(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 2)

เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเคยพูดว่า เริ่มจากการทำความชั่ว เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มิลาเรปะตอบว่า “ประการแรก การทำความชั่วหมายถึงการสร้างกรรมชั่วมหาศาลด้วยคาถาสังหารและคาถาเรียกพายุลูกเห็บ”

“ท่านอาจารย์” เรชุงปะถาม “ทำไมท่านจึงอยากฝึกคาถาอาคม”

มิลาเรปะตอบว่า “เมื่อข้าพเจ้าศึกษากับลามะนิกายแดง วันหนึ่งมีการจัดงานเทศกาลบริเวณที่ราบคยังกัตส์ ชาวบ้านเชิญอาจารย์ของข้าพเจ้าไปเป็นแขกผู้มีเกียรติ และท่านพาข้าพเจ้าไปด้วย ชาวบ้านเตรียมงานเลี้ยงและเสิร์ฟไวน์ชั้นเลิศให้กับอาจารย์ของข้าพเจ้า วันนั้นมีไวน์รสเลิศมากมาย ทุกคนดื่มกันเต็มที่ รวมทั้งข้าพเจ้าก็ด้วย หลังจากนั้น พอท้องอิ่ม มึนศีรษะ ข้าพเจ้าก็เมา

“อาจารย์เห็นข้าพเจ้าเมา ท่านจึงบอกให้ข้าพเจ้าเอาของถวายกลับวัดไปก่อน ข้าพเจ้าเดินโซเซไปตามเส้นทางบนเนินเขาอย่างผ่อนคลายและไร้กังวล ข้าพเจ้านึกถึงคนที่ร้องเพลงในงานเทศกาลนี้ เสียงของพวกเขาไพเราะมาก ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ คอก็เริ่มคันและอดร้องเพลงไม่ได้

“การร้องเพลงของข้าพเจ้าเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าเมาและอารมณ์ดี เสียงของข้าพเจ้าจึงดังชัดเจน ท่วงทำนองก็ไพเราะ ราวกับว่าจิตใจกำลังโบยบิน ขาของข้าพเจ้าเริ่มก้าวอย่างคล่องแคล่ว ข้าพเจ้ากระโดดและเต้นรำขณะที่ข้าพเจ้าร้องเพลงและเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าข้าพเจ้ากำลังเดินกลับบ้าน ขณะที่ข้าพเจ้ามาถึงประตูหน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็ยังเต้นรำและร้องเพลงอยู่ ในเวลานั้น แม่ของข้าพเจ้ากำลังทอดข้าวสาลี เธอประหลาดใจกับเสียงที่ได้ยิน และพึมพำว่า 'เสียงร้องนี้เหมือนกับเสียงของลูกชายฉัน แต่คงไม่มีใครในโลกที่มีชีวิตขมขื่นเหมือนเรา ฉันไม่คิดว่าลูกชายของฉันจะมีอารมณ์ที่จะร้องเพลงอย่างมีความสุขขนาดนี้' เธอรู้สึกประหลาดใจและสงสัย เธอจึงเดินไปดูที่หน้าต่าง เมื่อเห็นว่าเป็นข้าพเจ้า เธอก็โกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว เธอโยนคีมคีบไฟในมือขวาลงบนพื้นแล้วขว้างไม้พายจากมือซ้ายลงไป เธอไม่สนใจว่าข้าวสาลีจะไหม้หรือเปล่า เธอหยิบไม้ขึ้นมาด้วยมือขวาและกำขี้เถ้าด้วยมือซ้ายมากำมือหนึ่ง แล้วรีบลงไปชั้นล่าง หลังจากออกมาจากประตู เธอก็ขว้างขี้เถ้าใส่หน้าข้าพเจ้า และตีศีรษะของข้าพเจ้าอย่างแรง พร้อมกับตะโกนว่า 'พ่อของครอบครัว ! มิลา เชอรับ กเยลเซน ดูลูกชายของคุณสิ ! ครอบครัวเราจบแล้วสิ้นแล้ว ! ดูพวกเราสิ แม่ลูกที่น่าสงสาร !'

“เธอร้องไห้ ร้องโวยวาย และเป็นลมหมดสติด้วยความโกรธ น้องสาวของข้าพเจ้า เปตา วิ่งออกจากบ้าน ร้องไห้และอ้อนวอน

“'พี่ชายของฉัน ! คิดดูว่าพี่ทำอะไรลงไป ! ดูว่าแม่เป็นอย่างไรแล้ว !'

“ความโกลาหลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ข้าพเจ้าแทบหมดสติ และคำพูดของน้องสาวก็ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่น ความอับอายและความโศกเศร้าเกิดขึ้นในใจข้าพเจ้า และความสำนึกผิดทำให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตา ข้าพเจ้ากับน้องสาวร้องไห้ขณะที่เราจับมือแม่ เขย่าตัวเธอและร้องเรียกชื่อเธอ หลังจากผ่านไปนาน แม่ก็ฟื้นคืนสติ เธอมองมาที่ข้าพเจ้าทั้งน้ำตาและพูดว่า 'ลูกแม่ มีใครในโลกนี้ที่น่าสังเวชยิ่งกว่าพวกเราอีกไหม ลูกยังมีอารมณ์ร้องเพลงอย่างมีความสุขอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าลูกเพียงแค่มองมาที่แม่ของลูก หญิงชราคนนี้ ลูกก็จะไม่มีน้ำตาเหลือให้ร้องไห้แล้ว'

“พอแม่พูดจบ แม่ก็ร้องไห้อีกครั้ง น้องสาวและข้าพเจ้าก็ร้องไห้ตามไปด้วย หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็หยุดโศกเศร้าและพูดอย่างแน่วแน่ว่า 'แม่ ได้โปรดหยุดโศกเศร้าเถิด สิ่งที่แม่พูดเป็นความจริง ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าตราบใดที่แม่มีความปรารถนา ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ผมสัญญาว่าจะทำให้สำเร็จ !'

“'แม่ต้องการแก้แค้นศัตรูที่ต่ำช้าเหล่านั้น พวกที่แต่งกายด้วยผ้าลินินเนื้อดีและขี่ม้าตัวโตล่ำสัน เราอ่อนแอและไม่มีใครช่วยเหลือ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะแก้แค้นได้คือการใช้เวทมนตร์และคาถาที่สามารถสังหารได้ แม่ต้องการให้ลูกเรียนรู้สิ่งเหล่านี้รวมถึงคาถาเรียกพายุลูกเห็บด้วย แม่ต้องการให้ลูกเรียนรู้ทุกอย่างแล้วกลับมาสังหารลุง ป้า และเพื่อนบ้านที่โหดร้ายและครอบครัวของพวกเขา นี่เป็นความปรารถนาเดียวของแม่ ลูกจะทำได้ไหม’

“'ผมขอรับประกันว่าจะทำให้ได้ แม่ช่วยเตรียมค่าเดินทางและเครื่องบูชาที่จะมอบให้อาจารย์ของผมได้ไหม' ข้าพเจ้าตอบด้วยความมุ่งมั่น

“แม่จึงขายที่ดินที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจากสินสอดของแม่ และซื้ออัญมณีชิ้นใหญ่ราคาแพง จากนั้นแม่ก็ซื้อม้าสีขาวตัวหนึ่ง ถังสีย้อมหนึ่งถัง และหนังวัวให้อาจารย์ของข้าพเจ้า รวมถึงค่าเดินทาง ข้าพเจ้าพักที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ ๆ หลายวัน เพื่อรอเพื่อนร่วมเดินทาง

“ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มจิตใจดี 5 คน ที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังอู-ซัง (ทิเบตตะวันตกและตอนกลาง) เพื่อเรียนรู้เวทมนตร์และคาถาอาคมก็มา ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบพวกเขาและถามว่าข้าพเจ้าจะร่วมเดินทางไปกับพวกเขาได้ไหม พวกเขาดีใจที่มีผู้ร่วมเดินทางอีกคนและตกลงว่าเราจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน

“ข้าพเจ้าเชิญพวกเขาไปพักที่บ้านของข้าพเจ้าสองสามวัน แม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ขณะที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง แม่ก็พูดว่า 'ทุกคน ลูกชายของฉันยังเป็นเด็กและโง่เขลา ฉันเกรงว่าเขาอาจจะไม่เข้มงวดกับตัวเองนัก ฉันหวังว่าพวกคุณจะคอยให้กำลังใจเขาได้เรียนรู้คาถาให้ดี ฉันจะตอบแทนคุณอย่างดีเมื่อคุณกลับมา’

“พวกเขาตกลงที่จะดูแลข้าพเจ้าและให้ความมั่นใจกับแม่

“แล้วเราก็พร้อมที่จะออกเดินทาง สีย้อมและกระเป๋าเดินทางถูกมัดไว้บนม้า ส่วนอัญมณีข้าพจ้าก็ซ่อนไว้กับตัว แม่เดินส่งเราไปไกลและดื่มอำลากับเราระหว่างทาง แม่ย้ำเตือนเพื่อน ๆ ให้ดูแลข้าพเจ้าให้ดีอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็พาข้าพเจ้าออกไปข้าง ๆ และจับมือข้าพเจ้าไว้ ความรู้สึกของการจากลาแน่นเต็มหัวใจของเรา ทำให้เราแทบจะหายใจไม่ออก เราได้แต่มองหน้ากันเงียบ ๆ มีคำพูดมากมายที่เราอยากจะพูด แต่เราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดแม่ก็ทำลายความเงียบและพูดว่า 'ลูกเอ๋ย ให้คิดว่าเราผ่านอะไรมาด้วยกันบ้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกต้องร่ายคาถาใส่หมู่บ้านนี้ให้ได้ เหตุผลที่เพื่อน ๆ ไปเรียนคาถานั้นแตกต่างจากลูก พวกเขาแค่ต้องการใช้ทักษะนี้หาเลี้ยงชีพ แต่สำหรับลูก ลูกต้องพยายามอย่างเต็มที่ ลูกของแม่ ถ้าลูกกลับมาก่อนที่จะสามารถร่ายคาถาอาคมทำลายล้างหมู่บ้านนี้ได้สำเร็จ แม่จะตายต่อหน้าลูก !'

“ข้าพเจ้าสัญญาอย่างขมีขมันว่า 'แม่ ถ้าผมเรียนไม่สำเร็จ ผมจะไม่กลับมา ! อย่ากังวลเลย'

“ข้าพเจ้าดึงมือตัวเองออกจากมือของแม่อย่างช้า ๆ แล้วกลับไปหาเพื่อน ๆ และกล่าวคำอำลา ข้าพเจ้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมอง ข้าพเจ้าเดินไปอีกหลายก้าวแล้วหันกลับมามองอีกครั้ง น้ำตาไหลอาบหน้าของข้าพเจ้า แม่ก็ยังไม่ยอมกลับ แม้ว่าเราจะเดินห่างออกไปไกลจนแม่มองเห็นข้าพเจ้าได้ไม่ชัดเจนแล้ว แม่ก็ยังคงจ้องมองมาทางเรา ข้าพเจ้าคิดจะวิ่งกลับไปมองเธออีกครั้ง สัญชาตญาณบอกข้าพเจ้าว่านี่เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายของเรา และข้าพเจ้าจะไม่ได้เจอแม่อีก

“แม่รอจนไม่เห็นข้าพเจ้าอีกต่อไปแล้วร้องไห้ก่อนจะกลับบ้าน ไม่กี่วันต่อมา ทุกคนในหมู่บ้านก็ทราบว่าลูกชายของนังสตา คาร์เยน จากบ้านไปเพื่อเรียนรู้คาถาอาคม

“ข้าพเจ้ากับเพื่อน ๆ เดินทางบนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่อู-ซัง ในพื้นที่หนึ่งที่ห่างไกลจากศูนย์กลางของทิเบต ข้าพเจ้าขายสีย้อมและม้าให้กับชายผู้มั่งคั่งในท้องถิ่นเพื่อแลกกับทองคำซึ่งข้าพเจ้าพกติดตัวไปด้วย หลังจากข้ามแม่น้ำซังโป เราก็เดินทางต่อไปยังอู (ทิเบตตอนกลาง) เราพบพระภิกษุหลายรูป ข้าพเจ้าถามว่าพวกเขารู้จักปรมาจารย์ด้านคาถา เวทมนตร์ และคาถาเรียกพายุลูกเห็บหรือไม่ พระภิกษุรูปหนึ่งบอกว่าลามะรูปหนึ่งชื่อยุงตัน โทรเกียล เป็นผู้บรรลุในศาตร์เหล่านี้อย่างสมบูรณ์แล้ว เราเดินทางต่อและในที่สุดก็ได้พบกับลามะรูปนี้

เรานมัสการลามะรูปนี้ และเพื่อนร่วมเดินทางแต่ละคนของข้าพเจ้าก็ถวายเครื่องบูชาของตน ข้าพเจ้าถวายทองคำ อัญมณี และทุกสิ่งที่มีให้กับท่าน ข้าพเจ้าคุกเข่าลงและพูดว่า 'มิใช่เพียงทองคำ อัญมณี และทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้นที่กระผมมอบให้ท่านอาจารย์ แม้แต่ร่างกาย วาจา และจิตใจของกระผม ทุกสิ่งที่กระผมมีก็อุทิศแด่ท่าน ท่านอาจารย์ เพื่อนบ้านและญาติของกระผมกระทำการอันโหดร้ายต่อครอบครัวของกระผม กระผมต้องลงโทษพวกเขาด้วยคาถาอาคม โปรดสอนคาถาที่ดีที่สุดแก่กระผมด้วย กระผมหวังว่าท่านจะจัดหาเสื้อผ้าและอาหารให้กระผมในขณะที่กระผมเรียนที่นี่ด้วย'

“เมื่อได้ยินคำพูดของข้าพเจ้า ลามะก็ยิ้มแล้วพูดว่า ‘เราจะรอดูว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริงหรือไม่'

“ท่านอาจารย์ไม่ได้สอนคาถาที่ลึกซึ้งที่สุดแก่พวกเรา ท่านสอนคาถาอาคมแค่ 1 หรือ 2 คาถา เวทมนตร์บางอย่าง และวิธีใช้คาถาอาคมเหล่านี้เท่านั้น โดยใช้เวลานานกว่า 1 ปี เพื่อนร่วมชั้นของข้าพเจ้าเรียนรู้สำเร็จแล้วและเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน ลามะให้เสื้อไหมพรมที่ทำจากขนแกะที่ผลิตในท้องถิ่นกับพวกเราทุกคน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่มั่นใจและคิดว่า 'ถ้าเราจะแก้แค้นด้วยมนต์คาถาเหล่านี้ มันอาจจะไม่ได้ผลและแม่ก็จะฆ่าตัวตาย' ข้าพเจ้าจึงไตร่ตรองและตัดสินใจอยู่ต่อ เพื่อนร่วมชั้นถามว่า 'โตปากะ คุณไม่กลับบ้านหรือ'

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'ใช่ เราก็อยากกลับเหมือนกัน แต่เรายังเรียนรู้ไม่มากพอและรู้สึกอับอายที่จะกลับไป'

“ทั้งห้าคนพูดว่า 'คาถาอาคมเหล่านี้ลึกซึ้งมากอยู่แล้ว ลามะเองก็บอกว่าไม่มีคาถาอาคมใดที่ล้ำลึกกว่านี้อีกแล้ว พวกเรามั่นใจว่าคาถาเหล่านี้จะนำชื่อเสียงและสถานะทางสังคมมาสู่บ้านเกิดของเรา แต่ถ้าคุณอยากอยู่ต่อก็แล้วแต่คุณ มันขึ้นกับการตัดสินใจของคุณ'

“พวกเขาจึงกล่าวอำลาท่านอาจารย์และมุ่งหน้ากลับบ้าน ข้าพเจ้าสวมเสื้อไหมพรมแล้วเดินไปกับพวกเขา 2-3 ชั่วโมง ระหว่างทางกลับ ข้าพเจ้าเก็บมูลวัวเต็มถุงใบใหญ่กลับมาด้วยเพื่อใช้เป็นปุ๋ยให้กับทุ่งนาที่ดีที่สุดของอาจารย์ ท่านเห็นข้าพเจ้าจากห้องนอนจึงพูดกับลูกศิษย์อีกคนหนึ่งว่า 'ศิษย์หลายคนมาที่นี่เพื่อเรียนรู้ศาสตร์จากเรา แต่ไม่มีใครดีเท่าโตปากะ เราเกรงว่าจะไม่มีศิษย์ที่ดีเหมือนเขาอีกแล้วในอนาคต เช้านี้เขาไม่ได้บอกลาเรา หมายความว่าเขาจะกลับมา เราจำได้ว่าตอนที่เขามาถึงที่นี่ เขาพูดว่าญาติและเพื่อนบ้านทำร้ายครอบครัวของเขา เขาขอคาถาเพื่อแก้แค้น เขายังพูดว่าเขาจะอุทิศร่างกาย วาจา และจิตใจให้กับเรา เขาเป็นคนที่จริงใจอย่างแท้จริง หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ก็น่าเสียดายที่จะไม่สอนคาถาให้เขา’

“ลูกศิษย์คนนี้นำคำพูดเหล่านี้มาบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่ายังมีคาถาให้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีก ข้าพเจ้าวิ่งไปหาอาจารย์อย่างมีความสุข อาจารย์เห็นข้าพเจ้าจึงถามว่า 'โตปากะ ทำไมจึงไม่กลับบ้าน'

“ข้าพเจ้าถอดเสื้อไหมพรมออกแล้วคืนให้อาจารย์ มอบกราบเพื่อสักการะ แล้วตอบว่า ‘ท่านอาจารย์ ลุง ป้า และเพื่อนบ้านของกระผมทำสิ่งที่เลวร้ายต่อครอบครัวของกระผม พวกเขาเอาทรัพย์สินของเราไปด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ เราไม่มีอำนาจที่จะใช้แก้แค้น แม่จึงขอให้กระผมมาที่นี่เพื่อเรียนคาถา แม่ได้พูดไว้แล้วว่าถ้ากระผมกลับไปโดยไม่เชี่ยวชาญคาถาอย่างสมบูรณ์ เธอจะฆ่าตัวตายต่อหน้ากระผม กระผมจึงไม่สามารถกลับไปได้ ท่านอาจารย์ โปรดเมตตากระผมและสอนคาถาขั้นสูงสุดให้แก่กระผมด้วย !'

“คำพูดเหล่านั้นทำให้ข้าพเจ้าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ลามะถามข้าพเจ้าว่า 'ญาติและเพื่อนบ้านของเจ้ารังแกเจ้าอย่างไร'

“ข้าพเจ้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่าลุงและป้าเอามรดกของเราไปและปฏิบัติต่อเราอย่างโหดร้ายหลังจากที่พ่อของข้าพเจ้าเสียชีวิต ข้าพเจ้าร้องไห้ในขณะที่พูด โดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด ท่านอาจารย์เองถึงกับน้ำตาไหลเช่นกันในขณะที่ท่านฟัง แล้วท่านก็พูดว่า ‘หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง สิ่งที่พวกเขาทำก็ผิดมหันต์ สำหรับผู้ที่มาที่นี่เพื่อเรียนคาถา พวกเขามาจากที่ต่าง ๆ บางคนนำทองคำและหยกมาเป็นจำนวนมาก บางคนนำผ้าลินินเนื้อดีและเนยมาหลายร้อยหรือหลายพันชิ้น บางคนก็นำชาและผ้าไหมที่ดีที่สุดมา ตลอดจนนำสัตว์เลี้ยงในฟาร์มมากกว่า 1,000 ตัวมาให้ แต่เจ้าเป็นคนเดียวที่อุทิศร่างกาย วาจา และจิตใจของเจ้า แต่เราก็ยังสอนคาถาให้เจ้าไม่ได้ บัดนี้เราจะส่งคนไปตรวจสอบก่อนว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง’

“ในหมู่เพื่อนนักเรียนของข้าพเจ้า มีคนหนึ่งที่เร็วกว่าม้าและสูงเท่ากับช้างตัวใหญ่ อาจารย์ส่งเขาไปตรวจสอบที่บ้านเกิดของข้าพเจ้า หลายวันต่อมา เขาก็กลับมารายงานว่า ‘ท่านอาจารย์ สิ่งที่โตปากะพูดเป็นเรื่องจริงแท้ โปรดสอนคาถาที่ดีที่สุดให้แก่เขาด้วย'

“อาจารย์จึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘โตปากะ ถ้าเราสอนคาถาเหล่านั้นให้แก่เจ้าตั้งแต่เริ่มต้น เราเกรงว่าคนถ่อมตนเช่นเจ้าอาจจะเสียใจ ตอนนี้เราทราบแล้วว่าสิ่งที่เจ้าบอกเรานั้นไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา ดังนั้นเราจะสอนคาถาเหล่านั้นให้กับเจ้า เรามีคาถาลับอยู่ 2 คาถา นอกจากนี้ ยังมีลามะอีกรูปหนึ่งชื่อ ยนเต็น กยัตโซ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์และคาถา เขามีคาถาลับสำหรับเรียกพายุลูกเห็บ หลังจากที่เราสอนศาตร์ที่ไม่เหมือนใครเหล่านี้ให้แก่กันและกัน เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อมีคนมาที่นี่เพื่อเรียนรู้คาถา เราก็ส่งพวกเขาไปที่นั่นด้วย และเขาก็ทำเช่นเดียวกัน วันนี้สำหรับเจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น เราจะส่งลูกชายคนโตไปกับเจ้าด้วย’

“อาจารย์เตรียมอาหาร ผ้าสักหลาดที่ทำจากขนแกะชั้นดี และของขวัญบางอย่างให้ฉันนำมอบให้ยนเต็น กยัตโซ เราวางของเหล่านี้ไว้บนหลังม้าและเริ่มออกเดินทาง

“หลังจากไปถึงที่นั่นและพบกับยนเต็น กยัตโซ ข้าพเจ้าก็มอบของขวัญทั้งหมดให้เขา จากนั้นข้าพเจ้าก็เล่าประสบการณ์ที่เศร้าโศกของตัวเองให้เขาฟัง และเหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเรียนคาถาและขอร้องให้เขาสอนข้าพเจ้า ลามะพูดว่า 'ยุงตัน โทรเกียลและเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ตายแทนกันได้ เขาต้องมีเหตุผลในการส่งเจ้ามาที่นี่ เราจะสอนคาถาสังหารให้กับเจ้า แต่ก่อนที่จะสอน เจ้าต้องสร้างหอธรรมที่เชิงเขาในบริเวณที่คนมองไม่เห็นก่อน'

“เราสองคนจึงหาบริเวณที่เงียบสงบที่เชิงเขาและสร้างหอธรรมที่เรียบง่าย เราใช้หินก้อนหนึ่งที่ใหญ่เท่าวัวเพื่อซ่อนหอนี้

“ท่านอาจารย์ได้สอนคาถาลับให้แก่ข้าพเจ้าในหอธรรมแห่งนี้

“หลังจากที่ข้าพเจ้าฝึกอยู่ 7 วัน ลามะก็พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ในอดีต 7 วันก็เพียงพอแล้วที่จะเรียนรู้คาถานี้ ตอนนี้คุณได้ฝึกมันมา 7 วันแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ’

“แต่ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าต้องร่ายคาถาไปไกลมาก ๆ ข้าพเจ้าจึงขอเวลาฝึกเพิ่มอีก 7 วัน ในช่วงเย็นของวันที่ 14 อาจารย์มาและพูดกับข้าพเจ้าว่า “คืนนี้ เราจะเห็นผลของของคาถาสังหารที่ข้างแท่นบูชา’

“เหมือนที่อาจารย์พูด คืนนั้นเทพผู้พิทักษ์มาหาข้าพเจ้าพร้อมกับศีรษะ ตับ และถุงน้ำดีของคน 35 คน เขาพูดว่า 'นี่คือสิ่งที่เจ้าขอให้เราทำ !'

“เช้าวันรุ่งขึ้น ลามะถามข้าพเจ้าว่า ‘เทพผู้พิทักษ์บอกว่ายังมีอีกสองคนที่ควรตาย เขาควรสังหารไหม’

“ข้าพเจ้าพอใจและตอบว่า 'เราจะไว้ชีวิตพวกเขาเพื่อเป็นพยานของผลกรรมที่ได้รับ โปรดละเว้นพวกเขาด้วย'

“ด้วยวิธีนี้ ลุงและป้าของข้าพเจ้าจึงมีชีวิตอยู่ จากนั้นเราก็ถวายเครื่องบูชาแด่เทพผู้พิทักษ์ แล้วส่งเขากลับไป และปิดพิธี

“คาถานี้แสดงออกมาอย่างไรที่เมืองคยังกัตซา บ้านเกิดของข้าพเจ้า วันนั้นเป็นงานแต่งงานของลูกชายคนโตของลุงของข้าพเจ้า พวกเขาเชิญแขกมาร่วมในงานฉลองมากมายที่บ้าน มีคนมาร่วมงานฉลองมากกว่า 30 คน พวกเขาคือคนที่ช่วยลุงและป้ารังแกเรา บางคนที่เห็นใจเราก็ได้รับเชิญด้วย และพวกเขากำลังเดินทางอยู่ ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านที่จัดงาน พวกเขายังคงพูดถึงความผิดของลุงกับป้าของข้าพเจ้า คนหนึ่งพูดว่า ‘มีคำกล่าวว่าแขกกลายเป็นเจ้าบ้าน ส่วนเจ้าบ้านกลายเป็นสุนัข นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น คนชื่อเสียฉาวโฉ่เหล่านี้ไร้ยางอาย พวกเขายึดทรัพย์สินของโตปากะและรังแกครอบครัวของเขาต่อไม่หยุดหย่อน โตปากะได้ออกไปเรียนรู้คาถา แม้ว่าเวทมนตร์คาถาของเขาจะยังไม่มา แต่ผลกรรมจากกฎแห่งกรรมของพุทธธรรมจะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว’

“เวลานั้น ครอบครัวของลุงและป้าทุกคนยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขก แขกดื่มกันอย่างครื้นเครง สาวใช้คนหนึ่งซึ่งเคยทำงานให้กับครอบครัวของข้าพเจ้ามาก่อน แต่ตอนนี้ทำงานให้พวกเขา ลงไปเตรียมเครื่องดื่มที่ชั้นล่าง ที่นั่นเธอเห็นแมงป่องยักษ์ งู และปูจำนวนมากคลานเบียดเสียดกันอยู่ทั่วพื้น แมงป่องตัวใหญ่มหึมาหนีบเสาเรือน พยายามจะทำลายเสาเหล่านี้ หญิงสาวรับใช้ตกใจกลัวสุดขีด จึงรีบวิ่งออกประตูไปพร้อมกับกรีดร้อง

“วันนั้นมีม้าของแขกจำนวนมากอยู่ที่ชั้นล่าง ม้าตัวผู้ตัวหนึ่งกำลังรังแกม้าตัวเมีย ม้าตัวผู้อีกตัวหนึ่งเห็นเข้าและเริ่มก่อความวุ่นวาย ม้าตัวเมียพยายามเตะม้าตัวผู้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันเตะเสาเรือนล้ม บ้านทั้งหลังพังถล่มลงมากระแทกทันที เสียงร้องไห้และกรีดร้องดังทั่วบริเวณ ลูกชายของลุง เจ้าสาว และแขกกว่า 30 คน ถูกทับเสียชีวิตพร้อมกันทั้งหมด พื้นเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังและฝุ่นจากบ้านที่ถล่มลงมา ใต้ไม้และกระเบื้องที่แตกหักมีร่างไร้วิญญาณหลายสิบร่างอยู่เบื้องล่าง

“เปตา น้องสาวของข้าพเจ้า กำลังเดินอยู่แถวนั้นในเวลานั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เธอก็รีบวิ่งกลับบ้านทันทีและพูดกับแม่ว่า 'แม่ ! แม่ ! มาดู ! บ้านลุงถล่ม คนตายเยอะเลย !'

“แม่รู้สึกสงสัยแต่ก็มีความสุขอยู่ข้างใน เธอรีบไปที่บ้านของลุง เบื้องหน้าเธอมีกองกระเบื้องแตกและมีฝุ่นตลบทั่วไปหมด แม่ทั้งรู้สึกแปลกใจและชอบใจ เธอฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเธอ และรีบมัดมันเข้ากับไม้ยาว เธอวิ่งโบกธงไปรอบบริเวณ และตะโกนว่า 'ทุกคน มาดูสิ ! ลามะและพระพุทธ ฉันขอสักการะท่าน ! เฮ้ เพื่อนบ้าน ขอบอกพวกคุณว่า เชอรับ กเยลเซน มีลูกชายคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ฉัน นังสตา คาร์เยน ต้องสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น และกินขยะเพื่อให้ลูกชายของฉันไปเรียนคาถา ใครพูดว่าเราทำไม่สำเร็จ ! ทุกคนมาดูสิ ! ลุงกับป้าพูดว่าถ้าฉันมีความสามารถ ก็ให้ฉันหาคนมาสู้กับพวกเขาเพื่อเอาทรัพย์สินคืนสิ พวกเขาพูดว่า ถ้าฉันหาใครไม่ได้ เราก็ลองร่ายคาถาดูสิ ทุกคน คิดอย่างไร ตอนนี้ โตปากะแค่ร่ายเวทมนตร์คาถาเล็ก ๆ เท่านั้น แต่มันทรงพลังยิ่งกว่าการสู้รบครั้งใหญ่ ดูสิ คนอยู่ข้างบน สมบัติอยู่ตรงกลาง และปศุสัตว์อยู่ข้างล่าง ทุกอย่างหายไปหมดแล้ว ! ฉันมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้เพื่อจะได้เห็นอาคมของลูกชาย ฉัน นังสตา คาร์เยน มีความสุขมาก มีความสุขมาก ! ฮา ! ฮา ! ฮา ! ฉันไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ! เฮ้ ทุกคน มาดูสิ !'

“เธอโบกธงและวิ่งไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งลุงและป้าได้ยินสิ่งที่เธอพูด คนหนึ่งพูดว่า 'สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดอาจเป็นเรื่องจริง !'

“อีกคนหนึ่งพูดว่า 'มันดูเหมือนจริง แต่สิ่งที่เธอพูดมันเกินไปหน่อย !'

“หลังจากที่ผู้คนได้ยินว่าข้าพเจ้าใช้คาถาสังหารคนไปมากมาย พวกเขาก็มารวมตัวกันและพูดว่า 'ผู้หญิงคนนี้ก่อเรื่องร้ายแรงมากและยังวิ่งโห่ร้องไปทั่วอย่างมีความสุข เราต้องฆ่าเธอแล้วบีบเลือดออกจากหัวใจและตับของเธอ !'

“ชายสูงอายุคนหนึ่งไม่เห็นด้วย 'แม้ว่าคุณจะฆ่าผู้หญิงคนนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันมีแต่จะทำให้ลูกชายของเธอเกลียดเรามากขึ้น และสังหารคนด้วยคาถามากขึ้น เราต้องคิดหาทางฆ่าโตปากะก่อนแล้วค่อยจัดการกับผู้หญิงคนนี้ !'

“พวกเขาจึงไม่ฆ่าแม่ของข้าพเจ้า แต่ลุงก็ไม่ยอมแพ้และพูดว่า 'ลูก ๆ ของผมตายไปหมดแล้ว ผมจะต่อสู้กับเธอ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว !'

“พอพูดจบ เขาก็รีบออกไปฆ่าแม่ของข้าพเจ้า ผู้คนรีบหยุดเขาแล้วพูดว่า 'เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณ โตปากะยังมีชีวิตอยู่ ถ้าคุณฆ่านังสตา คาร์เยน แบบนี้ ลูกชายของเธออาจจะร่ายคาถาอาคมมากกว่านี้ และเราทุกคนก็จะตายกันหมด ถ้าคุณไม่ฟังเรา เราจะฆ่าคุณก่อน !’

“ดังนั้นลุงจึงหยุด แล้วชาวบ้านก็ปรึกษากันว่าจะส่งคนมาฆ่าข้าพเจ้าอย่างไร พี่ชายของแม่มาหาเธอแล้วพูดว่า 'สิ่งที่น้องพูดและทำเมื่อวานนี้ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านอยากจะฆ่าน้องและลูกชายของน้อง น้องเตรียมพร้อมหรือยัง' เขาถอนหายใจ 'คาถาเดียวก็เกินพอแล้ว ทำไมทุกคนจึงเกลียดเรา !' เขาคุยกับเธออยู่นานเพื่อให้เธอสงบลง แม่ถอนหายใจแล้วพูดว่า 'พี่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนฉันรู้ว่าผู้คนคิดอย่างไร แต่ฉันต้องหาทางแก้แค้นคนที่แย่งทรัพย์สินของเราไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ พี่ก็รู้ ความเกลียดชังนี้มากจนไม่สามารถตรวจวัดได้ชัดเจน !'

“เธอร้องไห้ไม่หยุดโดยไม่พูดอะไรเลย พี่ชายของเธอถอนหายใจแล้วพูดว่า 'สิ่งที่น้องพูดนั้นถูกต้อง แต่ถ้ามีคนมาฆ่าน้องล่ะ น้องน่าจะปิดประตูรั้วตอนนี้เลย’

“แม่ปิดประตูรั้วอย่างแน่นหนา เธอครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย อดีตคนรับใช้ของเราเห็นใจแม่ของข้าพเจ้า จึงแอบมาหาเธอและบอกเธอว่า 'ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องการฆ่าท่านแล้ว พวกเขาต้องการปลิดชีวิตลูกชายของท่าน ท่านควรบอกเขาให้ระวังตัว’

“แม่ได้ยินเช่นนี้ก็เลิกกังวลไปสักพัก

“แม่ขายที่ดินจากสินสอดอีกครึ่งหนึ่งและได้ทองคำ 7 ตำลึง เธอต้องการให้เงินข้าพเจ้าแต่ไม่ไว้ใจใครในหมู่บ้านให้ถือเงินไปให้ ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะนำทองคำไปให้ข้าพเจ้าด้วยตัวเอง ก็มีโยคีคนหนึ่งมาจากอู และผ่านหมู่บ้านของเราเพื่อขอบริจาคทาน เขากำลังจะไปแสวงบุญที่เนปาล แม่สอบถามภูมิหลังของเขาอย่างละเอียดและคิดว่าเขาจะเป็นผู้ส่งสารที่เหมาะสม เธอจึงพูดกับโยคีว่า ‘อาจารย์ โปรดอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด ตอนนี้ลูกชายของฉันกำลังศึกษาธรรมะอยู่ที่อู-ซัง ฉันอยากเขียนจดหมายถึงเขา ท่านช่วยเอาจดหมายไปให้เขาได้ไหม’

“โยคีตอบตกลง แม่เชิญเขาอยู่ที่บ้านสองสามวันและปฏิบัติต่อเขาอย่างดี

“คืนนั้น แม่จุดตะเกียงแล้วอธิษฐานขณะคุกเข่าต่อหน้าเทพเทวดาว่า ‘ถ้าความปรารถนาของฉันจะเป็นจริง ขอให้ตะเกียงนี้ไม่ดับ แต่ถ้าความปรารถนาของฉันไม่สมหวัง ก็ขอให้เปลวไฟดับในทันที ฉันหวังอย่างจริงใจว่าบรรพบุรุษของโตปากะและเทพผู้พิทักษ์จะแสดงคำตอบให้ฉันเห็น’ หลังจากที่เธออธิษฐานแล้ว ตะเกียงก็ยังคงติดและสว่างอยู่ตลอดทั้งคืน แม่เชื่อว่าความปรารถนาของเธอจะเป็นจริง วันต่อมา เธอพูดกับโยคีว่า ‘ท่านอาจารย์ เสื้อผ้าและรองเท้าของผู้แสวงบุญมีความสำคัญมาก ท่านเอามาให้ฉันซ่อมก็ได้ ฉันต้องการมอบพื้นรองเท้าสำรองให้ท่านคู่หนึ่งด้วย’

“แม่จึงมอบหนังชิ้นใหญ่ให้โยคีเพื่อใช้ทำพื้นรองเท้า จากนั้นเธอก็ซ่อมเสื้อคลุมให้โยคี ที่บริเวณกลางหลังของเสื้อ เธอซ่อนทองคำบาง ๆ 7 ชิ้น และเย็บผ้าสีดำขนาด 1 ตารางฟุตปิดคลุมไว้ เธอใช้ด้ายเส้นใหญ่สีขาวปักรูปดาวเล็ก ๆ 6 ดวงตรงกลางผ้าสีดำ แล้วคลุมด้วยผ้าอีกชิ้นหนึ่ง เธอทำทั้งหมดนี้โดยที่โยคีไม่รู้ สุดท้ายเธอก็ประทับตราบนซองจดหมาย ยื่นจดหมายให้เขา และมอบของขวัญมากมายให้เขาเพื่อขอบคุณ

“ในตอนนั้นแม่คิดว่า 'ฉันไม่รู้ว่าชาวบ้านพวกนี้คิดอะไรอยู่ตอนนี้ ฉันต้องหาวิธีทำให้พวกเขากลัว’ เธอจึงบอกน้องสาวของข้าพเจ้าว่า 'โยคีที่จากไปเมื่อวานได้นำจดหมายจากพี่ชายของลูกมาด้วย' เปตาเล่าให้หลายคนฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่จึงเขียนจดหมายปลอมที่เลียนแบบสำเนียงของข้าพเจ้า :

“'คุณแม่ที่รัก ผมดีใจที่ได้ยินว่าคาถาสังหารได้ผลดี ถ้ามีใครในหมู่บ้านรังแกแม่หรือเปตา น้องสาวของผม โปรดแจ้งชื่อของพวกเขาให้ผมทราบ ผมจะได้ร่ายคาถาได้ ด้วยทักษะการใช้คาถาของผม การสังหารใครสักคนนั้นเป็นเรื่องง่าย และการกำจัดทั้งครอบครัวและญาติของพวกเขานั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าชาวบ้านทุกคนไม่ดีกับเรา ผมหวังว่าแม่และเปตาจะย้ายมาที่นี่ เมื่อผมออกจากบ้านมาตอนนั้น ผมไม่มีอะไรเลย แต่ตอนนี้ผมร่ำรวยและไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ขออวยพรให้แม่พบแต่สิ่งที่ดี ลูกชายแม่ โตปากะ’

“เธอยังประทับตราปลอมบนจดหมายด้วย หลังจากแสดงจดหมายนี้ให้ลุง ป้า และคนใกล้ชิดกับพวกเขาดู เธอก็เก็บจดหมายนั้นไว้ที่บ้านพี่ชายของเธอ ด้วยวิธีนี้ชาวบ้านจึงไม่กล้าฆ่าเราอีกต่อไป ชาวบ้านเรียกร้องให้ลุงคืนสามเหลี่ยมออร์มาให้แม่เพราะจดหมายนี้เช่นกัน

“กลับไปที่ผู้แสวงบุญโยคี เมื่อได้ยินว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนแล้ว เขาก็มาเยี่ยมข้าพเจ้า หลังจากเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับแม่และน้องสาวและหมู่บ้านให้ข้าพเจ้าฟังแล้ว เขาก็ยื่นจดหมายให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปยังที่ส่วนตัวแล้วเปิดจดหมายอ่าน

“ในจดหมาย แม่เขียนว่า 'ลูกชายที่รัก แม่สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ การได้เห็นลูกชายของแม่ประสบความสำเร็จ แม่ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจเลยตอนนี้ พ่อของลูกก็คงพอใจในโลกหลังความตายเช่นกัน หลังจากที่คาถาของลูกคร่าชีวิตศัตรูไป 35 คน ไม่นานมานี้แม่ได้ยินว่าชาวบ้านจะส่งคนไปลอบสังหารลูก แล้วไปฆ่าแม่หลังจากนั้น ระวังตัวให้ดีนะลูก เนื่องจากพวกเขาตั้งใจที่จะแก้แค้น เราจึงไม่ควรให้อภัยพวกเขาง่าย ๆ ลูกควรเรียกพายุลูกเห็บมาทำลายพืชผลของพวกเขา แม่จึงจะรู้สึกพอใจมาก ถ้าค่าเรียนของคุณหมดแล้ว ให้ลูกไปขอเพิ่มได้จากครอบครัวญาติของเรา 7 ครอบครัวบนภูเขาที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ พวกเขาอยู่ลึกเข้าไปในเมฆดำภายใต้ดวงดาวระยิบระยับ 6 ดวง ถ้าลูกไม่รู้ว่าญาติเหล่านี้อยู่ที่ไหนหรือหมู่บ้านอยู่ที่ไหน ให้ไปหามันที่โยคี เขาเป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ และลูกไม่จำเป็นต้องไปที่อื่น แม่ของลูก นังสตา คาร์เยน’

“ข้าพเจ้าอ่านจดหมายแต่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ข้าพเจ้าคิดถึงบ้านเกิดและแม่ ข้าพเจ้าไม่รู้จักหมู่บ้านและญาติที่อธิบายในจดหมาย ไม่รู้จะไปหาค่าเรียนจากที่ไหน แล้วน้ำตาก็ไหลอาบหน้า ข้าพเจ้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง เช็ดน้ำตา แล้วไปถามโยคีว่า 'ดูเหมือนท่านจะรู้ว่าญาติของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ท่านช่วยบอกกระผมเกี่ยวกับพวกเขาได้ไหม’

“โยคีตอบว่า 'เราแค่ได้ยินมาว่าคุณมีญาติอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย' ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า 'ท่านรู้จักที่อื่นอีกไหม คุณมาจากที่ไหน' โยคีตอบว่า ‘เรารู้จักหมู่บ้านอื่น ๆ มากมาย แต่ไม่รู้จักญาติของคุณเลย เรามาจากอู' จากนั้นข้าพเจ้าก็พูดกับเขาว่า ‘เช่นนั้น โปรดรออยู่ที่นี่ แล้วกระผมจะกลับมา’

“ข้าพเจ้าเอาจดหมายให้อาจารย์ของข้าพเจ้าอ่านและเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านพูดว่า 'แม่ของเจ้าโกรธมากจริง ๆ การสังหารคนมากมายยังไม่พอ เธอยังขอให้เจ้าร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บอีก’ แล้วท่านก็ถามว่า 'ญาติของเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนในภาคเหนือ' ข้าพเจ้าตอบว่า 'กระผมไม่เคยได้ยินเรื่องญาติทางภาคเหนือเลย แต่จดหมายบอกไว้เช่นนั้น ข้าพเจ้าถามโยคีแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น’

“ในเวลานั้นภรรยาของอาจารย์ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย เธออ่านจดหมายแล้วพูดว่า 'เจ้าช่วยขอให้โยคีเข้ามาได้ไหม' เธอจุดไฟและเชิญโยคีเข้ามาอบอุ่นร่างกายและดื่มเครื่องดื่ม จากนั้นเธอก็เริ่มพูดคุย คุยเรื่องนี้เรื่องนั้น ในระหว่างนั้น เธอเดินไปข้างหลังโยคี ถอดเสื้อคลุมของเขาออก สวมให้ตัวเองแล้วพูดว่า ‘การสวมเสื้อผ้าที่ผ่านลมฝนเช่นนี้เพื่อแสวงบุญ ท่านจะได้รับพร' จากนั้นเธอก็เดินไปรอบ ๆ อยู่ภายในบ้านและขึ้นไปชั้นบน เธอหยิบเอาทองคำออกมาจากเสื้อคลุมที่เก่าขาด แล้วเย็บเสื้อกลับเข้าที่ และนำเสื้อคลุมกลับไปคืนให้โยคี จากนั้นเธอก็เชิญโยคีรับประทานอาหารและพักค้างคืน

“ต่อมาเธอเรียกข้าพเจ้าแล้วบอกว่า 'โตปากะ ไปที่ห้องอาจารย์กัน !' เราไปที่ห้องอาจารย์ด้วยกัน และเธอก็ให้ทองคำ 7 ตำลึงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจว่า 'ของพวกนี้มาจากไหน' เธอตอบว่า 'แม่ของเจ้าฉลาดมาก เธอซ่อนทองคำไว้อย่างปลอดภัย จดหมายกล่าวถึงหมู่บ้านบนภูเขาที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ หมายความว่ามันเป็นสถานที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง ชั้นในของเสื้อคลุมโยคีไม่โดนแสงแดดใช่ไหม เมฆดำหมายถึงมีผ้าสีดำปกคลุมอยู่ ดาวระยิบระยับ 6 ดวงหมายถึงดาวที่เย็บด้วยด้ายสีขาว 6 ดวง 7 ครอบครัวภายใต้ดวงดาวหมายถึงทองคำ 7 ตำลึง มีเพียงโยคีเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นั่น และเจ้าไม่จำเป็นต้องไปที่อื่นเพราะโยคีเป็นผู้ถือทองคำนี้ ไม่มีใครอื่นอีก’

“อาจารย์หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า 'ผู้คนพูดกันว่าคุณ พวกผู้หญิงเป็นคนฉลาด นี่เป็นความจริงแน่นอน !’

“ข้าพเจ้าได้มอบทองคำ 1 เหมา (หรือ 1/10 ตำลึง) ให้กับโยคี ซึ่งทำให้เขาพอใจมาก จากนั้นข้าพเจ้าก็มอบทองคำ 7 เหมาให้กับภรรยาของอาจารย์ และมอบทองคำ 3 ตำลึงให้กับอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดกับอาจารย์ด้วยว่า 'แม่ขอให้กระผมร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บ ได้โปรด ท่านอาจารย์ โปรดบอกวิธีร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บที่เป็นความลับที่สุดให้กระผมด้วย’

“ท่านอาจารย์ตอบว่า 'ถ้าจะเรียนรู้คาถาเรียกพายุลูกเห็บ เจ้าต้องถามยุงตัน โทรเกียล'

“อาจารย์จึงเขียนจดหมายและมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลูกในท้องถิ่นให้ข้าพเจ้านำติดตัวไปด้วย ข้าพเจ้ากลับไปหา ยุงตัน โทรเกียล มอบจดหมายและของขวัญให้เขา และมอบทองคำ 3 ตำลึงให้เขา ข้าพเจ้าอธิบายอย่างละเอียดว่าทำไมต้องเรียนรู้คาถาเรียกพายุลูกเห็บ อาจารย์ถามว่า “คาถาของเจ้าได้ผลหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบว่า 'ได้ผล มีผู้เสียชีวิต 35 คน จากนั้นกระผมก็ได้รับจดหมายจากแม่ขอให้กระผมเรียนคาถาเรียกพายุลูกเห็บ กระผมจึงหวังว่าท่านจะช่วย' ท่านตอบว่า 'ไม่มีปัญหา ความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง' แล้วท่านก็สอนคาถาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฝึกคาถาอยู่ในหอธรรมเป็นเวลา 7 วัน ในวันที่ 7 มีเมฆดำมืดก่อตัวขึ้นระหว่างโขดหินบนภูเขาที่หันหน้าเข้าหาเรา ฟ้าผ่าขณะที่มีสายฟ้าแลบ ราวกับพายุใหญ่กำลังมา ข้าพเจ้าทราบว่าตอนนี้ข้าพเจ้าสามารถควบคุมพายุลูกเห็บได้แล้ว”

(มีต่อ)