(Minghui.org) (หมายเหตุจากบรรณาธิการ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2020)
ในประเทศจีน ผู้คนเคยเชื่อในความกลมกลืนระหว่างฟ้า ดิน และมนุษย์ พวกเขาให้คุณค่ากับคุณธรรม และมุ่งเน้นที่การรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นสู่อํานาจเมื่อหลายสิบปีก่อน พรรคได้แทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมด้วยความรุนแรง ความเกลียดชัง และการหลอกลวง
เมื่อจีนเปิดประตูในช่วงทศวรรษ 1970 ประเทศตะวันตกมองว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยนําประชาธิปไตยมาสู่จีน พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยการเป็นพันธมิตรกับจีน ความคิดเรื่องประชาธิปไตยในประเทศจีนกลายเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ประเทศตะวันตกไม่เคยหยุดค้าขายกับจีน ซึ่งทําให้จีนเติบโตเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และกลายเป็นมหาอำนาจที่มีอิทธิพลระดับโลกทั้งในด้านการเงินและการเมือง
ในขณะที่ไวรัสโคโรนาระบาดไปทั่วโลก คนจำนวนมากเริ่มเห็นว่าการปกปิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปลี่ยนการแพร่ระบาดให้กลายเป็นโรคระบาดทั่วโลกได้อย่างไร และการเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเปรียบเหมือนการเปิดกล่องแพนโดราอย่างไร
“กล่องแพนโดรา” มาจากเทพนิยายกรีกโบราณ ใช้เป็นคำอุปมาแทนของขวัญที่จะนำความโชคร้ายมาให้ แพนโดราคือสตรีคนแรกที่เทพซุสแห่งกรีกสร้างขึ้นจากดิน คล้ายกับเอวาในบทปฐมกาลของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม เทพซุสมอบกล่องที่ปิดผนึกไว้ให้แพนโดรา ซึ่งภายในบรรจุความหายนะ ภัยพิบัติ และโรคระบาดต่าง ๆ เพื่อให้เธอนำไปมอบให้กับชายที่จะแต่งงานกับเธอ เรื่องนี้อาจเป็นบททดสอบด้านจิตใจของมนุษย์ หรืออาจมีความหมายที่ลึกซึ้งอื่น เพราะในระดับของมนุษย์ ไม่สามารถจินตนาการถึงการจัดวางของเทพได้
พรรคคอมมิวนิสต์จีนคือมะเร็ง
วิทยาศาสตร์การแพทย์อธิบายว่ามะเร็งเป็นโรคที่ลุกลามซึ่งอาจเริ่มต้นจากเนื้องอกเฉพาะที่ชนิดไม่ร้ายแรงกลายเป็น "มะเร็งระยะเริ่มต้น" ที่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง และในที่สุดก็แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย การตรวจสอบประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนชี้ให้เห็นว่า ตลอดหลายปีหลังจากที่พรรคหยั่งรากลึกและเติบโตในประเทศจีน ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก
พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดยยึดแบบอย่างจากอดีตสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตดําเนินการกวาดล้างครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1930 (ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณหนึ่งล้านคน) โดยที่โลกภายนอกไม่รู้ในขณะนั้น สมาชิกผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ปล้นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งในชนบทและทําลายเมืองในปฏิบัติการที่พวกเขาเรียกว่า "การปฏิวัติ" แม้ว่าการกระทำนี้จะขัดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่ผลประโยชน์ระยะสั้นและความโลภในอํานาจก็ยังดึงดูดพลเมืองจีนจํานวนมากให้เข้าร่วมด้วย มะเร็งร้ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีสารพันธุกรรมของการต่อสู้ทางชนชั้นและความเกลียดชัง ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในประเทศจีนและเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ มา
ในช่วงการปฏิรูปที่ดินในทศวรรษ 1950 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาเป็นของรัฐ และตราหน้าเจ้าของที่ดินว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในการรณรงค์ “สามต่อต้าน (Three-Anti)” และ “ห้าต่อต้าน (Five-Anti)” พรรคได้ยึดเงินทุนและทรัพย์สินในเมือง โดยตราหน้าเจ้าของธุรกิจว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา พรรคประสบความสําเร็จในการบีบบังคับให้ปัญญาชนละทิ้งค่านิยมและความซื่อสัตย์สุจริตของตน และยอมจํานนต่อพรรคโดยไม่มีเงื่อนไข
พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงโกหกอย่างต่อเนื่องในปี 1959 ในช่วงการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เมื่อพรรคโอ้อวดว่า ผลผลิตพืชผลสูงกว่าปกติถึง 150 เท่า ด้วยตัวเลขที่สูงเกินจริงนี้ เกษตรกรจึงถูกบังคับให้ส่งมอบผลผลิตของพวกเขาให้กับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ส่งออกพืชผลส่วนใหญ่ และเหลือเพียงเล็กน้อยสําหรับการบริโภคภายในประเทศ ความอดอยากที่เกิดขึ้นทําให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 45 ล้านคนภายใน 3 ปีเท่านั้น ในระหว่างปี 1959 ถึง 1961
เท่านั้นยังไม่พอ เหมาเจ๋อตง ผู้นําคอมมิวนิสต์ได้เริ่มการรณรงค์อีกระลอกหนึ่งในช่วงกลางทศวรรษ 1960 เพื่อโจมตีวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม การรณรงค์นี้รู้จักกันในชื่อ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ภายในไม่กี่ปี มันเกือบจะกวาดล้างองค์ประกอบทางจิตวิญญาณที่เคยสร้างแรงบันดาลใจให้กับอารยธรรมจีนมานานหลายพันปี ตั้งแต่วรรณกรรมและศิลปะไปจนถึงการศึกษาและชีวิตประจําวัน
โศกนาฏกรรมเหล่านี้เป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความโลภในอํานาจและความมั่งคั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ประชาชนจีนคาดหวังไว้ ที่ดินของประเทศ ทุนทรัพย์ และทรัพย์สินส่วนใหญ่ ถูกโอนให้เป็นของชาติและตกอยู่ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค
ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเติมเต็มกระเป๋าของตัวเองด้วยการปล้นจาก "คนมี" พรรคกลับห้าม "คนไม่มี" ให้ใช้กลยุทธ์เดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและท้าทายความชอบธรรมของพรรค ความขัดแย้งนี้แสดงให้เห็นว่าทฤษฎีคอมมิวนิสต์มีข้อบกพร่องโดยพื้นฐาน
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นําพาประชาชนไปสู่ความหิวโหย (เช่น ทุพภิกขภัยในปี 1959-1961) โรคภัยไข้เจ็บ (เช่น การจัดการโรคซาร์สและไวรัสโคโรนาที่ผิดพลาด) การสูญเสียทรัพย์สิน การสูญเสียวัฒนธรรม และความตาย
การแพร่กระจายไปยังประเทศตะวันตก
คาร์ล มาร์กซ์เขียนไว้ในปี 1848 ว่า "มีวิธีเดียวเท่านั้นที่ความเจ็บปวดจากความตายที่โหดร้ายของสังคมเก่าและความเจ็บปวดจากการกำเนิดที่นองเลือดของสังคมใหม่ จะสามารถทำให้สั้นลง เรียบง่ายขึ้น และเข้มข้นขึ้นได้ วิธีนั้นคือการก่อวินาศกรรมโดยการปฏิวัติ"
สูตรของลัทธิคอมมิวนิสต์อาจมีอันตรายร้ายแรงเกินกว่าที่มาร์กซ์ตระหนัก Antonov Ovesyenko (บิดาของเขาเป็นผู้นําการบุกโจมตีพระราชวังฤดูหนาวของ Bolshevik ในปี 1917) กล่าวว่าจํานวนผู้เสียชีวิตจากการที่คอมมิวนิสต์พิชิตรัสเซียอยู่ที่ 100 ล้านคน ขณะที่เขมรแดงสังหารประชาชน 2-3 ล้านคนจากจำนวนประชากรกัมพูชา 7 ล้านคน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติของประชาชนมากกว่า 80 ล้านคน การสังหารเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากองค์กรของคอมมิวนิสต์อยู่รอดและเติบโตด้วยความรุนแรงเนื่องจากพวกเขาใช้วิธีทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความหวาดกลัวเพื่อรักษาอํานาจของตนเอง
รหัสพันธุกรรมของลัทธิคอมมิวนิสต์นี้ทําให้มันเพิ่มจำนวนได้ ตามคำกล่าวของมาร์กซ์ มันคือ "การปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพ และด้วยเหตุนี้จึงปลดปล่อยสังคมทั้งหมด" ซึ่งในยุคปัจจุบันแปลว่า "ความร่วมมือพหุภาคี" สําหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะผู้นําพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบันเรียกมันว่า "ชุมชนแห่งโชคชะตาของมนุษย์" ในพยาธิวิทยามะเร็ง "การเพิ่มจำนวน" คือการแพร่กระจาย
อย่างไรก็ตาม ประเทศตะวันตกถูกแรงจูงใจจากความหวังที่จะเห็นประเทศจีนดีขึ้นพร้อมกับแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ประเทศตะวันตกจึงเพิกเฉยต่อโศกนาฏกรรมที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ก่อขึ้นมา และตัดสินใจร่วมมือกับจีน
ดังที่อธิบายไว้ในบทความก่อนหน้านี้ที่เผยแพร่บน Minghui.org แม้กระทั่งก่อนที่การปฏิวัติวัฒนธรรมจะสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในขณะนั้น ริชาร์ด นิกสัน ได้เบนหลักการของเขาและเดินทางเยือนประเทศจีนในปี 1972 ตามด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเต็มรูปแบบกับจีนในเดือนมกราคม 1979 ด้วยการให้สถานะ “ชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored-Nation, MFN) ตลอดจนข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ลงนามในปี 1979 ส่งผลให้เกิดโครงการวิจัยร่วมและโครงการความร่วมมือหลายร้อยโครงการระหว่างประเทศทั้งสอง
แม้ว่าสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ จะเสนอร่างกฎหมายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 เพื่อเชื่อมโยงเงื่อนไขด้านสิทธิมนุษยชนของจีนเข้ากับสถานะ MFN แต่ก็แทบไม่มีการบังคับใช้จริง และสถานะ MFN ของจีนมักถูกต่ออายุโดยไม่มีเงื่อนไขภายใต้แรงกดดันจากภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ของจีนในปี 2001 ทําให้จีนสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้แทบไร้ขีดจำกัด เพื่อส่งต่อ “ยีนคอมมิวนิสต์” ไปทั่วโลก
การแทรกซึมและความเสียหาย
พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้แทรกซึมไปทั่วโลกอย่างลึกซึ้งและครอบคลุม
ตามข้อมูลของ Trading Economics การนําเข้าของสหรัฐฯ มาจากจีน 19% ซึ่งมากกว่าจากประเทศอื่น ๆ โดยมีมูลค่า 472 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 ในทํานองเดียวกัน การวิจัยที่ Michigan State University แสดงให้เห็นว่ารัฐนิวยอร์กนําเข้าจากจีน 23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 ซึ่งสูงกว่าการนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ ในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าน้อยกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์
ความไม่สมดุลทางการค้าที่รุนแรงนี้ได้กระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและส่งผลเสียต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานจำนวนมากในสหรัฐฯ ที่สําคัญกว่านั้น มันทําให้จีนมีอํานาจต่อรองมหาศาลในการกดดันธุรกิจของสหรัฐฯ โดยมีอิทธิพลต่อนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ Alan Greenspan เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในปี 1994 เขาบอกกับผู้นําจีนว่า "เรายินดีให้ความช่วยเหลือแก่ธนาคารกลางของคุณเท่าที่จะทําได้ในด้านเทคนิคที่เรามีประสบการณ์มาหลายปี"
ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา กลุ่มการเงินในวอลล์สตรีทได้ส่งเสริมให้ชาวอเมริกันลงทุนในธุรกิจของจีน ในขณะที่บริษัทการเงินขนาดใหญ่ก็รับประกันการทําธุรกรรมให้กับบริษัทจีนที่ทำการค้าขายกับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ Bloomberg ยังตัดสินใจเพิ่มพันธบัตรจีนที่ซื้อขายกันภายในประเทศจีน 364 รายการ เข้าไปในดัชนี Barclays Global Aggregate ภายในระยะเวลา 20 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2019 นักวิเคราะห์ประมาณการว่าการเพิ่มพันธบัตรทั้งหมดนี้จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศประมาณ 150 พันล้านดอลลาร์ เข้าสู่ตลาดพันธบัตรของจีนที่มีมูลค่าประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์ ต่อมา MSCI ACWI ex-U.S. ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นหลายรายการที่พัฒนาโดย MSCI (Morgan Stanley Capital International) Inc. ได้ประกาศในเดือนพฤศจิกายน 2019 ว่าจะเพิ่มสัดส่วนของหุ้น China A ในดัชนี MSCI บางรายการให้สูงถึง 20% ในทํานองเดียวกัน FTSE Russell ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำดัชนีที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ได้ประกาศเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2020 ว่าจะเพิ่มสัดส่วนของหุ้นจีนในดัชนีหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ MSCI
การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติของสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับครัวเรือนชาวอเมริกันทั่วไปด้วย จากบทความใน Foreign Policy เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2020 ระบุว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันเป็นเจ้าของหุ้น โดยส่วนใหญ่พึ่งพากองทุนบําเหน็จบํานาญ กองทุนรวม และบัญชีเพื่อการเกษียณ ที่มีมืออาชีพบริหารจัดการให้ บทความบน foreignpolicy.com เรื่อง Americans Are Investing More in China—and They Don’t Even Know It.” เขียนว่า "ดัชนีพันธบัตรทั่วโลกที่เริ่มเพิ่มพันธบัตรรัฐบาลจีนเข้าไปในเกณฑ์มาตรฐานของตน... การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการจัดสรรกองทุนเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอของสหรัฐฯ ในบริษัทจีนและหลักทรัพย์ของรัฐบาลจีนได้โดยอัตโนมัติจนมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2021 โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความยินยอมหรือการรับรู้เลย"
การแทรกซึมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ ได้ดำเนินในระดับลึกในด้านการโฆษณาชวนเชื่อ (เช่น สื่อข่าวของปักกิ่งในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ซอฟต์เพาว์เออร์") การศึกษา (เช่น สถาบันขงจื๊อ) ชุมชน และองค์กรต่าง ๆ (เช่น สหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก โดยองค์การอนามัยโลกถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา) สําหรับรายละเอียด โปรดดูบทความรีวิวล่าสุดที่ Minghui
ประเทศในยุโรปก็มีบทบาทสําคัญในการช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนขยายอํานาจโดยไม่สนใจประวัติด้านสิทธิมนุษยชนที่ย่ําแย่ของจีน ตัวอย่างเช่น สเปนเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 และต่อมาได้ช่วยยกเลิกการคว่ําบาตรอาวุธของสหภาพยุโรปต่อจีน สเปนเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank) และได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งเป็นความพยายามของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการขยายอิทธิพลไปทั่วโลก นอกจากนี้ Telefónica ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโทรศัพท์และเครือข่ายมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ลงทุนอย่างมากในอุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ย ในขณะที่ความช่วยเหลือของสเปนทําให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถขยาย BRI ไปยังละตินอเมริกาได้
จนถึงขณะนี้ อิตาลีเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม G7 ที่ลงนามเข้าร่วมในโครงการ BRI ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยไม่สนใจความคิดเห็นจากประเทศพันธมิตรตะวันตก The New York Times รายงานเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2019 ว่า "ในทางปฏิบัติ ชาวจีนได้ซื้อท่าเรือ Piraeus นอกกรุงเอเธนส์ไปแล้ว" ข้อตกลงใหม่กับจีน "จะช่วยให้จีนสามารถเข้าถึงท่าเรือที่สําคัญของอิตาลี เช่น Genoa และอีกแห่งใน Trieste ซึ่งมีเส้นทางรถไฟเชื่อมตรงไปยังใจกลางของยุโรปกลาง" (อัปเดต : อิตาลีประกาศในเดือนธันวาคม 2023 ว่าจะถอนตัวจาก BRI)
เมื่อ Boris Johnson ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรในเดือนกรกฎาคม 2019 เขากล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะ "สนับสนุนจีน" อย่างมาก นอกเหนือจากการสนับสนุน BRI ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว เขายังอ้างว่าสหราชอาณาจักรจะเป็น "เศรษฐกิจที่เปิดกว้างที่สุดในยุโรป" ให้กับการลงทุนของจีน "อย่าลืมว่า [เราคือ] จุดหมายปลายทางสำหรับการลงทุนระหว่างประเทศที่เปิดกว้างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง [สําหรับ] การลงทุนของจีน เรามีบริษัทจีนเข้ามาลงทุนในโครงการ Hinkley เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่" เขาพูดเสริม นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังเป็นประเทศตะวันตกประเทศแรกที่เข้าร่วมธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank, AIIB) ที่นําโดยจีน (อัปเดต : ปัจจุบันสหราชอาณาจักรได้เปลี่ยนท่าทีไปในทิศทางที่ห่างเหินจาก BRI มากขึ้น)
ในขณะที่ไวรัสโคโรนาแพร่กระจายจากจีนไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก ภูมิภาคที่กล่าวมาข้างต้นได้รับผลกระทบหนักที่สุดแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากจีนทางภูมิศาสตร์ก็ตาม เพื่อกําหนดหนทางที่ปลอดภัยในการก้าวไปข้างหน้า อาจถึงเวลาที่จะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนใหม่
การหาทางออก
ในทศวรรษ 1970 หรือ 1980 ดูจะมีความหวังสำหรับการเปิดกว้างและประชาธิปไตยในจีน แต่แรงจูงใจในปัจจุบันสําหรับประเทศตะวันตกส่วนใหญ่กลับขับเคลื่อนด้วยผลกําไรเป็นหลัก โดยมองข้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน
ในรายงานสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปี 2019 พบว่าประเทศจีนยังคงรณรงค์เพื่อกักขังชนกลุ่มน้อยจํานวนมากอย่างต่อเนื่อง "ประเด็นที่สำคัญด้านสิทธิมนุษยชน ได้แก่ การสังหารโดยพลการหรือผิดกฎหมายโดยรัฐบาล; การบังคับให้บุคคลสูญหายโดยรัฐบาล; การทรมานโดยรัฐบาล; การกักขังโดยพลการโดยรัฐบาล; สภาพเรือนจําและสถานกักขังที่โหดร้ายและเป็นอันตรายต่อชีวิต; นักโทษทางการเมือง; การแทรกแซงความเป็นส่วนตัวโดยพลการ; ปัญหาสําคัญเกี่ยวกับความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ; การทำร้ายร่างกายและการดําเนินคดีทางอาญาต่อนักข่าว ทนายความ นักเขียน บล็อกเกอร์ ผู้เห็นต่าง ผู้ยื่นคำร้อง และบุคคลอื่น รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา; การเซนเซอร์และการปิดกั้นเว็บไซต์; การแทรกแซงสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบและเสรีภาพในการสมาคม รวมถึงกฎหมายที่เข้มงวดเกินไปซึ่งบังคับใช้กับต่างประเทศและในประเทศ..."
รายงานนี้ได้กล่าวถึงการประทุษร้ายฝ่าหลุนกง ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติในการทําสมาธิบนพื้นฐานของหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทน แม้ผู้ฝึกจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังปราบปรามกลุ่มนี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1999 ผู้ฝึกจํานวนมากถูกควบคุมตัว ถูกจำคุก และถูกทรมาน บางคนตกเป็นเหยื่อของการเก็บอวัยวะโดยปราศจากการยินยอม
แม้จะมีการปราบปรามเสรีภาพในการพูดและความเชื่อในประเทศจีน รวมถึงการเซนเซอร์ที่มีอยู่ทุกแห่ง แต่ฝ่าหลุนกงก็เป็นหนึ่งในไม่กี่กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเสรีภาพในการเชื่ออย่างเปิดเผย
เราอาจต้องดูแบบอย่างจากผู้ฝึกฝ่าหลุนกง และยืนหยัดต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การออกห่างทางสังคมและเศรษฐกิจจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจนําไปสู่เส้นทางที่จะพาเราออกจากฝันร้ายของกล่องแพนโดรา
ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์
โลกต้องการความจริง-ความเมตตา-ความอดทน การบริจาคของคุณสามารถช่วยให้ผู้คนเรียนรู้เกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่าได้มากขึ้น หมิงฮุ่ยขอขอบคุณสําหรับการสนับสนุนของคุณ
สนับสนุน Minghui
หมวดหมู่: อภิปรายข่าว