเพียงสิ่งผิวเผินเท่านั้น
ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์การบำเพ็ญภายในครอบครัวและในหมู่มิตรสหาย เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์เหล่านี้กับฝ่า ผมพบความเย่อหยิ่งและความทะนงตน ซึ่งมักมาพร้อมกับอารมณ์ด้านลบที่รุนแรง การเขียนเรื่องนี้ทำให้ผมสามารถวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ในระดับลึกและค้นพบรากเหง้าของจิตยึดติด ผมยังได้เรียนรู้จากฝ่าเกี่ยวกับหลักการที่ถูกต้องของการปล่อยวาง
ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาของผมซื้อเครื่องดนตรีราคาแพงให้ลูก ผมคิดว่ามันไม่จำเป็น ลูกยังใช้มันไม่ได้อย่างน้อยอีก 5 ปี ผมพยายามห้ามไม่ให้เธอซื้อ แต่เธอก็ซื้อจนได้ ผมโกรธมาก และอารมณ์ด้านลบก็กดดันผมอย่างหนัก ผมพยายามปล่อยวาง แต่ก็ทำไม่ได้จริง ๆ ผมถึงกับบ่นภรรยา คำนวณดอกเบี้ยที่ควรประหยัดหรือหาได้ภายใน 5 ปี ผมคิดว่าเธอสะเพร่า ภรรยาผมพูดว่า "คุณมัวแต่คิดถึงเงินจำนวนเล็กน้อย คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งต่าง ๆ จะราคาเท่าไหร่ในอีก 5 ปีข้างหน้า" เธอพูดถูก เมื่อมองย้อนกลับไป ผมเห็นว่าภาวะเงินเฟ้อทำให้สิ่งที่เธอพูดนั้นถูกต้องจริง ๆ
ตอนที่ผมเขียนถึงเรื่องนี้ในบทความแลกเปลี่ยนของผม ผมไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่า ทำไมผมถึงปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่ไม่ได้ทำร้ายใคร รากเหง้าของจิตยึดติดนี้อยู่ที่การเลี้ยงดูของผม เนื่องจากผมเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว พี่น้องของผมมักจะตามใจผม ทำให้ผมมีนิสัยชอบสำคัญผิดคิดว่าตัวเองสำคัญและชอบบงการ แต่ภรรยาของผมมีเจตนาที่บริสุทธิ์และรอบคอบ เธอเพียงแค่ต้องการเตรียมสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญของลูกเราล่วงหน้าเท่านั้น
ผมศึกษาคำสอนของท่านอาจารย์หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่การทดสอบซินซิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะความขัดแย้งกับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้บำเพ็ญด้วยกัน เพื่อรักษาความกลมเกลียวในครอบครัว ผมต้องควบคุมอารมณ์ไว้ ดูภายนอกเหมือนผมอดกลั้นได้ดี แต่ภายในผมรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่บ่อยครั้ง ผมไม่สามารถวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นตามฝ่าได้อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงการฝืนอดทน และบางครั้งแม้แต่ผมเองก็คิดว่าผมทำได้ดี จากการเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ผมได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจหลักการของความอดทนอย่างแท้จริง ผมตระหนักว่ามันไม่ใช่แค่การอดทนต่อความขัดแย้งในอดีตหรือการนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมคิดว่า "รับมือได้ดี" แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความอดทนที่แท้จริงคือความรู้สึกที่สงบ ปราศจากความขุ่นเคือง และไม่ยึดติดกับความคับข้องใจเก่า ๆ
ไม่ว่าคนอื่นจะดูไร้เหตุผลเพียงใด ผมตระหนักว่าความขัดแย้งทั้งหมดถูกจัดวางโดยท่านอาจารย์เพื่อช่วยเราขจัดจิตยึดติดและยกระดับซินซิ่ง สมาชิกในครอบครัวและคนรอบข้างคือองค์ประกอบสำคัญในสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญของผม ช่วยขัดเกลาจิตใจของผมและช่วยให้การบำเพ็ญของผมสำเร็จบริบูรณ์ เมื่อผมค้นหาจากภายในอย่างแท้จริงและเปลี่ยนวิธีคิดของผม ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างจริงใจ
หลังจากเขียนบทความแลกเปลี่ยนนี้ สภาพแวดล้อมในบ้านของผมก็กลมเกลียวกันมากขึ้น การบำเพ็ญของลูกของผมก็มั่นคงขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภรรยาก็ดีขึ้น แม้แต่สมาชิกในครอบครัวที่ประเทศจีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนชักจูงให้เข้าใจผิดก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านี้ การโทรหาครอบครัวของผมมักทำให้ไม่สบายใจ พวกเขามักจะวิจารณ์ผม เช่น "ทำไมคุณยังเชื่อสิ่งนั้นอยู่" หลังจากที่ใจของผมอ่อนโยนขึ้น ทัศนคติของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เมื่อผมโทรไป พวกเขาทักทายผมอย่างอบอุ่น พวกเขายังให้กำลังใจและสนับสนุนเมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับโครงการอธิบายความจริง ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่เพียงแต่กลมเกลียวกันมากขึ้น แต่ยังเกื้อกูลกันและกันด้วย แม้แต่ในด้านการเงิน เมื่อผมประสบปัญหา พวกเขาก็เสนอให้ความช่วยเหลือ ผมเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทั้งหมดนี้คือการจัดวางด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์
ผมเรียนรู้ที่จะมองเห็นความดีในผู้อื่น แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษได้ และตราบใดที่พวกเขาได้รับการอธิบายให้ทราบความจริง พวกเขาก็อาจกลายเป็นผู้รู้แจ้งได้ ในอดีต ผมไม่สามารถเอาชนะความชอบและไม่ชอบอย่างรุนแรงที่มีต่อคนบางคน เพราะผมได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์มาอย่างยาวนาน ตอนนี้จิตใจของผมมีความเมตตามากขึ้นระดับหนึ่ง และทัศนคติที่ฝังรากลึกของผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป จิตใจของผมรู้สึกเบาสบาย ความคิดแจ่มชัด และงานอธิบายความจริงของผมก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วยให้ผมบำเพ็ญเหมือนตอนเริ่มต้น
การบำเพ็ญไม่เคยเป็นเส้นทางที่ง่ายเลย ก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผมมักหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับความขัดแย้งหรือจิตยึดติดของผม ผมเพียงแค่ปฏิเสธที่จะคิดถึงมัน ผมรู้สึกว่ามันยากเกินไป หรือผมใช้ทางอ้อมเพื่อเลี่ยงปัญหา ทัศนคติแบบนี้นำไปสู่ความเหนื่อยล้า ย่อหย่อน และอยากหยุดพักจากการบำเพ็ญ การเขียนประสบการณ์การบำเพ็ญทำให้ผมสามารถมองเห็นและเผชิญหน้ากับจิตยึดติดของตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้ผมก้าวหน้าอย่างมั่นคงบนเส้นทางการบำเพ็ญ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าการบำเพ็ญเกี่ยวข้องกับการเผชิญกับการทดสอบมากมายที่มีความยากแตกต่างกันไป ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องเข้าใจและผ่านมันไปด้วยการค้นหาจากภายในอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ผมเต็มใจที่จะเผชิญกับการทดสอบเหล่านี้ ท่านอาจารย์ก็จะช่วยผมให้ก้าวข้ามการทดสอบได้และยกระดับได้ การเขียนบทความแลกเปลี่ยนจึงเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการขัดเกลาและแก้ไขตนเองอย่างต่อเนื่องในการบำเพ็ญ ผมตระหนักได้ว่าการเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญปีละครั้งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น กระบวนการเขียนยังสร้างความประทับใจที่ยั่งยืน มันต้องใช้เวลาและความพยายาม และเป็นเครื่องเตือนใจโดยธรรมชาติให้บำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในอนาคต
ผมเข้าใจด้วยว่าการศึกษาฝ่าเป็นกลุ่ม การฝึกท่าร่วมกัน และการประชุมฝ่าเป็นรูปแบบพื้นฐานของการบำเพ็ญของเรา
การประชุมฝ่าไม่ได้เป็นเพียงการฟังประสบการณ์ของผู้อื่นเท่านั้น ผู้ฝึกทุกคนควรมีส่วนร่วมในการประชุม ช่วยให้การประชุมบรรลุผลอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการเขียนประสบการณ์ของเราจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายาม แต่การอดทนต่อความยากลำบากก็เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การเขียนยังช่วยพัฒนาความสามารถในการอธิบายประสบการณ์ของตนเองได้อย่างชัดเจนด้วย
เมื่อผมคิดทบทวนเกี่ยวกับประสบการณ์การเขียนที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่ผมเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเข้าใจในฝ่าของผมจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ผมเข้าถึงการบำเพ็ญอย่างจริงจังมากขึ้น และป้องกันไม่ให้ผมขี้เกียจ การรักษาทัศนคติที่กระตือรือร้นต่อการเขียนประสบการณ์ยังทำให้ผมรู้สึกถึงการนำทางด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ และช่วยยกระดับการบำเพ็ญของผมด้วย ความชัดเจนในหลักการของฝ่าของผมรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอนนี้ผมตั้งใจว่าจะเขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญทุกปี นี่ไม่ใช่เพื่อโอกาสที่จะพูดในที่สาธารณะ แต่เพื่อรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของผมเอง
นี่คือประสบการณ์และความเข้าใจบางส่วนของผมในขั้นตอนปัจจุบันของการบำเพ็ญของผม หากมีสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับฝ่า โปรดช่วยชี้แนะผมด้วย
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ! ขอบคุณเพื่อนผู้ฝึก !
(บทความที่ได้รับการคัดเลือกให้นําเสนอในการประชุมฝ่าที่ออสเตรเลีย ปี 2025)
ลิขสิทธิ์ © 2023 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์