(Minghui.org) สวัสดีท่านอาจารย์ สวัสดีเพื่อนผู้ฝึก

ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ฉันได้บำเพ็ญ ฉันได้เขียนบทความแลกเปลี่ยนประสบการณ์มากมาย ส่วนใหญ่เน้นที่การใช้ทักษะของตัวเองในการช่วยเหลือท่านอาจารย์ในการเจิ้งฝ่า วันนี้ฉันขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญตนเองผ่านการติดต่อสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

ฉันไม่เคยใกล้ชิดกับแม่ของฉันเลย เธอเป็นคนคิดลบอย่างสม่ําเสมอและขี้บ่น เธอไม่ค่อยชมหรือให้กําลังใจใคร

ไม่นานหลังจากที่ฉันเริ่มฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า แม่ของฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลําไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย ต่อมาเธอฟื้นตัวอย่างปาฏิหาริย์ด้วยการท่องสองวลี "ฝ่าหลุนต้าฝ่าดี ความจริง-ความเมตตา-ความอดทนดี" ขณะไปเยี่ยมฉันที่สหรัฐอเมริกา และด้วยการให้กําลังใจจากพ่อ เธอจึงตัดสินใจฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า

แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับฝ่าของเธอยังคงอยู่ในระดับการรับรู้เท่านั้น เธอเข้าใจเรื่องจะกินยาหรือไม่อย่างผิวเผิน ทุกครั้งที่เธอประสบกับปัญหา เธอจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบราวกับท้องฟ้ากําลังถล่มลงมา และโทรหาฉันเพื่อขอคําแนะนําซ้ําแล้วซ้ําเล่า ฉันมักจะพูดไม่ออกเมื่อเธอพูดว่า "ลูกไม่รู้ว่าแม่รู้สึกอย่างไรเพราะลูกไม่ได้เจอกับตัวเอง"

ฉันโน้มน้าวให้พ่อกับแม่ย้ายจากประเทศจีนมาอยู่บ้านที่อยู่ห่างจากฉันเพียง 5 นาที ไม่นานหลังจากที่พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ แม่ของฉันก็เริ่มเร่งรัดให้ฉันยื่นขอ Medicare ให้พวกเขา พาพวกเขาไปพบแพทย์หลายคน และยังเกลี้ยกล่อมให้พ่อของฉันถอนฟันที่เหลืออยู่ทั้งหมด หลังจากนั้น พ่อของฉันก็หยุดโทรศัพท์อธิบายความจริง โดยอธิบายว่าการพูดโดยไม่มีฟันทําให้คนฟังเข้าใจเขาได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงการอธิบายความจริงให้ผู้คนในประเทศจีน ผลก็คือ ความรู้สึกที่ผสมปนเปของฉันที่มีต่อแม่ ได้ก่อเกิดความขุ่นเคืองใจเพิ่มมากขึ้น ฉันไม่พอใจที่การรับรู้ที่จํากัดของเธอดึงพ่อของฉันจมลึกเข้าไปในสังคมคนธรรมดาสามัญมากขึ้น

เมื่อไรที่ฉันไปเยี่ยมพวกเขา ฉันจะคุยแต่กับพ่อ และหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับแม่ของฉันมานานแล้ว แม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน จึงได้แต่อยู่นั่งบนโซฟา ไม่สามารถหันศีรษะหรือเดินมาหาเราได้ เธอรู้สึกเศร้าและสิ้นหวัง แต่ฉันไม่รู้สึกผิด เพราะฉันเชื่อว่าฉันดูแลความเป็นอยู่ประจําวันของพวกเขาอย่างดีแล้ว จะขออะไรมากกว่านี้อีก ด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างมาก เราจึงเป็นเหมือนน้ํามันกับน้ําที่ไม่สามารถผสมเข้ากันได้

วันหนึ่งผู้ฝึกคนหนึ่งไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของฉันพร้อมกับฉัน ระหว่างการพูดคุยกันเกี่ยวกับการบำเพ็ญ แม่ของฉันพูดบางอย่างที่สะกิดใจฉัน และฉันอดไม่ได้ที่จะตอบกลับด้วยน้ําเสียงที่ดูแคลน ก่อนที่ฉันจะพูดจบ ผู้ฝึกก็ขัดจังหวะฉันอย่างหนักแน่น ระหว่างทางกลับบ้าน เธอวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของฉันอย่างรุนแรง โดยบอกว่าฉันไม่ได้แสดงความเมตตาของผู้บำเพ็ญและแม้แต่ความกตัญญูที่คาดหวังจากคนธรรมดาทั่วไป ฉันตกตะลึง

ฉันค้นหาจากภายในแล้วก็ตระหนักว่าฉันมีอคติต่อแม่ ใช่ การรับรู้ของแม่มีขอบเขตจํากัด แล้วทำไมล่ะ เธอไม่เคยต่อต้านฝ่า การรับรู้ที่จํากัดนี้เป็นการเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกที่ขยันขันแข็ง ฉันก็มีข้อจํากัดเช่นกันไม่ใช่หรือ ท่านอาจารย์สอนฝ่าให้กับคนธรรมดา บางคนมีการรับรู้ที่สูงกว่า บางคนรับรู้ได้ต่ำกว่า กระนั้นท่านอาจารย์ก็แสดงความเมตตาต่อทุกคนเหมือนกันโดยไม่คํานึงถึงระดับชั้นที่สูงกว่าหรือต่ํากว่า ฉันเป็นใครถึงได้อวดดีอย่างนี้

การพูดกับแม่ของฉันด้วยน้ำเสียงดูแคลน—นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการขาดความเมตตาหรือ ชีวิตของเธอในประเทศจีนเคยมีชีวิตชีวามากกว่าชีวิตเรียบง่ายที่นี่ แล้วทําไมเธอจึงยอมย้ายมา ไม่ใช่เพราะเธอเชื่อใจฉันและฝากความหวังไว้สูงหรือ ฉันจะปฏิบัติต่อเธอแบบนั้นได้อย่างไร !

ฉันเริ่มไปเยี่ยมแม่บ่อยขึ้น เมื่อพ่อของฉันยุ่งกับงานบ้าน ฉันก็ดูแลความต้องการประจําวันของแม่ ครั้งหนึ่งเธอหยุดนิ่งกลางโถงทางเดินขณะเดิน ฉันโอบเธอจากด้านหลัง ประคองเธอให้ก้าวไปข้างหน้าทีละนิ้ว เหมือนเด็กกำลังหัดเดิน เมื่อเราไปถึงห้องนอนในที่สุด ฉันก็ยกเธอขึ้นบนเตียงเพื่อพักผ่อน เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่อ่อนโยนที่ไม่ค่อยได้เห็น

วันหนึ่งขณะที่ฉันกําลังจะออกจากบ้านของพวกเขา จู่ ๆ แม่ของฉันก็พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า "ฉันรักคุณ" ฉันผงะหยุดนิ่ง พูดไม่ออก เธอไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นกับฉันมาก่อน แม้กระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่สนามบินขณะที่ฉันกําลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อ สิ่งที่เธอพูดคือให้รีบไป จะได้ไม่ตกเครื่องบิน แต่ครั้งนี้ น้ำตาเอ่อขึ้นในดวงตาของฉัน ฉันกอดแม่ จูบหน้าผากเธอ และบอกว่าฉันก็รักเธอเช่นกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีอะไรขวางกั้นระหว่างเราอีกต่อไป

ต่อมาพ่อของฉันก็ต้องการการดูแลเช่นกัน ฉันจึงจ้างพี่เลี้ยงให้อยู่ที่บ้านดูแลพวกเขา พ่อของฉันสามารถเข้ากับใครก็ได้ ในขณะที่แม่ของฉันตรงกันข้าม เรื่องนี้ทําให้เธอเจ็บปวดอย่างมาก และเธอได้แต่ปรับทุกข์กับฉันเท่านั้น ฉันพยายามปลอบโยนเธออย่างเต็มที่ ให้กำลังใจเธอ และไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างเธอกับผู้ดูแล

ผู้ดูแลมาแล้วไปคนแล้วคนเล่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแม่ของฉัน ทุกครั้งที่จากไป พวกเขาบอกลาพ่อของฉันด้วยน้ําตา และฉันต้องแบกรับความเครียดจากความไม่แน่นอนทุกครั้ง ผลักดันตัวเองให้หาคนต่อไปด้วยความอดทนมากขึ้น ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ฉันไม่บ่นอีกแล้ว เพราะฉันเข้าใจความเจ็บปวดของแม่แล้ว

บางครั้งฉันต้องเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ครั้งหนึ่งขณะที่ฉันกําลังทําความสะอาดแม่หลังจากที่เธอขับถ่าย เธออุจจาระใส่มือของฉันโดยไม่รู้ตัว ฉันล้างมือด้วยใจที่สงบ เหมือนตอนที่ฉันเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกของตัวเอง

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม่ของฉันอยู่ในอาการโคม่าที่บ้าน ในช่วง 5 วันที่เธอนอนหลับลึก ฉันมักจะเปิดเพลง Pudu ซึ่งเป็นเพลงของต้าฝ่าอยู่ข้าง ๆ เธอ ในที่สุดเธอก็จากไปอย่างสงบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเธอ

ฉันเขียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษว่าหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนทําให้หัวใจที่เย็นชาและเห็นแก่ตัวของฉันบริสุทธิ์ได้อย่างไร ทำให้ฉันมีโอกาสยกระดับตนเองและได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอโดยไม่เหลือความเสียใจ ฉันแจกเรื่องนี้ให้กับทีมพยาบาลของแม่ เพื่อนบ้าน ญาติในประเทศจีน และเพื่อน ๆ รอบตัวฉัน และเป็นวิธีที่ได้ผลมากในการอธิบายความจริง

หลังจากแม่ของฉันเสียชีวิต สุขภาพร่างกายและจิตใจของพ่อก็ค่อย ๆ แย่ลง ฉันไปหาพ่อเกือบทุกวัน เพื่อให้กําลังใจเขา รําลึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ และเล่าเรื่องราวจากการทำงานและชีวิตของฉัน มันไม่ง่ายเลยที่จะทำแบบนี้ทุกวัน

ลูกสาวของฉันกลับมาจากชายฝั่งตะวันออกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และเสนอให้ทั้งครอบครัวใช้เวลาร่วมกันที่บ้านพักตากอากาศในโอเรกอน ฉันตั้งตารอสัปดาห์ที่มีค่ากับเธอในขณะที่ทํางานจากระยะไกล

วันก่อนออกเดินทาง ฉันไปเยี่ยมพ่อ ฉันแปลกใจที่อาการของพ่อแย่ลงมากจนฉันไม่แน่ใจว่าจะได้พบหน้าพ่อได้อีกครั้งหรือไม่เมื่อฉันกลับมา ฉันลองถามด้วยความไม่แน่ใจว่า "พ่อ ถ้าหนูไม่ไปล่ะ" แทนที่จะตอบปฏิเสธอย่างสุภาพเหมือนเคย พ่อกลับตอบเพียงแค่ "ตกลง" หัวใจของฉันวูบลง—ฉันรู้ว่าถึงเวลาที่ฉันต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากแล้ว

ในช่วงโควิด เช่นเดียวกับวัยรุ่นหลายคน ลูกสาวของฉันเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพจิต วันหนึ่งเธอบอกฉันอย่างเคร่งขรึมว่าเธออยากใช้มีดกรีดข้อมือของเธอ ฉันไม่เห็นร่องรอยของบาดแผลของเธอ ฉันจึงคิดว่าเธอแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจ เราเพิ่งกลับมาจากทริปแม่ลูกที่ฉันวางแผนไว้อย่างรอบคอบเพื่อให้กำลังใจเธอ ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ฉันทําเพื่อเธอมากมายขนาดนี้แล้ว ทำไมลูกยังเรียกร้องมากกว่านี้อีก ดังนั้นฉันจึงไม่รับฟัง แค่พูดปลอบโยนไม่กี่คํา ฉันไม่รู้เลยว่าคําตอบของฉันทําร้ายจิตใจเธออย่างมาก ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เริ่มห่างเหินออกไป ถึงขนาดนับถอยหลังรอวันที่เธอจะได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย

การเปลี่ยนแปลงของเธอทําให้ฉันทั้งผิดหวังและสับสน ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องของช่วงวัยรุ่นที่พบกันทั่วไป โดยเฉพาะกับเด็กที่เติบโตในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการกบฏของวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ ในช่วงภาคเรียนสุดท้ายของโรงเรียนมัธยม ลูกสาวของฉันมีอาการเบื่ออาหาร สามีของฉันไม่เข้าใจและเชื่อว่าเธอกําลังหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งวิ่ง เพราะเธออยู่ในทีมกรีฑาของโรงเรียน เธอรู้สึกหมดหนทาง จึงหันไปหาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ ความเข้าใจและการให้กําลังใจของฉันทําให้เธอประทับใจ หลายสัปดาห์ก่อนออกเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เธอเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงที่ทําให้เธอเหินห่างจากฉัน ฉันตะลึง ฉันขอโทษลูกอย่างจริงใจ เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่แม่ซึ่งปกติเป็นคนดื้อรั้นและทะนงตน ยอมถ่อมตนและขอโทษเธอ

เธอเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ห่างจากบ้านหลายพันไมล์ ด้วยการเริ่มต้นที่ยากลําบาก ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็มีอาการซึมเศร้า ในช่วงเวลาที่มืดมนและสิ้นหวังที่สุดของเธอ ฉันอยู่ที่ปลายสายโทรศัพท์ คอยให้กำลังใจเธอ หลังจากเปลี่ยนเที่ยวบิน 3 เที่ยวบินจากยุโรป ในที่สุดฉันก็เดินทางไปหาเธอที่มหาวิทยาลัย เธอวิ่งมาหาฉันและกอดฉันนานที่สุดตั้งแต่เราเคยกอดกัน นานถึง 60 วินาที จากนั้นมา เราก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน

ตอนนี้ในฐานะผู้บำเพ็ญ ฉันต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับหน้าที่ เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันเล่าอาการของพ่อให้ครอบครัวฟัง สามีของฉันถามฉันเรื่อย ๆ ว่าฉันแน่ใจกับการตัดสินใจของฉันหรือเปล่า และเตือนฉันว่าฉันสามารถบินกลับคนเดียวได้ตลอดเวลาหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

สิ่งที่ทำให้ฉันอุ่นใจคือการสนับสนุนจากลูกของฉันทั้งสองคน วันต่อมา ก่อนที่เธอจะออกเดินทาง ลูกสาวของฉันกอดฉันแน่นและเตือนให้ฉันดูแลตัวเอง ความเข้าใจและความห่วงใยของเธอช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่ค้างคาในใจของฉัน

ครอบครัวของสามี

ตอนนี้ ฉันขอเล่าเรื่องผู้หญิง 2 คนทางฝั่งครอบครัวของสามีของฉัน แม่สามีของฉันชื่อ Kathy เธอเป็นคนที่มีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความรักแต่หัวแข็ง ครอบครัวของเธอตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า "ราชินี"

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ฉันได้รับฝ่า ฉันซื้อบัตรเสินยวิ่นให้ทั้งครอบครัว พ่อแม่ของสามีไปดูก่อน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าการแสดงสวยงาม แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสาระที่ลึกซึ้งได้ทั้งหมด ปฏิกิริยาของพวกเขาส่งผลต่อสามีของฉัน ซึ่งตัดสินใจที่จะไม่ไปดู เหตุการณ์นั้นปลูกฝังความขุ่นเคือง Kathy อยู่ในใจของฉัน

ต่อมาเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นพาร์กินสันเช่นเดียวกับแม่ของฉัน ด้วยความเมตตา ฉันแนะนําฝ่าหลุนต้าฝ่าให้เธอ แต่เธอปฏิเสธอย่างรวดเร็ว การปฏิเสธของเธอทําให้ฉันรู้สึกไม่พอใจเธอมากขึ้น

เมื่อฉันศึกษาฝ่าต่อไปและเห็นอาการของแม่สามีแย่ลง ความเมตตาของฉันก็เริ่มผุดขึ้นในใจ ทัศนคติของฉันเปลี่ยนไป จากความห่วงใยที่ผิวเผินในตอนแรกไปสู่ความเข้าใจอย่างแท้จริง และในที่สุดก็อาสาช่วยแบ่งปันภาระหน้าที่ครอบครัวของเธอ

Kathy ให้ความสําคัญกับการรวมญาติอย่างมาก และชอบจัดงานเลี้ยงวันหยุดให้กับครอบครัว ญาติรวมถึงลูกพี่ลูกน้อง เพื่อน และเพื่อนบ้าน แต่เมื่อสุขภาพของเธอแย่ลง เธอก็ไม่สามารถทําได้อีก ด้วยความเมตตา ฉันจึงอาสารับหน้าที่เป็นเจ้าภาพแทน ซึ่งขัดกับนิสัยของฉัน โดยปกติเรามักจะวางแผนการเดินทางเที่ยวในช่วงวันหยุดเพื่อหลีกเลี่ยงคําเชิญ แต่ครั้งนี้ฉันเลือกที่จะไม่ทําเช่นนั้น

วันขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านมา ฉันได้เตรียมอาหารไก่งวงแบบดั้งเดิมและทุกคนก็มีความสุข ทันใดนั้น Kathy ก็มองมาที่ฉันและพูดว่า "ขอบคุณ" หลังจากหยุดชั่วครู่ เธอพูดเสริมว่า "ขอบคุณสําหรับทุกสิ่งที่คุณทําเพื่อฉัน"

ในวันครบรอบแต่งงาน 60 ปีของพ่อแม่สามี ฉันขึ้นพูดบนเวที ขณะนั้นลูกสาวของฉันอายุเพียงไม่กี่เดือน Kathy จะขับรถเที่ยวละ 3 ชั่วโมง มาใช้เวลาหนึ่งวันกับหลานสาวของเธอ โดยไม่จุกจิก ไม่เรียกร้อง มีแต่ความรักที่บริสุทธิ์ ฉันมองไปที่ Kathy และพูดอย่างจริงใจว่า "แม่ ถ้าฉันโชคดีพอที่จะได้เป็นคุณยาย ฉันหวังว่าจะสง่างาม สนุกสนาน และเปี่ยมด้วยความรักเหมือนแม่" คนในห้องปรบมือดังกึกก้อง และน้ําตาเอ่อคลอในดวงตาของ Kathy

Kelly ซึ่งเป็นน้องสามีของฉันเป็นคนอบอุ่นและมีเพื่อนมากมาย แต่เธอมักจะพูดเกินจริง ตลอดช่วงมัธยมต้นและมัธยมปลาย เธอใช้ชีวิตภายใต้เงาของความสําเร็จของพี่ชายของเธอ สามีของฉันเลี้ยงดูตัวเองตลอดการเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้ขอเงินจากพ่อแม่ ในทางตรงกันข้าม Kelly ยังคงรับการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อแม่ของเธอจนถึงทุกวันนี้

วันคริสต์มาสหนึ่ง Kelly โทรหาแม่ของเธอ โดยอ้างว่าเธอกลับบ้านไม่ได้เพราะเธอกําลังเดินทางไปแอฟริกา เมื่อส่งโทรศัพท์ให้เรา เธอพูดติดตลกว่า "ที่นี่ซานฟรานซิสโกอากาศดี แสงแดดออกสดใส" เรารู้สึกว่าความพยายามที่จะให้พวกเรามีส่วนร่วมในการโกหกของเธอทั้งหยาบคายและน่าตกใจ ในที่สุดเราก็ทนไม่ไหวและบอกความจริงกับ Kathy หลังจากนั้น Kelly ก็เลิกเป็นเพื่อนกับฉันใน Facebook

ฉันโกรธมาก ฉันเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดความสัมพันธ์กับคนอย่างเธอ แต่เธอตัดความสัมพันธ์กับฉันก่อน ไร้สาระ !

แต่ฉันเป็นผู้บำเพ็ญ หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ ฉันก็ตระหนักว่า แม้ว่าโดยผิวเผินแล้ว ความรู้สึกของฉันที่มีต่อ Kelly ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากสามี แต่ภายในลึก ๆ ฉันเก็บซ่อนความอิจฉาริษยาของตัวเองไว้

ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับสามี Kathy ยืนกรานให้ทั้งครอบครัวเดินทางหลายร้อยไมล์ไปยังบ้านพักตากอากาศของเธอเพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาสสีขาวทุกปี เธอยังเสนอให้ฉันเตรียมอาหารค่ําแบบจีนในวันคริสต์มาสอีฟด้วยความเคารพต่อวัฒนธรรมของฉัน แต่มีปัญหาว่าลูกสาวของเธอ Kelly ซึ่งแก่กว่าฉัน 4 ปี ไม่ต้องทำอะไรเลย ทําไมฉันต้องเป็นคนหาวัตถุดิบทั้งหมด ขับรถ 9 ชั่วโมงไปที่บ้านของเธอ และหลังจากเล่นสกีมาทั้งวัน ต้องทำอาหารหลายชั่วโมงขณะที่คนอื่นพักผ่อน

ยิ่งกว่านั้น เรายังต้องดู Kathy ยื่นเช็คก้อนโตให้กับ Kelly พร้อมกับเงินเพิ่มเติมเพื่อให้เธอเดินทางไปต่างประเทศทุกปี เมื่อ Kelly รับประทานอาหารนอกบ้านกับเรา เรามักจะเป็นผู้จ่ายค่าอาหาร

แต่ทําไมฉันถึงอิจฉาเธอ จริงที่มีหลายอย่างเกี่ยวกับเธอที่ฉันทนไม่ไหว แต่ความสัมพันธ์ของเหตุและผลภายในครอบครัวของเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ การเกี่ยวข้องกับเธอไม่ใช่เพื่อช่วยให้ฉันยกระดับซินซิ่งและยกระดับตัวเองผ่านความขัดแย้งหรือ การบอกให้สามีของฉันบอกความจริงกับแม่ของเขาจะมีข้อดีอะไรหรือ มีแต่จะทําร้าย Kathy เท่านั้น ในฐานะผู้บำเพ็ญ เราไม่ใช่เน้นความอดทนหรือ แล้วความอดทนของฉันอยู่ที่ไหน

ฉันปล่อยวางอคติที่เคยมี และพยายามมองด้านบวกของ Kelly ครั้งหนึ่งเธอแวะมาที่บ้านของเราหลังจากไปเยี่ยมเพื่อน ๆ โดยหวังว่าจะได้พูดคุยกับสามีของฉัน แต่เขาไม่อยู่บ้าน ฉันจึงต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ระหว่างการสนทนาของเรา เธอมีอารมณ์ขณะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เธอมีกับพี่ชายของเธอ ฉันฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ตัดสินหรือปล่อยให้อารมณ์ของเธอทำให้ฉันไขว้เขว ฉันพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราและเข้าใจมุมมองของเธออย่างแท้จริง สุดท้ายฉันพูดว่า "เชื่อฉันเถอะ พี่ชายของคุณไม่ได้พยายามบงการคุณ" เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ร้องไห้ออกมา

ต่อมา Kelly พูดกับฉันว่า "เราควรออกไปเที่ยวด้วยกันจริง ๆ เวลาคุณเข้าไปในเมือง แวะมาหาได้เลยนะ" ในอดีต ฉันคิดว่าเธอแค่สุภาพต่อหน้า Kathy แต่ตอนนี้ฉันไม่มองเธอแบบนั้นอีกแล้ว ฉันพยักหน้าตอบรับคําเชิญของเธอ ต่อมาฉันหาเวลาทานอาหารเย็นกับเธอและแฟนสาวของเธอ พวกเธอรู้สึกประทับใจในความจริงใจและความเปิดกว้างของฉัน หลังจากที่ฉันแนะนําเสินยวิ่น แฟนสาวของเธอสัญญาอย่างจริงจังว่าพวกเธอจะไปดูการแสดง

บทส่งท้าย

ฉันต้องขับรถบนถนนคดเคี้ยวที่ภูเขาเพื่อเดินทางจากบ้านไปที่ทํางาน บางครั้ง พอถึงโค้งหักศอก จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกหวาดหวั่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ สายตาจ้องมองไปข้างหน้า ด้วยความกลัวว่าการหักเลี้ยวผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทําให้ฉันพุ่งชนราวกั้นหรือพลัดตกเหว ยิ่งฉันวิตกกังวลมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนพวงมาลัยขัดขืนไม่ไปตามมือ แต่ถ้าฉันหยุดคิดมากและแค่ขับไปตามถนน รถจะแล่นไหลผ่านทางโค้งตามธรรมชาติและหัวใจของฉันก็จะผ่อนคลายไปพร้อมกัน

การบำเพ็ญของเราเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ว่าเส้นทางจะยากแค่ไหน ถ้าจิตใจของเราแจ่มชัดและมีสมาธิ เต็มเปี่ยมด้วยฝ่าเพียงอย่างเดียว เราจะสงบนิ่งและคุมสติได้ เพราะเส้นทางที่ท่านอาจารย์ได้จัดวางไว้ให้เรา ไม่ว่ามันจะดูน่ากลัวแค่ไหน มันก็ดีที่สุดอย่างแท้จริง

ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ที่ฉันขอแบ่งปัน โปรดชี้แนะสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณทุกคน

(บทความนี้ได้รับการคัดเลือกจากการประชุมฝ่าที่ซานฟรานซิสโก ปี 2025)