(Minghui.org) ฉันฝึกต้าฝ่ามา 29 ปีแล้ว ผู้ฝึกหลายคนที่ฉันรู้จักตอนนี้เป็นผู้สูงอายุ ส่วนฉันยังถือว่าเป็นผู้ฝึกอายุน้อย ฉันสังเกตผู้ฝึกที่ผ่านการประทุษร้ายในรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนําไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ในการช่วยเหลือผู้คนในพื้นที่ของเรา ฉันขอบอกเหตุผลบางอย่างที่ฉันคิดว่าผู้ฝึกที่ฉันรู้จักถูกประทุษร้าย เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้เดินบนเส้นทางการบำเพ็ญของเราได้ดีขึ้น
ไม่รู้วิธีใช้เครื่องมือวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบให้เราคือการค้นหาจากภายใน
มีเหตุผลหลายอย่างที่ทําให้ผู้ฝึกถูกประทุษร้าย ก่อนอื่นฉันขอพูดเรื่องนี้จากมุมมองของการค้นหาจากภายใน ประสบการณ์ส่วนตัวของฉัน และสถานการณ์ของผู้ฝึกในพื้นที่ของฉันที่ถูกประทุษร้าย
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการเห็นผู้ฝึกที่ฉันรู้จักเสียชีวิต บางคนรู้สึกว่าการอธิบายความจริงเทียบเท่ากับการบำเพ็ญ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาทําสามสิ่งได้ดี แต่พวกเขาไม่สามารถปล่อยวางความคิดบางอย่างได้ และในที่สุดก็สูญเสียร่างกายไปเพราะอิทธิพลเก่าใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของพวกเขา (จิตยึดติดเหล่านี้รวมถึงตัณหา ความโกรธเคือง การใช้ทรัพยากรของต้าฝ่าเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ฯลฯ) ผู้ฝึกบางคนถูกจำคุกซ้ําแล้วซ้ําเล่าและต้องเผชิญกับโรคที่มาจากกรรม
ผู้ฝึกเหล่านี้หลายคนเป็นผู้ฝึกที่ฝึกมานานซึ่งผ่านสุขและทุกข์มามากมาย และความเชื่อมั่นในต้าฝ่าและการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาก็เห็นได้ชัดเจน ฉันสังเกตว่าเกือบทุกคนมีปัญหาคล้ายกัน คือเมื่อพบกับความขัดแย้งหรือความยากลําบาก พวกเขาไม่รู้วิธีค้นหาจากภายใน พวกเขาหยุดอยู่แค่เกณฑ์ของบุคคลที่มีมาตรฐานสูงคือ "ฉันต้องอดทนมากขึ้นและยึดมั่นในมาตรฐานที่สูงขึ้น"
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกคนหนึ่งอาจคิดว่า ฉันไม่ได้ทําให้เขาโกรธ ทําไมจู่ ๆ เขาถึงด่าว่าฉัน เขาเข้าใจเจตนาของฉันผิด ฉันเป็นผู้ฝึก ฉันไม่ควรเป็นเหมือนเขา บางทีเขาอาจจะยุ่งและไม่มีเวลาอ่านฝ่าบ่อย ๆ ดังนั้นฉันควรให้อภัยเขาและเห็นใจเข า ผู้ฝึกคนนี้คิดว่าเธอผ่านบททดสอบนี้และยกระดับในการบำเพ็ญแล้ว เธอดูเหมือนมีเมตตา แต่เธอได้ยกระดับในการบำเพ็ญจริงหรือไม่ พูดอย่างเคร่งครัด “ไม่ได้” เธอหยุดอยู่ที่มาตรฐานของคนธรรมดาและไม่ค้นหาจากภายในตามที่ท่านอาจารย์บอกเรา
เราบำเพ็ญมาหลายปีเหลือเกินแล้ว และเราไม่ได้ต้องการเป็นแค่ “คนดี” ในหมู่มนุษย์เท่านั้น ใช่ไหม แล้วอะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ค้นหาจากภายใน ฉันคิดว่าทัศนคติและจิตยึดติดที่เราควรกําจัดเมื่อพบกับความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ปิดกั้นเรา และกีดขวางไม่ให้เราตรวจสอบตัวเองว่า ต้องมีบางสิ่งที่ฉันทําไม่ถูกต้องที่ทําให้เขาไม่สบายใจหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าวิธีที่ฉันจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ยังไม่เมตตา หรือความคิดของฉันไม่สอดคล้องกับฝ่าหรือเปล่า ท่านอาจารย์กําลังใช้ประโยชน์จากบุคคลนั้นเพื่อช่วยฉันค้นหาจุดที่ฉันยังบกพร่องอยู่
ถ้าคุณยังค้นหาปัญหาของตัวเองไม่เจอ ให้คิดอีกครั้ง บางทีเราอาจมีมโนคติจากอดีตชาติที่เราไม่รู้ตัว ฉันควรมองที่ตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไขตามที่ท่านอาจารย์บอกให้เราทํา ในฐานะผู้ฝึก ไม่มีอะไรที่เราประสบเป็นเรื่องบังเอิญ ถ้าใครไม่สามารถค้นหาปัญหาได้จริง ๆ เราก็ควรคิดว่า โอ้ นี่คือกรรมของฉัน เราต้องค้นหาจากภายในในความยากลําบากนั้น ต้องมีบางสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เราจะสามารถหลอมรวมเข้ากับฝ่า
ถ้าเรายังหาข้อผิดพลาดไม่พบ และเราอยากรู้คําตอบจริง ๆ เราควรทําอย่างไร เราต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า ฉันอยากรู้ว่าปัญหาของฉันคืออะไร ฉันต้องการยกระดับในการบำเพ็ญ ! ท่านอาจารย์จะเห็นความปรารถนาของเราที่ต้องการก้าวหน้าและช่วยเหลือเรา ฝ่าไร้ขอบเขต และท่านอาจารย์มีวิธีช่วยให้เราเข้าใจ แต่เงื่อนไขเบื้องต้นคือเราต้องการยกระดับ ! นี่เป็นขั้นตอนที่สําคัญมาก
อาจารย์กล่าวว่า
"พระพุทธนั้นดูคนว่ามีความจริงใจหรือไม่ในขณะตั้งปณิธาน ขณะเดียวกันก็ดูว่าท่านบำเพ็ญจริงหรือไม่" (การบรรยายฝ่า ณ เมืองฮิวส์ตัน)
เพราะมีหลักการในจักรวาล สิ่งที่คุณเลือกจึงจะสำคัญ คุณต้องการยกระดับ ท่านอาจารย์ก็จะช่วยคุณ ถ้าคุณไม่ต้องการยกระดับ ท่านอาจารย์ก็ทําอะไรไม่ได้
พฤติกรรมของการไม่ค้นหาจากภายในและขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะค้นหาปัญหาของตนเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ฝึกสูงอายุ บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติของเราก่อตัวขึ้นในหมู่คนธรรมดามานานเกินไปและจิตยึดติดนั้นลึกเกินไป หรือเป็นเพราะเราล้มเหลวในการค้นหาจากภายในทุกครั้งที่เราพบกับการทดสอบ และปกป้องทัศนคตินี้ที่ควรจะถูกกําจัดออกไป ด้วยเหตุนี้ ทัศนคติจึงดื้อรั้นมาก ในท้ายที่สุด ทัศนคติเหล่านี้จะหันกลับมาและควบคุมจิตหลัก เมื่อบุคคลนี้พยายามค้นหาจากภายใน ทัศนคติเหล่านี้ก็จะขัดขวางเขา
มันทําให้คุณมองหาสาเหตุจากภายนอก และติดกับอยู่ในความถูก-ผิดที่เห็นในระดับของมนุษย์ และมันก็คอยบอกคุณอยู่เรื่อย ๆ ว่าคุณถูกต้อง มันทําให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามความตั้งใจในใจของคุณ มันจะทําให้คุณได้ยินสิ่งที่ผิดหรือเห็นการหลอกลวงเพื่อตอกย้ําทัศนคติที่ว่าคุณถูกต้อง มันทําให้เหตุผลที่หนักแน่นทุกประเภทปรากฏขึ้นในใจของคุณหรือใช้ "นี่คือการรบกวนจากอิทธิพลเก่า" เพื่อหยุดคุณจากการค้นหาจากภายใน มันทำให้ใจของคุณจมอยู่กับความยึดมั่นในตนเองอย่างแน่นหนา คุณลงเอยด้วยความรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ยุติธรรมอย่างมากและไม่มีใครเชื่อใจได้ ดังนั้นคุณจึงแยกตัวเองออกมา
เป็นเรื่องง่ายสําหรับผู้ฝึกที่ไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับฝ่าจะใช้การรบกวนของอิทธิพลเก่าเป็นข้ออ้าง ท่านอาจารย์กล่าวว่าท่านไม่ได้จัดวางความทุกข์ยากส่วนบุคคลใด ๆ หลังจากวันที่ 20 กรกฎาคม ดังนั้นหากมีการรบกวนก็ต้องเป็นอิทธิพลเก่า
ท่านอาจารย์กล่าวว่า
“ท่านไม่สามารถจะคิดแต่ว่า เมื่อถูกใครรบกวนฉันก็จะสลายมันทิ้งไป จะให้ใครรบกวนไม่ได้ (ที่ประชุมหัวเราะ) เหตุใดพวกท่านไม่ลองคิดดูว่า เหตุใดจึงรบกวนท่าน เหตุใดจึงสามารถจะรบกวนท่านได้ ตัวเองมีสิ่งยึดติด ใช่หรือไม่ มีสิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้ เหตุใดจึงไม่มองดูตัวเอง มูลเหตุแท้จริงอยู่ที่ตัวเองตรงนี้ มันจึงสามารถเจาะช่องว่าง ! ท่านมิใช่มีอาจารย์คอยดูแลอยู่หรอกหรือ” ("บรรยายธรรมฝ่าฮุ่ยมหานครนิวยอร์ก ค.ศ. 2003" รวมการบรรยายธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ 3)
"ขอบอกทุกท่าน ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งอะไร ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรปรากฏ นั่นย่อมเกิดจากพวกเราตัวเองมีช่องโหว่ นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน ถ้าไม่มีช่องโหว่ ใครก็ไม่สามารถจะเจาะช่องโหว่ได้" ("บรรยายธรรมฝ่าฮุ่ยมหานครนิวยอร์ก ค.ศ. 2003" รวมการบรรยายธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ 3)
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มีบางสิ่งที่เราต้องใส่ใจ คือผู้ฝึกมักเข้าใจคําสอนของท่านอาจารย์แบบสุดโต่ง นี่เป็นเพราะเรากําลังใช้ทัศนคติของมนุษย์ในการศึกษาฝ่า เรายอมรับเฉพาะส่วนที่สอดคล้องกับความคิดของเรา และปฏิเสธสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดของเรา ดังนั้นเราจึงไม่เห็นความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังหลักการของฝ่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเข้าใจฝ่าได้ไม่ชัดเจน วิธีที่ดีที่สุดคือการถ่อมตน เราควรเปิดใจรับฟังความเข้าใจในฝ่าของผู้ฝึกอื่น นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยทะลวงทัศนคติ และทําความเข้าใจฝ่าได้ดีขึ้น มันจะช่วยผลักดันเราให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกผู้สูงอายุในท้องถิ่นคนหนึ่งสามารถเผชิญหน้ากับการประทุษร้ายด้วยความคิดถูกต้องที่แรงกล้าและดูเหมือนจะทําสามสิ่งได้อย่างขยันขันแข็ง ปีนี้จู่ ๆ เธอก็มีปัญหาสุขภาพอย่างรุนแรง เมื่อจิตสํานึกของเธอไม่ชัดเจน เธอได้ระบายความไม่พอใจและความขุ่นเคืองที่มีต่อผู้ฝึกที่เธอเก็บกดไว้ในใจมานานหลายปีโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผู้ฝึกอื่นที่ได้ยินคําพูดของเธอตกตะลึงเพราะเธอเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างในลึกมาก จากสิ่งที่เธอพูด มาตรฐานที่เธอใช้ในการตัดสินถูกผิดคือทัศนคติพื้นฐานและวิธีที่เธอทําสิ่งต่าง ๆ มาเป็นเวลานาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับต้าฝ่า เธอไม่ได้มองคนหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เธอเก็บความขุ่นเคืองไว้จากมุมมองของการบำเพ็ญ เธอไม่รู้วิธีค้นหาจากภายใน เธอเพียงแค่มองสิ่งที่ถูกและผิดที่พื้นผิวเท่านั้น
ความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นของผู้ฝึกผู้สูงอายุที่จะทําให้ดีในการบำเพ็ญเป็นกําลังใจให้ผู้ฝึกอายุน้อยเสมอมา ผู้ฝึกสูงอายุเหล่านี้ต้องเผชิญกับความยากลําบากในชีวิตและความวุ่นวายทางสังคมทุกชนิด ความเมตตาและคําสอนที่ลึกซึ้งของท่านอาจารย์ได้อธิบายความไม่แน่นอนของอารมณ์มนุษย์ที่พวกเขาพบในชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นคุณค่าของต้าฝ่าเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม การบำเพ็ญเป็นเรื่องจริงจังมาก และการยกระดับอาณาจักรเขตแดนไม่ได้มาจากความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว
ที่เราต้องอดทนต่อความยากลําบากในการบำเพ็ญก็เพราะกรรม แต่เมื่อเราพบกับความขัดแย้งทุกชนิดที่กระทบหัวใจของเรา ทัศนคติของเราทําให้เราประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดา และเราตกอยู่ในตรรกะของคนธรรมดาว่าใครถูกใครผิด แทนที่จะแยกแยะว่าใครคือตัวตนที่แท้จริงของเราในช่วงเวลาสําคัญนี้ ดังนั้นทัศนคติของเราจึงได้รับการปกป้องครั้งแล้วครั้งเล่า มันกลายเป็นบททดสอบที่เราไม่สามารถผ่านไปได้
ไม่มีใครรู้ว่าอายุขัยของคนเราจะยืนยาวแค่ไหน ผู้ฝึกบางคนได้รับการเตือนให้ค้นหาจากภายในเมื่อความชั่วร้ายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะตระหนักว่าพวกเขาจําเป็นต้องบำเพ็ญตัวเอง แต่จิตสํานึกหลักของพวกเขาอ่อนแอมาก และที่แย่กว่านั้นคือไม่ชัดเจน บางคนถึงกับเริ่มสงสัยท่านอาจารย์และต้าฝ่า
ฉันไม่ได้ตัดสินว่าผู้ฝึกถูกหรือผิด ฉันแค่วิเคราะห์สถานการณ์จากมุมมองของฝ่า นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ฉันรู้สึกว่าผู้ฝึกหลายคนที่ดูเหมือนจะทําสามสิ่งได้ดีต้องเผชิญกับการประทุษร้ายในรูปแบบต่าง ๆ พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองที่มูลฐาน มีคํากล่าวโบราณที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะ "วางมีดแล้วก็กลายเป็นพระพุทธเจ้า" ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคงในการบำเพ็ญ ไม่มีนิสัยในการปล่อยวางผลประโยชน์และจิตยึดติด เราจะไม่มีความคิดถูกต้องที่ทรงพลังในการสั่นคลอนความชั่วร้าย การค้นหาจากภายในเป็นข้อกําหนดพื้นฐานที่สุดของผู้ฝึก อย่างอื่นเป็นเพียงการพูดที่ว่างเปล่า
การค้นหาจากภายในโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด สะดวกที่สุด และเป็นประโยชน์ที่สุดในการแก้ไขความขัดแย้งและยกระดับในการบำเพ็ญ ถ้าเรามีนิสัยในการค้นหาจากภายในและสามารถรับฟังคําเตือนและคำแนะนำของผู้ฝึกอื่นได้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้มากมาย การค้นหาจากภายในมีแต่ได้และไม่มีอันตรายใด ๆ แล้วทําไมเราถึงลังเลที่จะทําเช่นนั้น ที่จริงเป็นเพราะเราถูกขัดขวางด้วยทัศนคติของตัวเองที่ควรถูกกำจัดทิ้งไป ทัศนคตินี้ไม่อยากตาย
ไม่กําจัดจิตยึดติดมูลฐานของเรา
ท่านอาจารย์กล่าวว่า
"ผู้ฝึกบางคน ตลอดมาไม่ได้ทิ้งจิตยึดติดมูลฐานไป นี่ก็คือปัญหาว่าเขาเป็นศิษย์ต้าฝ่าอย่างแท้จริงหรือไม่" (การบรรยายธรรมที่เมืองซานฟรานซิสโก ค.ศ. 2005)
จิตยึดติดมูลฐานมีความสัมพันธ์ที่สําคัญอย่างยิ่งกับการบําเพ็ญในยุคเจิ้งฝ่าในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาจิตยึดติดมูลฐานของเรา
ฉันขอพูดถึงผลกระทบต่อการบำเพ็ญของเราถ้าเราไม่กําจัดจิตยึดติดมูลฐานของตัวเอง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันประสบปัญหาที่บ้านซึ่งเกี่ยวข้องกับการฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าของฉัน และผลกระทบต่ออนาคตของคนในครอบครัวของฉัน สิ่งนี้ทําให้ฉันกลัวมากขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอยู่ในใจของฉัน ฉันรู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก เมื่อฉันอ่านฝ่ากับผู้ฝึกอื่น ฉันเล่าสถานการณ์ของฉันให้พวกเขาฟังอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาวิเคราะห์และพูดความเข้าใจของพวกเขาอย่างอดทนจากมุมมองต่าง ๆ ฉันรู้สึกว่าความกลัวของฉันลดลงทีละน้อยเหมือนการปอกหัวหอมออกทีละชั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในส่วนลึกภายในใจของฉันมีเงามืดโผล่ขึ้นมาบ่อย ๆ แล้วฉันก็จะกลับไปสู่สภาวะหดหู่และหวาดกลัวนั้นอีกในทันที
วันหนึ่งขณะศึกษาฝ่ากับผู้ฝึกอื่น ฉันพูดโดยไม่คิดว่า "ฉันหวังว่าฉันจะฝึกบำเพ็ญบนภูเขาและป่าลึก" ที่จริงฉันอยากร้องไห้ ฉันเชื่อในเทพและพระพุทธมาตลอดตั้งแต่เด็ก และฉันฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าอย่างมีความสุขมานานหลายปี ความสุขที่ฉันมีจากการค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิตไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และปีติยินดีของการบำเพ็ญหายไปไหน ทําไมฉันจึงรู้สึกว่าการบำเพ็ญยากขนาดนี้ ฉันไม่อยากอยู่ในสภาวะนี้เลย !
ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดไม่อยู่ในฝ่า ฉันแค่แสดงความรู้สึกหมดหนทางของฉัน สภาวะนี้คงอยู่นานหลายเดือน ฉันศึกษาฝ่าและฟาเจิ้งเนี่ยนเพื่อกําจัดมัน แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าปัญหาของฉันคืออะไร !
คืนหนึ่งฉันฝันเห็นภาพที่ชัดเจนมาก น้ําไหลมาออกมาจากกระดูกสะบ้าเข่าของฉันไม่หยุด ฉันใช้ผ้าเช็ดปากหลายชิ้นซับน้ำ พอน้ําหยุดไหล ก็เห็นเป็นสารข้นและใส เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันไม่รู้ว่าความฝันนี้หมายถึงอะไร ฉันตัดสินใจหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉันรู้ว่าความฝันนี้มีความหมายบางอย่าง เพราะภาพชัดเจนเกินไป
หลังอาหารเช้า ไม่รู้ว่าทําไม จู่ ๆ ฉันก็อยากอ่านบทความของท่านอาจารย์เรื่อง "เดินสู่หยวนหมั่น" ฉันเริ่มอ่านบทความนี้อย่างกระตือรือร้น (ทุกครั้งที่ฉันพูดถึงเหตุการณ์นี้ ฉันอยากร้องไห้ ศิษย์ต้าฝ่าทุกคนรู้สึกถึงการคุ้มครองของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เห็นคุณค่าของพวกเรามากกว่าพวกเราเห็นคุณค่าของตัวเอง) ขณะที่ฉันอ่านบทความนี้ ฉันนึกถึงจิตยึดติดมูลฐานของฉัน
ฉันจําได้ว่าท่านอาจารย์กล่าวว่า
"ผู้บำเพ็ญในอดีตพูดกันว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่” “ฉันจะทำอะไร” “ฉันอยากจะได้อะไร” “ฉันกำลังบำเพ็ญ” “ฉันอยากเป็นพระพุทธ” “ฉันต้องการจะบรรลุอะไร” ที่จริงล้วนไม่พ้นไปจากความเห็นแก่ตัวนั้น แต่ที่ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทำได้นั้นคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่มีความเห็นแก่ตัว หยวนหมั่นในฝ่าที่ถูกต้อง รู้แจ้งอย่างถูกต้องแท้จริง จึงจะบรรลุถึงการไม่ดับสลายตลอดกาลนาน " (การบรรยายธรรมในฝ่าฮุ่ยประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
ที่จริงแล้วทําไมฉันถึงอยากเป็นพระพุทธ โลกของพระพุทธสมบูรณ์แบบ ผู้คนต่อสู้กันในโลกมนุษย์ มีการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย การเป็นมนุษย์คือความทุกข์ ฉันต้องการเป็นพระพุทธและหลุดพ้นจากความทุกข์ของมนุษย์และบรรลุความสุขนิรันดร์ นี่ไม่ใช่คุณสมบัติพื้นฐานของชีวิตในจักรวาลเก่าหรือ ซึ่งก็คือความเห็นแก่ตัว การใช้ต้าฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขที่ฉันกําลังแสวงหา นี่คือจิตยึดติดมูลฐานของฉันไม่ใช่หรือ ท่านอาจารย์เห็นสิ่งนี้และอิทธิพลเก่าก็เห็นเช่นกัน
ทำไมท่านอาจารย์จึงบอกเราซ้ําแล้วซ้ําเล่าให้ขจัดจิตยึดติดมูลฐานของตัวเอง เป็นเพราะเราไม่สามารถเข้าสู่จักรวาลใหม่โดยยึดมั่นในจิตยึดติดมูลฐานนี้ ซึ่งก็คือความเห็นแก่ตัว
เพราะฉันไม่ตระหนักถึงจิตยึดติดมูลฐานของตัวเอง ฉันจึงไม่ได้กําจัดมันเมื่ออิทธิพลเก่าใช้มันเป็นข้ออ้างในการประทุษร้ายฉัน ภายใต้แรงกดดันของค่ายแรงงาน เมื่อหัวใจของฉันหวั่นไหวด้วยอารมณ์ของมนุษย์ มันทําให้ฉันไม่มีความสุขและทําให้ฉันต้องทนทุกข์ สิ่งนี้กระทบจิตยึดติดมูลฐานของฉัน คืออัตตา "ฉัน" ยอมจํานนต่อมันและไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ เมื่อมองย้อนกลับไป แม้ฉันจะบำเพ็ญมาหลายปี แต่เพราะฉันยึดมั่นในจิตยึดติดมูลฐานของตัวเอง มันจึงนําไปสู่การสูญเสียมากมายในการบำเพ็ญของฉัน
ขณะที่ฉันอ่าน "เดินสู่หยวนหมั่น” ฉันก็เข้าใจในทันที ราวกับว่าประตูในใจของฉันเปิดออก ฉันร้องไห้ออกมาดัง ๆ และรู้สึกเหมือนตื่นขึ้นมา เส้นทางที่ผิดทั้งหมดที่ฉันเคยเดินผ่านมา ขั้นตอนการบำเพ็ญของฉันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาผุดขึ้นมาในใจของฉันอย่างชัดเจน ในฉับพลันนั้น ราวกับว่าฉันมองเห็นตัวเองทําอย่างไรในความทุกข์ยากลำบากทุกครั้ง และอะไรที่ทําให้มันยากมากสำหรับฉัน
ทันใดนั้นฉันก็เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พยายามจะบอกฉันผ่านความฝันนั้น ซึ่งก็คือ สะบ้าเข่าของฉันส่วนใหญ่เป็นกระดูก น้ําจํานวนมากไหลออกมาจากกระดูก มันบอกฉันว่าจุดประสงค์มูลฐานของฉันในการบำเพ็ญไม่บริสุทธิ์ สารใสที่ออกมาตอนท้ายสุดหมายความว่า หลังจากกำจัดน้ําออกหมดแล้ว ฉันจึงสามารถบำเพ็ญสิ่งที่ดีได้ เหมือนคนที่หลงทางในป่าเป็นเวลานาน ในที่สุดฉันก็พบทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าถนนกลับบ้านข้างหน้าจะไกลแค่ไหน ฉันก็รู้ว่าต้องไปทางไหน
ฉันรู้สึกว่าฉันทําให้ท่านอาจารย์ผิดหวังรวมถึงสรรพชีวิตที่ไว้วางใจให้ฉันช่วยพวกเขา ฉันรู้สึกประทับใจท่านอาจารย์ในการปกป้องและดูแลพวกเราผู้ฝึกอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าฉันจะพบจิตยึดติดมูลฐานของฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันได้กําจัดมันออกไปอย่างหมดจดแล้ว ฉันยังมีจิตยึดติดอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้ฉันรู้วิธีเปิดเผย ระงับ และกําจัดพวกมันทุกครั้งที่ฉันประสบปัญหา ดังนั้นฉันจึงค่อย ๆ กำจัดแหล่งที่มาของจิตยึดติดและความเห็นแก่ตัวเหล่านี้ทีละส่วน
ผู้ฝึกบางคนคิดว่าจิตยึดติดทั้งหมดมาจากความเห็นแก่ตัว จึงให้จดจ่อกับการกําจัดมัน ไม่ผิดที่จะคิดแบบนี้ แต่จิตยึดติดมูลฐานของทุกคนแตกต่างกัน และเส้นทางของพวกเขาก็แตกต่างกัน จิตยึดติดมูลฐานของทุกคนจะทําให้เขาสะดุด ในกระบวนการนี้ เขาได้เรียนรู้บทเรียนและรู้แจ้งต่อฝ่า นอกจากนี้ จิตยึดติดมูลฐานของทุกคนจะควบคุมและมีอิทธิพลต่อเส้นทางการบำเพ็ญของตน จิตยึดติดต่าง ๆ ของเราก็เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ ซึ่งเติบโตมาจากรากของต้นไม้ จิตยึดติดมูลฐานเปรียบเหมือนรากของต้นไม้ ถ้าเราไม่ขุดรากออกไป แต่แค่ตัดแต่งกิ่งก้านบนพื้นผิว รากก็ยังเติบโตต่อไป วิธีที่ดีที่สุดคือทําตามคำสอนของท่านอาจารย์
ไม่มองจากมุมมองของการบำเพ็ญในช่วงเจิ้งฝ่า
การไม่เห็นแก่ตัวคือความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจักรวาลใหม่กับจักรวาลเก่า การช่วยท่านอาจารย์ในการช่วยเหลือสรรพชีวิตเป็นความแตกต่างพื้นฐานระหว่างผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าและผู้ฝึกในอดีต
ทําไมเราจึงกล้าทําตามใจชอบเมื่อเราเผชิญกับความขัดแย้งและช่วยเหลือผู้คน เหตุผลสําคัญคือเราไม่มีความตระหนักรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการบำเพ็ญในช่วงเจิ้งฝ่า ดังนั้นเราจึงไม่สามารถสร้างสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับสรรพชีวิต เราไม่ตระหนักว่าการบำเพ็ญของเราส่งผลต่อการอยู่รอดของสรรพชีวิตอย่างไร ! โดยไม่รู้ตัว เรามุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญส่วนบุคคล เพราะจุดเริ่มต้นของเราผิด อิทธิพลเก่าจึงสร้างปัญหาให้กับเราได้ง่าย นั่นคือเหตุผลที่เราไม่สามารถกําจัดทัศนคติของมนุษย์บางอย่างออกไปได้ และพบว่าตัวเองอยู่ในความทุกข์ยากเป็นเวลานาน
หากไม่มีจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง เราจะไม่มีความคิดถูกต้องที่บริสุทธิ์และทรงพลังเพื่อช่วยสรรพชีวิต เราจะติดอยู่ในอัตตาและไม่สามารถประพฤติตนในฐานะผู้ฝึกได้ ด้วยเหตุนี้ สรรพชีวิตภายในเขตแดนของเราจึงถูกทําลาย และผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตลอดจนสรรพชีวิตที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ไม่สามารถได้รับการช่วยชีวิต ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลคือการประสานกลมกลืนและทำให้สิ่งที่อาจารย์ต้องการบรรลุผล แต่เรายืนตรงข้ามกับท่านอาจารย์โดยไม่รู้ตัวในการช่วยเหลือผู้คน และเราก่อให้เกิดอุปสรรค นั่นเป็นบาปใหญ่ ! ไม่เพียงแต่ทําลายสรรพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทําให้เราตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย
การเริ่มต้นจากจุดที่ผิดก็แสดงออกมาเมื่อเราทําสามสิ่งด้วย เมื่อเวลาผ่านไปในการบำเพ็ญในช่วงเจิ้งฝ่า เราจะตกอยู่ในกับดักของการฝึกบำเพ็ญแบบพอเป็นพิธีได้อย่างง่ายดาย โดยไม่รู้ตัว เราศึกษาฝ่า ฝึกท่า และฟาเจิ้งเนี่ยนเพื่อหยวนหมั่นส่วนบุคคล เพื่อสุขภาพที่ดี หรือเพราะเราไม่ต้องการถูกประทุษร้าย เราควรศึกษาฝ่าเพื่อหลอมรวมกับฝ่าเพื่อให้เรามีพลังในการช่วยเหลือผู้คน เรามีสุขภาพที่ดีเพื่อที่เราจะได้ช่วยเหลือผู้คนและฟาเจิ้งเนี่ยนเพื่อกําจัดองค์ประกอบชั่วร้ายที่ขัดขวางเราไม่ให้ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเวลาผ่านไป เราไม่มีความเมตตาที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยความเร่งด่วน และสูญเสียความมุ่งมั่นและภารกิจที่จะช่วยท่านอาจารย์ช่วยเหลือผู้คนที่ทําให้เราเสี่ยงมายังโลก ความเฉยชาเช่นนี้ทําให้เวลาในการช่วยเหลือผู้คนล่าช้าออกไป และทำให้เราไม่สามารถบรรลุมาตรฐานตามที่ฝ่ากําหนดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อเรายังคงติดอยู่ในความยากลำบากหรือพบทางตันในการทําบางสิ่ง เราควรดูว่าจุดเริ่มต้นของเราคือความเห็นแก่ตัวหรือไม่ สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปและเราจะหาทางออกได้ถ้าพื้นฐานของเราถูกต้อง
ในบทความ “China Fahui | Eliminating the Persecution of Being Released on Bail with Righteous Thoughts” ผู้เขียนต่อสู้กับทัศนคติและความกลัวต่าง ๆ และกับตนเองกับการช่วยเหลือผู้คน เมื่อเธอเตือนตัวเองว่าเธอเป็นผู้ฝึกในช่วงเจิ้งฝ่าและคิดถึงแต่การช่วยเหลือผู้คน เธอก็เขียนจดหมายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอธิบายความจริงเป็นการส่วนตัวกับผู้ที่ประทุษร้ายเธอ ความคิดที่มาจากจิตใจที่ดีและไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้สามารถทะลวงผ่านการประทุษร้าย ข้อความส่วนหนึ่งในบทความดังกล่าวคือ "จําไว้เสมอว่าการช่วยเหลือผู้คนคือภารกิจของเรา เริ่มต้นด้วยการอธิบายความจริงให้กับเจ้าหน้าที่ตํารวจที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการประทุษร้าย และเข้าหาพวกเขาด้วยความเมตตา การที่เราให้ความสําคัญกับการช่วยเหลือผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการประทุษร้ายเรา แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของศิษย์ต้าฝ่า ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ใครจะกล้าทําร้ายเรา การประทุษร้ายที่ชั่วร้ายก็จะสลายไปตามธรรมชาติ"
เส้นทางการบำเพ็ญของเราแคบมาก ดังนั้นเราต้องเดินให้ที่ยงตรง ! ทุกความคิดที่ไม่เห็นแก่ตัว ทุกความเมตตาที่แสดงต่อผู้คน ทุกการปฏิเสธตัวตนที่หลอกลวง จะทําให้เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในจิตใจและร่างกายของเราเมื่อเราหลอมรวมกับฝ่า
เราควรเห็นคุณค่าและปฏิบัติต่อการเจิ้งฝ่าอย่างจริงจัง ! โอกาสเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ! ท่านอาจารย์กล่าวว่า
"ถ้าท่านไปไหวท่านก็บำเพ็ญต่อไป ถ้าไปไม่ไหว ถ้าท่านบำเพ็ญไม่ได้ จากนี้ไปท่านก็อย่าคิดจะบำเพ็ญปฏิบัติธรรมอีกเลย นอกจากมารมาหลอกท่านแล้ว ไม่มีใครจะสอนท่านอีก ต่อไปท่านก็อย่าบำเพ็ญเลย" (บทที่ 8 จ้วนฝ่าหลุน)
ทุกครั้งที่อ่านข้อความนี้ ฉันรู้สึกเศร้าและสูญเสีย มันเป็นความรู้สึกหมดหวังเมื่อชีวิตหนึ่งสูญเสียโอกาสในการบำเพ็ญตลอดไปทั้งที่รอคอยโอกาสนี้มายาวนานเหลือเกิน เรามีแต่ต้องทําให้ดี ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
บทความที่ผู้บำเพ็ญพูดถึงความเข้าใจของพวกเขาโดยปกติจะสะท้อนถึงการรับรู้ของบุคคลในช่วงเวลาหนึ่งตามสภาวะการบำเพ็ญของพวกเขา และการนำเสนอบทความเหล่านี้มีเจตนาในการช่วยให้ยกระดับร่วมกัน ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์