(Minghui.org) ฉันเกิดในฤดูหนาวปี 1966 เนื่องจากท่าของฉันในครรภ์ไม่ปกติ จึงทำให้แม่คลอดฉันยาก ผิวของฉันเป็นสีม่วงเข้ม และฉันไม่ร้องไห้หลังเกิดแล้วหลายชั่วโมง แต่พวกเขาไม่สนใจว่าฉันจะรอดหรือไม่เพราะแม่ของฉันมีลูก 8 คนก่อนหน้าฉัน และครอบครัวของเรายากจนมาก

ต่อมาเพื่อนบ้านคนหนึ่งมาเยี่ยมเรา และเธอพยายามช่วยฉันด้วยการใช้น้ำเย็นจัดเช็ดตัวฉัน อีก 20 นาทีต่อมา ฉันก็ร้องไห้เป็นครั้งแรก สีผิวของฉันกลับมาเป็นปกติในวันถัดมา

เมื่อฉันเป็นวัยรุ่น ฉันได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจรุนแรง ฉันมีอาการเจ็บป่วยมากขึ้นหลังจากแต่งงาน รวมถึงซีสต์ที่ไต หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ปัญหากระเพาะอาหาร โรคข้ออักเสบ โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า (trigeminal neuralgia) ไหล่ติด ตับอ่อนอักเสบ และโรคทางนรีเวช

หลังจากที่ฉันเรียนฝ่าหลุนต้าฝ่าในปี 2014 ได้ 4 เดือน ฉันก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ครูในโรงเรียนที่ฉันทำงานอยู่มากกว่า 100 คน รู้สึกประหลาดใจกับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของฉัน เลขานุการของแผนกยังยกนิ้วให้ฉันเมื่อเขาเห็นฉันที่บันได

ฉันตระหนักว่าอาจารย์หลี่หงจื้อ ผู้ก่อตั้งฝ่าหลุนต้าฝ่า คอยดูแลฉันมาตลอด ฉันโชคดีมากที่รอดชีวิตตั้งแต่แรกเกิด ขอขอบพระคุณการคุ้มครองของท่านอาจารย์ และในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าทําไมแม่ให้กำเนิดฉันด้วยการคลอดท่าก้น ฉันอาจมาในท่านั่งบนดอกบัว !

"คุณคือครูที่เก่งที่สุด"

ฉันฝึกตัวเองตามหลักการของต้าฝ่าโดยยึดหลักความจริง-ความเมตตา-ความอดทน ฉันมาทํางานแต่เช้าเพื่อทําความสะอาดสํานักงานและเตรียมน้ําร้อนไว้ให้เพื่อนร่วมงาน พวกเขาทุกคนรู้สึกประทับใจและบอกว่าไม่มีใครปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเมตตาและมีน้ำใจเช่นนี้มาก่อน

ตอนนี้ฉันอายุ 59 ปี ฉันยังคงเป็นครูประจําชั้น และอาจเป็นครูที่อาวุโสที่สุดในโรงเรียน ในปี 2020 มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มักก่อปัญหาอยู่เสมอ ทั้งปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้สอน ตีนักเรียนคนอื่นหรือแม้แต่ครู หรือวิ่งไปทั่วห้องเรียน ครูประจำชั้นคนเดิมเป็นบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ ผู้ปกครองคนอื่น ๆ เรียกร้องอย่างแข็งขันให้โรงเรียนหาครูที่มีความสามารถมากกว่านี้มารับหน้าที่แทน แต่ไม่มีใครสมัครใจที่จะรับงานนี้

ในที่สุด ผู้บริหารโรงเรียนก็มาหาฉัน ฉันจําคําสอนของท่านอาจารย์ได้ว่า "หลังจากคนงานเหล่านี้ฝึกหลักธรรมใหญ่ธรรมจักร(ฝ่าหลุนต้าฝ่า)แล้ว มาเช้ากลับค่ำ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง หัวหน้าสั่งงานก็ทำตามเป็นอย่างดีไม่เกี่ยงงาน ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น..." (บทที่ 4 จ้วนฝ่าหลุน) ฉันคิดในใจว่า ฉันเป็นผู้ฝึกต้าฝ่า และฉันควรทําภารกิจที่หัวหน้างานมอบหมายให้สําเร็จ ดังนั้นฉันจึงตกลงที่จะรับผิดชอบห้องนี้ และเป็นครูสอนภาษาจีนให้กับเด็ก ๆ ด้วย

ฉันยังคงฝึกตนเองด้วยหลักการของต้าฝ่าและดูแลนักเรียนด้วยความเมตตา ทั้งผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองต่างชื่นชมการทำงานของฉัน นักเรียนที่มีปัญหาคนนั้นก็ประพฤติตัวดีขึ้นมาก ไม่นานก่อนวันครู แม่ของเขาให้ของขวัญราคาแพงมากแก่ฉันเพื่อแสดงความขอบคุณ ฉันปฏิเสธของขวัญอย่างสุภาพและบอกเธอว่าฉันเพียงแค่ทําในสิ่งที่ฉันควรทําในฐานะครู เธอบอกฉันว่าสิ่งที่ฉันทําทําให้เธอนับถือฉันมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก็พยายามให้ของขวัญหรือแม้แต่เงินแก่ฉันด้วย และฉันก็คืนทุกอย่างให้พวกเขา

ฉันใช้โอกาสนี้บอกผู้ปกครองว่าฉันเป็นผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า และท่านอาจารย์หลี่หงจื้อสอนให้เราเป็นคนจิตใจดี พวกเขาบอกว่ามันยากที่จะหาครูที่ดีอย่างฉันในสังคมปัจจุบัน ฉันตอบว่า "คุณควรขอบคุณอาจารย์หลี่ ฉันสามารถทําทุกอย่างที่ฉันทําได้เพราะคําสอนของท่าน"

เนื่องจากผลการเรียนที่ดีของนักเรียน ค่าตอบแทนครูประจำชั้นของชั้นเรียนนี้จึงเพิ่มขึ้นจาก 300 เป็น 600 หยวน จากนั้นครูคณิตศาสตร์ได้ไปพบอาจารย์ใหญ่และขอเป็นครูประจำชั้นแทน ฉันยกตําแหน่งนี้ให้เขาและยังคงสอนภาษาจีนให้กับนักเรียนต่อไป หลังจากที่ครูคณิตศาสตร์เข้ารับตําแหน่ง เขามีความขัดแย้งกับผู้ปกครองบ่อย ๆ และในที่สุดก็หยุดสอนชั้นเรียนนั้น ผู้บริหารโรงเรียนมาหาฉันอีกครั้งและขอให้ฉันกลับมาเป็นครูประจำชั้น ฉันตกลงที่จะรับงานนี้เป็นระยะเวลา 1 ปี

เมื่อฉันกลับไปที่ห้องเรียนนี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น นักเรียนก็ปรบมือให้ฉันดังกึกก้องและพวกเขาทุกคนก็มากอดฉัน ฉันเห็นว่าพวกเขาดีใจที่ฉันกลับมาที่ห้องเรียนของพวกเขา อาจารย์ใหญ่ก็บอกว่าเขารู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นภาพนั้น

ฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนและผู้ปกครองของพวกเขา ฉันกลายเป็น "คุณยายครูประจำชั้น" คนโปรดของพวกเขา เมื่อครบกำหนด 1 ปี ผู้ปกครองหลายคนส่งข้อความถึงฉันเพื่อแสดงความขอบคุณ พวกเขาขอบคุณฉันสําหรับความอดทนและปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน พวกเขาขอให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขกับชีวิตครอบครัว พวกเขาขอให้ฉันถ่ายรูปกับนักเรียนเพื่อพิมพ์ออกมา ผู้ปกครองอีกคนหนึ่งพูดกับฉันว่า "คุณเป็นครูที่ดีที่สุดที่ฉันเคยพบ ฉันเคารพคุณเหมือนที่เคารพแม่ของฉันเอง เพราะคุณสมควรได้รับมัน !"

ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ผู้ปกครอง 2 คน มาหาฉัน และนำข้าวโพดและมันฝรั่งที่พวกเขาปลูกเองมาให้ฉัน พวกเขาเข้าใจว่าฉันไม่รับของขวัญในฐานะครู แต่พวกเขาต้องการให้ของขวัญด้วยความบริสุทธิ์ใจในฐานะเพื่อนเท่านั้น ฉันรู้สึกประทับใจในความจริงใจของพวกเขา ฉันจึงรับของขวัญของพวกเขา เมื่อเปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง ฉันซื้อกระเป๋าเป้ดี ๆ 2 ใบ ให้นักเรียนสองคนนั้น พ่อแม่ของพวกเขารู้สึกประทับใจมากและพูดกับฉันว่า "เราคงหาครูที่ดีเท่าคุณไม่ได้อีกแล้ว !"

ในขณะเดียวกัน เนื่องจากครูคนอื่น ๆ รู้ว่าการจัดการกับผู้ปกครองและนักเรียนบางคนเป็นเรื่องยาก จึงไม่มีใครอยากเป็นครูประจำชั้นอีกในปีนี้ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนขอให้ฉันเป็นครูประจำชั้นอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 เขายังให้พื้นที่สํานักงานที่ใกล้กับห้องเรียนแก่ฉันและหาผู้ช่วยให้ฉันด้วย ฉันตกลงและขอสอนเพิ่มสองสามชั้นเรียนด้วย แม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะบอกว่าฉันไม่จําเป็นต้องสอนก็ได้ ผู้บริหารโรงเรียนรู้สึกประทับใจมากและพากันชื่นชมฉัน

เมื่อฉันสอนในห้องเรียน ฉันมักจะเน้นย้ำค่านิยมดั้งเดิมและสอนนักเรียนให้เห็นความสําคัญของการมีจิตใจดี ความอดทน และความกตัญญู นักเรียนทุกคนดูเหมือนจะชอบฉัน พวกเขาเรียนรู้ที่จะค้นหาจากภายในเมื่อเกิดความขัดแย้งและไม่โทษคนอื่น พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าการสูญเสียไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

ครูหลายคนแย่งกันสอนพิเศษหลังเลิกเรียน เพราะได้รับค่าตอบแทนสูงกว่า ฉันไม่เคยแย่งสอนพิเศษเลย เพราะฉันมักจะใช้เวลาช่วงนั้นศึกษาฝ่า ครูคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจฉันในตอนแรก แต่พวกเขาค่อย ๆ เข้าใจและชื่นชมฉันแทน

การเปลี่ยนแปลงของจิงอี้

นักเรียนที่มาจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมักจะสอนยากกว่า และฉันใส่ใจเป็นพิเศษที่จะดูแลนักเรียนเหล่านี้ให้มากขึ้น ฉันขอแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มนี้ ดังต่อไปนี้

จิงอี้อายุ 2 ขวบเมื่อพ่อแม่ของเธอหย่าร้างกัน เธอและน้องสาวต่างมารดาของเธอได้รับการเลี้ยงดูจากย่าของเธอ พ่อของเด็กทั้งสองเป็นคนขาดความรับผิดชอบและมีมารยาทที่แย่มาก ถึงขั้นด่าทอแม่ของตัวเอง สภาพแวดล้อมของครอบครัวส่งผลเสียอย่างมากต่อจิงอี้ เธอเริ่มมีแฟนตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และหัดแต่งหน้า เธอย้อมผมเป็นสีแดง สวมแว่นกันแดดในชั้นเรียน และพูดจาหยาบคาย

จิงอี้มักทําโต๊ะของเธอรกหลังอาหารกลางวัน และปฏิเสธที่จะทําความสะอาด ในตอนแรก ฉันทําความสะอาดโต๊ะให้เธอหลังเลิกเรียน เธอทิ้งโน้ตไว้ให้ฉันว่า "ไม่แตะต้องของของฉันจะตายไหม !" ฉันไม่รู้สึกอะไรและยังคงทําความสะอาดโต๊ะให้เธอต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ทิ้งโน้ตไว้ให้ฉันอีกครั้งด้วยข้อความเดิม

วันหนึ่ง เธอเล่นดินน้ํามันขณะเรียน ฉันจึงยึดดินน้ำมันไว้ เธอวิ่งไล่ตามฉันไปที่โถงทางเดิน ชี้ที่จมูกของฉัน และด่าทอฉันด้วยภาษาที่หยาบคายที่สุด ฉันพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมความโกรธและเตือนตัวเองด้วยคําสอนของท่านอาจารย์ว่า "แต่เรากล่าวกันว่าผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม จะต้องทำให้ได้ถึงขั้นที่ว่า ตีก็จะไม่โต้กลับ ด่าก็จะไม่ด่ากลับ..." (บทที่ 4 จ้วนฝ่าหลุน)

หลังจากที่เราทั้งคู่สงบลง ฉันก็คุยกับเธออีกครั้ง ฉันบอกเธอว่าการโกรธไม่ดีต่อสุขภาพของเธอและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเธอด้วย ฉันเชื่อว่าเธอเป็นเด็กดี และเธอไม่ได้ตั้งใจจะด่าว่าฉัน เธอประหลาดใจที่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด เธอเตรียมใจไว้ว่าฉันจะลงโทษเธอเหมือนครูคนอื่น ๆ ฉันเห็นว่าเธอรู้สึกประทับใจ จากนั้นมา ฉันให้ความใส่ใจกับนักเรียนคนนี้มากขึ้น และบางครั้งก็เอาอาหารอร่อย ๆ มาให้เธอ เธอค่อย ๆ เปิดใจให้ฉันและไม่ค่อยพูดคำหยาบอีก ตอนนี้เธอมีความสุขที่จะใช้เวลากับฉันจริง ๆ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ จิงอี้ทิ้งโน้ตไว้บนโต๊ะเรียนของเธอ "คุณครู ครูไม่ต้องทําความสะอาดโต๊ะให้หนูนะ" เธอไม่เพียงแต่เริ่มทําความสะอาดโต๊ะของตัวเองเท่านั้น แต่ยังทําความสะอาดพื้นที่อื่น ๆ ในห้องเรียนด้วย ฉันรู้ว่านี่คือพลังของต้าฝ่าที่ช่วยให้นักเรียนคนนี้เปลี่ยนแปลง ท่านอาจารย์ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อยกระดับซินซิ่งของฉันด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของจิงอี้ ครูคนอื่น ๆ ในโรงเรียนจึงเข้าใจความจริงเกี่ยวกับต้าฝ่าและเข้าใจว่าเราเป็นคนแบบไหนในฐานะผู้ฝึกต้าฝ่า

มีเรื่องราวมากมายที่ยังชัดเจนอยู่ในใจของฉัน แต่ฉันไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด ฉันรู้ซึ้งว่าถ้าต้าฝ่าไม่ได้ชําระล้างจิตวิญญาณของฉัน ฉันก็จะไม่ใช่ฉันในวันนี้ ฉันยังรู้ด้วยว่าฉันยังห่างไกลจากการหลอมรวมกับต้าฝ่าอย่างสมบูรณ์ และฉันยังมีความยึดติดมากมายที่ต้องกำจัดออกไป ฉันมุ่งมั่นที่จะเดินบนเส้นทางนี้ให้ดี ทําภารกิจในการช่วยอาจารย์เจิ้งฝ่าให้ลุล่วง และกลับสู่บ้านบนสวรรค์ของฉันพร้อมท่านอาจารย์

ขอบพระคุณท่านอาจารย์หลี่ที่ช่วยฉัน ! เหอสือ

(บทความนี้ได้รับการคัดเลือกเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันฝ่าหลุนต้าฝ่าโลกปี 2025 ที่ Minghui.org)