(เว็บไซต์ Minghui.org) แม่ของผมและผมฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า (หรือที่รู้จักกันในชื่อฝ่าหลุนกง) มาเกือบ 30 ปีแล้ว เนื่องในโอกาสวันฝ่าหลุนต้าฝ่าโลก เราขอใช้โอกาสนี้แบ่งปันเรื่องราวการบำเพ็ญของเรา

ผมเริ่มฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า

แม่เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่าเมื่อผมอยู่ชั้นมัธยมต้น เธอพาผมไปกลุ่มศึกษาฝ่าและฝึกท่าตอนเช้า รวมถึงกิจกรรมขนาดใหญ่เพื่อแนะนำฝ่าหลุนต้าฝ่า และการประชุมฝ่าที่มีผู้ฝึกเข้าร่วมถึง 1,000 คนด้วย

กลุ่มศึกษาฝ่าของเราประกอบด้วยผู้ฝึกหลายสิบคนก่อนที่จะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย เราผลัดกันอ่านหนังสือจ้วนฝ่าหลุน หลังจากที่เราอ่านจบหนึ่งบทแล้ว เราจะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญของเรา

ผู้ฝึกคนหนึ่งอธิบายว่าเธอผ่านการทดสอบซินซิ่งได้อย่างไร สามีของเธอตบหน้าเธอโดยไม่มีเหตุผล แต่แทนที่เธอจะตอบโต้ด้วยความโกรธหรือต่อสู้กลับ เธอกลับเตือนตัวเองว่าเธอคือผู้ฝึกและระงับอารมณ์ เธอค้นหาจากภายในเพื่อดูว่าได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่

ในตอนนั้น ผมยังใหม่กับการฝึกและไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการบำเพ็ญหมายถึงอะไร ผมประทับใจเรื่องของเธอมาก และแปลกใจที่หลังจากถูกตบ เธอไม่โกรธแค้น แต่กลับมองย้อนดูตนเอง เธอแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด !

ในขณะที่ผมอ่านฝ่าอย่างต่อเนื่อง ได้ฟังการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ฝึก และสังเกตถ้อยคำและการกระทำที่มาจากจิตใจที่ดีของพวกเขา ผมค่อย ๆ เข้าใจว่าคนกลุ่มนี้กำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาประพฤติตนตามหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนเพื่อเป็นคนดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนแรกผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าการบำเพ็ญหมายถึงอะไรและบำเพ็ญอย่างไร เมื่อยังเป็นเด็ก ผมไม่สามารถเข้าถึงหลักการอันล้ำลึกในหนังสือเลย ผมเพียงแค่จำคำว่า “ความจริง-ความเมตตา-ความอดทน” เท่านั้น

ผมจำได้ว่าในภาคการศึกษาแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรามีครูสอนเรขาคณิตคนใหม่ที่ค่อนข้างเข้มงวด วันหนึ่งเธอสั่งให้นักเรียนเงียบและห้ามทุกคนพูดคุยกัน เธอเห็นผมกำลังถกปัญหากับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง เธอลงโทษผมด้วยการให้ยืนหน้าชั้นเรียนตลอดเวลาที่เหลือในคาบเรียนนั้น

มันน่าอับอายอย่างมากสำหรับผม ในฐานะนักเรียนที่ประพฤติตัวดีและไม่เคยถูกลงโทษแบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกผิดมากและร้องไห้เสียใจอย่างหนักหลังเลิกเรียน อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเธอเลย

ผมเตือนตัวเองว่า ผมได้เรียนรู้หลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน และผมควรเป็นคนจิตใจดี ผมรู้ว่าการโกรธเคืองใครก็ตามเป็นสิ่งที่ผิด นั่นคือความเข้าใจเริ่มต้นและเรียบง่ายของผมเกี่ยวกับหลักการเหล่านี้ในตอนนั้น

ตลอดปีการศึกษานั้น ผมไม่ได้มีความคิดด้านลบหรือความรู้สึกขุ่นเคืองต่อครูสอนเรขาคณิตเลย ครูค่อย ๆ ตระหนักว่าผมเป็นนักเรียนที่ดี และเริ่มปฏิบัติต่อผมอย่างเป็นมิตร เรามีความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนที่กลมเกลียว

ครอบครัวของแม่ของผมมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับศาสนาพุทธ เมื่อคุณยายยังเด็ก ผู้สูงวัยในครอบครัวของเธอคนหนึ่งเป็นชาวพุทธ ทั้งคุณยายและแม่ของผมเริ่มเชื่อในศาสนาพุทธ และพวกเขากินมังสวิรัติ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแม่จะนับถือศาสนาพุทธ แต่สุขภาพของเธอก็ยังย่ำแย่ เธอต้องพึ่งยาเป็นประจำเพื่อรักษาโรคไตอักเสบ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s syndrome) และที่วิกฤตที่สุดคือโรคหัวใจขั้นรุนแรง

หลังจากที่แม่ของผมเริ่มฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า สุขภาพของเธอก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอหยุดกินยารักษาโรคหัวใจ และโรคไตของเธอก็หายไป เธอมีความสุขในทุก ๆ วัน

งานของแม่ต้องทำงานเป็นกะหมุนเวียนกัน ในอดีต เธอมักแอบหลบไปนอนบ่อย ๆ ในช่วงกะกลางคืน เธอเคยโต้เถียงกับหัวหน้างานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วย

แต่หลังจากที่เธอเริ่มฝึกต้าฝ่า แม่ของผมก็ตระหนักว่าเธอควรประพฤติตนโดยยึดหลักความจริง-ความเมตตา-ความอดทน และปฏิบัติหน้าที่ในงานของเธออย่างจริงจัง เธอเปลี่ยนเป็นคนที่นึกถึงเพื่อนร่วมงาน และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง แทนที่จะแอบหนีไปนอนช่วงกะกลางคืน เธอกลับทำงานอย่างขยันขันแข็ง

หลายครั้งที่หัวหน้างานมาตรวจงานกะกลางคืน แม่ของผมเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติหน้าที่ ในขณะที่คนอื่น ๆ แอบไปนอนที่ไหนสักแห่ง

แน่วแน่แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากและอันตราย

ขณะที่แม่กับผมกำลังฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าอย่างมีความสุข ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1999 เจียงเจ๋อหมิน ซึ่งเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เริ่มการประทุษร้ายฝ่าหลุนกง ผมรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าถล่มลงมาและน้ำฝนที่เป็นเลือดกระหน่ำลงมาบนตัวเรา สั่นสะเทือนเราถึงแก่น

เนื่องจากผมไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน ความเรียบง่ายและความไร้เดียงสาในวัยเยาว์ของผมทำให้ผมไม่รู้สึกหวาดกลัว ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงห้ามไม่ให้เราฝึกฝ่าหลุนกง ความจริง-ความเมตตา-ความอดทนยอดเยี่ยมมาก และหลักการประพฤติตนที่อาจารย์สอนเรานั้นก็ดีมาก ทำไมผู้คนจะต้องเลิกปฏิบัติ

ทันทีที่การประทุษร้ายเริ่มขึ้น ผู้นำชุมชนและตำรวจมักมา “เยี่ยม” เราที่บ้านบ่อย ๆ พวกเขายึดบัตรประจำตัวของแม่และหนังสือต้าฝ่าของเรา วันหนึ่ง ผู้อำนวยการของคณะกรรมการชุมชน 2 คนมาอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้แม่ของผมเซ็น “เอกสารรับรอง” ที่จะเลิกฝึกฝ่าหลุนกง เนื่องจากแม่ไม่อยู่บ้าน พวกเขาจึงบอกให้ผมเซ็นแทนเธอ

ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปที่จะตระหนักถึงความร้ายแรงของการเลิกบำเพ็ญ และคิดว่าจะเซ็นชื่อเพียงเพื่อให้พวกเขาออกไปเท่านั้น แต่ทันทีที่ผมหยิบปากกาขึ้นมา ผมรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที ผมตระหนักในทันทีว่าผมไม่สามารถเซ็นชื่อได้ ผมจึงฉีกกระดาษแทน ต่อมาผมบังเอิญเจอกับผู้อำนวยการคนหนึ่ง และเขาบอกผมว่า "คุณทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ฉีกกระดาษแผ่นนั้น"

เนื่องจากแม่ของผมปฏิเสธที่จะเลิกฝึก ตำรวจจึงก่อกวนเธออยู่บ่อย ๆ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เธอถูกคุมขังอย่างผิดกฎหมายหลายครั้งและกลายเป็น "คนดัง" ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ วันหนึ่งในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ตำรวจบุกเข้ามาในบ้านของเราขณะที่เรากำลังนอนหลับ และพาแม่ไปยังค่ายกักกัน นี่คือวิธีที่ตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนประทุษร้ายคนที่มีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์

แม่มีชื่อเสียงที่ดีในที่ทำงานเพราะเธอประพฤติตนตามหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน เธออธิบายความจริงเกี่ยวกับฝ่าหลุนกงให้ผู้บริหารของเธอฟัง ซึ่งพวกเขาก็เห็นใจเธอ ทุกครั้งที่เธอถูกลักพาตัวไปและถูกกักขัง ผู้บริหารของเธอก็จะเรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริหารของแม่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้อีกต่อไป และต้องบีบบังคับให้แม่เกษียณอายุก่อนกำหนด ส่งผลให้แม่ต้องสูญเสียสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับงาน และต้องใช้ชีวิตด้วยรายได้ต่อเดือนเพียงไม่กี่ร้อยหยวน (100 หยวน = 14 ดอลลาร์สหรัฐ)

ตอนนั้นพ่อของผมเสียชีวิตแล้ว และผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แม่ของผม ยายที่ตาบอด และผมต้องย้ายไปอยู่ในห้องเช่า และสภาพความเป็นอยู่ของเราก็ลำบากมาก ในที่สุด เนื่องมาจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เราจึงได้รับการจัดสรรอะพาร์ตเมนต์ใหม่ และเราย้ายเข้าไปอยู่ด้วยความดีใจอย่างยิ่ง

ไม่กี่เดือนก่อนที่ผมจะเรียนจบมัธยมปลาย มีการจับกุมผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นจำนวนมากในเมืองของผม ผู้ฝึกหลายพันคนถูกจับกุม และผู้ฝึกจำนวนมากถูกทุบตีอย่างโหดร้ายจนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส ความโหดร้ายที่รุนแรงและรุกลามขนาดนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก

ในคืนที่มีการจับกุมครั้งใหญ่ ตำรวจมาที่บ้านของแม่ เนื่องจากแม่ไม่อยู่บ้าน ตำรวจจึงพาผมไปที่สถานีตำรวจแทนและสอบสวนผม พวกเขาพยายามหาข้อมูลว่าแม่ติดต่อใครบ้าง และแม่ฝึกท่าที่บ้านหรือไม่ ผมตอบว่าผมไม่ทราบ เพราะผมอยู่ที่โรงเรียน

จากนั้นพวกเขาก็กดดันให้ผมเซ็น “เอกสารรับรอง” ว่าจะเลิกฝึกฝ่าหลุนกง แต่ผมปฏิเสธ ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว หลังจากพวกเขาสอบสวนผมอยู่หลายชั่วโมงโดยไม่ได้อะไรจากผมเลย ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยผมกลับไป

คืนนั้นผมหาแม่จนเจอ และเราเริ่มใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนไปเรื่อย ๆ ต่อมาผมทราบว่าตำรวจกลับมาอีกครั้งในคืนถัดมาเพื่อจับกุมผม พวกเขาต้องการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จและส่งรายงาน ผมโชคดีที่ออกไปก่อนแล้ว

เราไม่กล้ากลับบ้านอีกต่อไปและไปอาศัยอยู่กับเพื่อนและญาติ ญาติที่ใจดีคนหนึ่งรับคุณยายของผมไปอยู่ด้วยชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำรวจคุกคามที่โรงเรียน ผมจึงย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมเอกชนและในที่สุดก็จบการศึกษาจากที่นั่น โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแห่งที่ 3 ที่ผมย้ายไปในช่วงปีสุดท้ายของมัธยมปลาย

เนื่องจากถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนประทุษร้ายอย่างโหดร้าย เราจึงไม่สามารถกลับบ้านอยู่หลายปี แม่ของผม ยายของผม และผมใช้ชีวิตอย่างยากจนและย้ายที่อยู่ตลอดเวลา ผมนับจำนวนครั้งที่เราย้ายที่อยู่ไม่ได้แล้ว มากเสียจนคำว่า “บ้าน” ไม่มีความหมายอีกต่อไป ในใจผม บ้านกลายเป็นเพียงที่นอนเท่านั้น และผมรู้สึกเหมือนเป็นคนพเนจร

การประพฤติตนตามหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน

เมื่อผมโตขึ้น ความเข้าใจของผมเกี่ยวกับการบำเพ็ญก็ไม่ตื้นเขินเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมตั้งใจอ่านหนังสือเก้าบทวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์และเข้าใจธาตุแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อรวมกับประสบการณ์จากการถูกประทุษร้ายของผมและคำสอนของท่านอาจารย์ ผมได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและซาบซึ้งกับเหตุผลที่ผมยึดมั่นในศรัทธาแม้จะต้องเผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรง ความจริง-ความเมตตา-ความอดทนเป็นค่านิยมสากล ไม่มีอะไรผิดที่เราจะยกระดับมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเองและดำเนินชีวิตตามหลักการเหล่านี้

สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่คล้ายกับสิ่งที่สานุศิษย์ขององค์ศากยมุนีหรือพระเยซูเคยประสบมาก่อน นั่นคือเส้นทางของการยึดมั่นในศรัทธาที่ถูกต้องเมื่อเผชิญกับการประทุษร้าย ปัจจุบันเราเดินตามท่านอาจารย์บนเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด แม้ว่าเส้นทางนี้จะยากลำบากและเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก แต่เราก็มุ่งมั่นที่จะเพียรพยายามจนถึงที่สุด

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในชีวิตประจำวันและการทำงานของเรา เราเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นผู้ฝึกฝ่าหลุนกง และเราต้องปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์ โดยพยายามประพฤติตนตามหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน 6 ปี เมื่อเริ่มต้นทำงาน ผมมีประสบการณ์การทำงานน้อย และมักขอคำแนะนำจากเจ้านายเมื่อมีปัญหา

วันหนึ่งขณะประชุมกับลูกค้า ผมเจอปัญหาที่ไม่ตรงไปตรงมาซึ่งผมไม่รู้วิธีจัดการ ผมขอคำปรึกษาจากเจ้านายเหมือนที่เคยทำ แต่ที่น่าแปลกใจคือเธอว่ากล่าวผมต่อหน้าลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน แม้แต่ลูกค้าก็ยังรู้สึกแย่กับผม และพูดปลอบเจ้านายว่า “ไม่เป็นไร ให้เขาลองอีกครั้งก็ได้”

เมื่อถูกตำหนิอย่างกะทันหัน ผมงงไปชั่วขณะ แต่ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเสียใจ ต่อมาเจ้านายอธิบายว่าเธอจงใจแสดงอารมณ์เสียเพื่อหาทางออกและเปิดช่องทางในการเจรจา เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผมบอกเธอว่าผมเข้าใจดี

ผมจำได้ว่าท่านอาจารย์พูดว่า

“ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนต้องคิดถึงคนอื่น คำนึงถึงคนอื่น จากนั้นค่อยคิดถึงตนเอง ข้าพเจ้านั้นก็ต้องการให้พวกท่านบำเพ็ญให้สำเร็จสมบูรณ์ กลายเป็นผู้รู้แจ้งที่ถูกต้องในฝ่าที่ถูกต้อง โดยมีความคิด เขาก่อนฉันทีหลัง” (การบรรยายฝ่า ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยออสเตรเลีย)

ผมรู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่เจ้านายจะบริหารบริษัทให้ดำเนินการต่อไปได้ พร้อมทั้งรักษาความสมดุลทุกรูปแบบ ผมจึงควรเข้าใจและเห็นใจเธอ ในฐานะผู้ฝึก ผมควรยึดมาตรฐานของฝ่าและคำนึงถึงผู้อื่น ความคับข้องใจเพียงชั่วขณะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย

ผมเคยถูกตำหนิแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งในบริษัทนี้ และผมรู้ว่าในฐานะผู้ฝึก ผมไม่ควรใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ ที่จริง ผมค่อย ๆ ลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว

ต่อมาผมได้เป็นพนักงานที่มีอาวุโสสูงสุดและตำแหน่งสูงที่สุดในบริษัท แต่เจ้านายให้เงินเดือนผมเท่ากับเพื่อนร่วมงานที่มีตำแหน่งต่ำกว่าและประสบการณ์น้อยกว่า แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ

ในตอนแรก เมื่อเจ้านายรู้ว่าผมเป็นผู้ฝึกต้าฝ่า เธอคิดจะไล่ผมออก แต่สามีของเธอพูดว่า “การฝึกฝ่าหลุนกงผิดตรงไหนหรือ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงจะปล่อยพนักงานที่ดีขนาดนี้ไปละ !”

ผมทำงานที่บริษัทนั้นอย่างขยันขันแข็งเป็นเวลา 6 ปี คอยอยู่เคียงข้างเจ้านายแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมออกจากที่นั่นมา 5 ปีแล้ว แต่เจ้านายยังคงส่งข้อความมาว่า ถ้าผมกลับไป เธอจะให้เงินเดือนผมสูงกว่าเดิม แต่ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ

ผมทำงานที่อีกบริษัทหนึ่งเป็นเวลา 6 เดือน แม้จะไม่นานนัก แต่ผมเข้ากับเจ้านายและภรรยาของเขาได้ดี ตอนเริ่มงาน ผมสอบผ่านระดับกลางและมีประสบการณ์การทำงานมากมาย เจ้านายยอมรับทักษะของผม และลูกค้าก็ตอบรับในเชิงบวก

ในฐานะผู้ฝึกต้าฝ่า ผมจำคำสอนของอาจารย์ไว้ในใจเสมอ และพยายามเป็นคนดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อผมพบกับอุปสรรค ผมจะพยายามคิดในมุมของเจ้านายหรือลูกค้า แทนที่จะคิดแต่การเสียหรือการได้ผลประโยชน์ส่วนตัว

บางครั้งลูกค้าต่อรองให้ลดราคา ผมไม่ทำเหมือนพ่อค้าบางคนที่ลดคุณภาพเพื่อทำกำไร ผมยึดมั่นในหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน แม้ว่าผมได้เงินน้อยกว่า แต่ผมยังปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องและทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ตามมาตรฐานที่สูง

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี บางครั้งผมทุ่มเทความพยายามเป็นพิเศษ ผมไม่เคยลดขั้นตอนการทำงานหรือใช้ทางลัด ทั้งเจ้านายและลูกค้าต่างยอมรับในจรรยาบรรณในการทำงานและความเป็นมืออาชีพของผม

ผมเจอลูกค้าที่เรื่องมาก และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หลังจากพยายามหลายครั้ง ภรรยาของเจ้านายแนะนำให้ผมรู้จักกับพนักงานจากร้านอื่นและแนะนำให้ผมปรึกษาเธอ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี

ต่อมาภรรยาของเจ้านายได้พูดคุยกับผมเพื่อให้แน่ใจว่าผมสบายใจกับการจัดการนี้ ผมบอกเธอว่า ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้เรียนรู้จากคนอื่น เธอตอบอย่างมีความสุขว่า “ฉันชอบคุยกับคุณ—ไม่มีกำแพงกั้น”

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วงตรุษจีน ทำให้เรามีลูกค้าน้อยลงและรายได้ลดลง เจ้าของร้านจึงตัดสินใจให้ทุกคนเริ่มวันหยุดเร็วขึ้น เมื่อเรากลับมาทำงานหลังจากวันหยุด ผมยังได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน

ผมรู้ว่าธุรกิจไม่ค่อยดีในช่วงปลายปี และเจ้านายไม่มีกำไร ผมรู้สึกว่าการได้รับเงินในช่วงวันหยุดยาวนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้นผมจึงคืนเงินเดือนส่วนนั้น ภรรยาของเจ้านายรู้สึกพอใจ เพราะเธอไม่ได้คาดหวังว่าผมจะทำแบบนั้น ผมรู้สึกได้ว่าเธอเห็นคุณค่าอุปนิสัยใจคอของผม ในฐานะผู้ฝึกต้าฝ่า ผมเชื่อว่าเราควรนึกถึงผู้อื่นก่อนเสมอ

เดือนแรกหลังจากเริ่มงาน รองหัวหน้าทั้งสองคนลาออก ผมจึงช่วยเจ้านายรับผิดชอบงานของพวกเขาบางส่วนหลังเลิกงาน เจ้านายชื่นชมผม ต่อมามีการจ้างพนักงานใหม่เข้ามา เมื่อเห็นว่าพวกเขายังขาดประสบการณ์ ผมจึงพยายามฝึกสอนพวกเขาอย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระงานของเจ้านาย

ประมาณหกเดือนต่อมา ผมลาออกเพราะต้องย้ายที่อยู่ เจ้านายพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “คุณยังอยู่กับเราไม่นานเลย” เมื่อภรรยาของเจ้านายมาส่งผม เธอพูดว่า “ฉันหวังว่าคุณจะกลับมา”

ของขวัญจากต้าฝ่า

เมื่อการบำเพ็ญของเรายกระดับขึ้น สภาพแวดล้อมรอบตัวเราก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเงียบ ๆ ประมาณปี 2008 เราย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของญาติเพื่อช่วยดูแลบ้าน หลังจากนั้นกว่า 10 ปี ภายใต้การคุ้มครองด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ เราใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและถูกคุกคามน้อยมาก จนกระทั่งปี 2017 ในที่สุดผมก็สามารถซื้อบ้านได้ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ และญาติ ๆ

ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู และผมมีเงินไม่มากนัก แต่เนื่องจากเจ้าของบ้านกำลังต้องการเงินอย่างเร่งด่วน ผมจึงซื้อบ้านโดยตรงจากเขาในราคาเกือบเท่าราคาเดิม โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้า

แม้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่ใหญ่ แต่แปลนบ้าน ทำเล และราคา ก็ตรงกับที่ผมต้องการทุกอย่าง กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นราวกับว่ามีคนจัดวางไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ พวกเรารู้ว่านี่คือของขวัญจากท่านอาจารย์

การซื้อบ้านทำให้ผมมีหนี้มากกว่า 100,000 หยวน (13,870 ดอลลาร์สหรัฐ) จนถึงปี 2019 ผมยังชำระหนี้ได้ไม่หมด แต่ด้วยความหวังที่จะก้าวหน้าในอาชีพการงาน ผมจึงลาออกเพื่อเตรียมตัวสอบที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการระบาดของโรคระบาดใหญ่ ผมจึงว่างงานเกือบหนึ่งปีครึ่ง จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2021 ผมได้กลับมาทำงานประจำอีกครั้ง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของการระบาดใหญ่ เศรษฐกิจของจีนซบเซา และอุตสาหกรรมมากมายตกต่ำ คนนับไม่ถ้วนดิ้นรนหางานทำ ไม่ต้องพูดถึงการหาเงินเพื่อให้พอกับการชำระหนี้

ทว่า น่าอัศจรรย์ที่ในเวลาเพียง 4 ปี หลังจากที่ผมกลับมาทำงานอีกครั้ง ผมไม่เพียงชำระหนี้ที่เหลือได้ทั้งหมด แต่ยังสามารถสะสมเงินออมได้จำนวนมาก ชีวิตของเราดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เราไม่ได้ตั้งใจประหยัดเงินเป็นพิเศษ ค่าใช้จ่ายประจำวัน กิจกรรมทางสังคม และวิถีชีวิตของเรายังคงเป็นปกติ แต่ยอดเงินในบัญชีธนาคารของเรากลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งแม่และผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าเราจะมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงเช่นนี้ได้

ตอนนี้เรามีสุขภาพดีและมีรายได้ที่มั่นคง ในสายตาของญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง เราเป็นแม่ลูกที่มีความสัมพันธ์ที่โอบอ้อมอารีต่อกันและกลมเกลียว เราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและปราศจากความกังวลในเรื่องวัตถุสิ่งของ

ครั้งหนึ่ง การประทุษร้ายที่โหดร้ายเกือบทำให้เราไม่เหลืออะไรเลย แต่ด้วยการคุ้มครองและการนำทางที่เมตตาของท่านอาจารย์ หลักการของต้าฝ่าค่อย ๆ ขจัดความไม่รู้และความสับสนของเรา

เราบำเพ็ญความเข้มแข็ง ความซื่อสัตย์ และจิตใจที่กว้างขวาง ผ่านความยากลำบากและอุปสรรคทีละก้าว โดยการไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งล่อใจในด้านผลประโยชน์และความปรารถนา เราจึงเข้าใจสภาพจิตใจและปัญญาของผู้บำเพ็ญที่แท้จริง และเข้าใจว่าการหลุดพ้นที่แท้จริงในชีวิตหมายถึงอะไร เมื่อมองย้อนกลับไปในการเดินทางของเรา เราตระหนักว่าไม่ได้สูญเสียอะไรเลย ตรงกันข้าม เราได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก

ในตอนเริ่มต้น เจียงเจ๋อหมินประกาศอย่างหยิ่งยโสว่า “จะกำจัดฝ่าหลุนกงให้หมดไปภายในสามเดือน !” เขายังส่งเสริมนโยบาย “ทำลายชื่อเสียงของพวกเขา ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว และทำลายร่างกายของพวกเขา” เพื่อประทุษร้ายผู้ฝึก

อย่างไรก็ตาม หลังจาก 26 ปีของการปราบปรามอย่างไม่ลดละ เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่มีทางถูกบดขยี้ ความชั่วร้ายไม่มีทางเอาชนะความถูกต้องได้ การประทุษร้ายที่โหดร้ายนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มันไม่ยุติธรรมอย่างที่สุดและต้องยุติลงทันที

บทสรุป :

ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่านอาจารย์อย่างหาที่สุดมิได้ ที่ช่วยให้เราเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิตและวิธีที่เราควรดำเนินชีวิต หลักการของฝ่าหลุนต้าฝ่าทำให้เราเปลี่ยนจากคนเห็นแก่ตัวเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อน และการเปลี่ยนแปลงภายในนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับความงดงามและความปีติของสภาวะของชีวิตที่ยกระดับสูงขึ้นแล้ว

ผมหวังว่าผู้ที่มีบุญสัมพันธ์อีกมากจะได้รับการนำทางและการช่วยเหลือจากพุทธธรรม เช่นเดียวกับพวกเรา และพบหนทางกลับสู่ตัวตนที่แท้จริงท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวายนี้

(บทความนี้ได้รับการคัดเลือกเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันฝ่าหลุนต้าฝ่าโลกปี 2025 ที่ Minghui.org)