(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต
(ต่อจาก ตอนที่ 9)
“ในเวลานั้นลุงเสียชีวิตแล้วที่บ้านเกิดของข้าพเจ้า หลังจากที่เขาเสียชีวิต ป้าได้สำนึกผิดอย่างจริงใจ และมาพบข้าพเจ้าที่ดรินพร้อมกับของถวายมากมาย เธอทิ้งของหนัก ๆ ไว้ในหมู่บ้านแล้วนำของที่แบกได้ขึ้นไปบนภูเขา เปตาเห็นเธอมาหาก็พูดกับข้าพเจ้าว่า 'พี่ชาย ป้ามาที่นี่ เธอทำให้เราทุกข์ยากมากเหลือเกิน ฉันยอมตายดีกว่าเห็นหน้าเธอ !' เธอวิ่งออกจากถ้ำแล้วดึงสะพานชักที่ขอบหน้าผาขึ้น
“ป้าหยุดที่สะพานแล้วตะโกนเรียก 'หลานสาว อย่าดึงสะพานขึ้นเลย ฉันเป็นป้าของเจ้านะ'
“เปตาตอบว่า 'ฉันรู้ว่าเป็นป้า ฉันถึงได้ยกสะพานขึ้น'
“ป้าพูดว่า 'หลานของป้า ป้าเข้าใจแล้ว ป้าเสียใจจริง ๆ ที่ทำกับเจ้าทั้งสองคนอย่างเลวร้าย ป้าจึงมาที่นี่เพื่อขอโทษโดยเฉพาะ และหวังว่าจะได้พบเจ้าและพี่ชายของเจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นป้าจริง ๆ อย่างน้อยเจ้าช่วยบอกพี่ชายของเจ้าให้หน่อยว่าป้าอยู่ที่นี่”
“ข้าพเจ้าเดินไปนั่งที่ริมหน้าผาและนั่งลง ป้าเห็นข้าพเจ้าจึงคุกเข่าคำนับขอร้องให้ข้าพเจ้ายอมพบเธอ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ถ้าเราไม่ยอมพบเธอ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรทำ แต่จะดีที่สุดถ้าให้เธอสำนึกได้ก่อน’ ข้าพเจ้าจึงพูดกับเธอว่า 'เราได้ตัดความสัมพันธ์กับเครือญาติทั้งหมดของเราแล้ว โดยเฉพาะกับลุงและป้า ป้าทำให้เราทุกข์ทรมานมากมายในอดีต ต่อมาแม้เราออกบิณฑบาตในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม ป้าก้ยังไม่ละเว้นเราเลย และยังทำให้เราเจ็บปวดอย่างมากอีกด้วย นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับป้า'
“เมื่อป้าได้ยินเช่นนั้น เธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอคุกเข่าคำนับข้าพเจ้าหลายครั้งและพูดทั้งน้ำตาว่า 'หลานชาย เจ้าพูดถูกทุกอย่าง โปรดยกโทษให้ป้าด้วย ป้ามาที่นี่ในวันนี้ด้วยความสำนึกผิดอย่างจริงใจ หัวใจของป้าเศร้ามาก ป้าไม่สามารถตัดขาดความรักที่มีต่อญาติได้ ป้าจึงมาที่นี่เพื่อพบเจ้าและน้องสาวของเจ้า โปรดรับป้าเถอะนะ ไม่เช่นนั้นป้าจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้าทั้งสองคน'
“ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจและอยากจะลดสะพานชักลง แต่เปตากระซิบบอกข้าพเจ้าว่าอย่าสนใจเธอ และยกเหตุผลมากมายว่าทำไมเราไม่ควรสนใจเธอ ข้าพเจ้าตอบว่า 'ปกติแล้ว แค่ดื่มน้ำกับคนที่ทำผิดศีลก็ยังอาจนำมาซึ่งปัญหา แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป และไม่เกี่ยวข้องกับการผิดศีลเลย เราเป็นผู้บำเพ็ญและควรพบเธอไม่ว่าอย่างไร' ข้าพเจ้าจึงลดสะพานลงแล้วรอให้ป้าข้ามมา ข้าพเจ้าอธิบายธรรมะเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมให้เธอฟัง
“ใจของป้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและเริ่มปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ปฏิบัติตามคำสอนและเป็นโยคีที่ดีมากจนบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด
เมื่อท่านอาจารย์ที่เคารพเล่าจบแล้ว จือวา โอ ก็พูดกับท่านว่า “เมื่อท่านอาจารย์แสวงหาธรรม ท่านจริงใจมาก เชื่อถือ และเชื่อฟังขณะที่ท่านอดทนต่อความยากลำบาก หลังจากได้รับคำสอนแล้ว ท่านก็ฝึกสมาธิอย่างขยันขันแข็งบนภูเขา แต่พวกเราพิจารณาดูแล้วไม่ใช่สิ่งที่พวกเราบรรลุได้ และพวกเราไม่กล้าบำเพ็ญธรรมะนี้ นั่นก็หมายความว่า พวกเราไม่สามารถหนีความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ พวกเราควรทำอย่างไร” เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ
ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “อย่าสิ้นหวัง ข้าพเจ้าขอบอกเจ้าว่า ถ้าเจ้าคิดถึงความทุกข์ทรมานที่เจ็บปวดของการเวียนว่ายตายเกิดและสามอบายภูมิ [สัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก; สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ขาดปัญญาและวิจารณญาณ อยู่ในความทุกข์ตลอดเวลาโดยไม่มีความหวังที่จะหลุดพ้น จึงเรียกว่าสามอบายภูมิ] ใจที่เพียรพยายามและแสวงหาธรรมย่อมเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ คนที่เชื่อในกฎแห่งกรรมและคนที่มุ่งมั่นจะสามารถฝึกอย่างขยันขันแข็งและอดทนเหมือนข้าพเจ้า นั่นเป็นเพราะการปฏิบัติธรรมนี้ทำให้ยากที่จะหวั่นไหวต่อโลกธรรม 8 หากบุคคลใดไม่มีความศรัทธาในธรรมะและแค่ทราบทฤษฎีบ้าง ก็จะไม่มีประโยชน์เพราะเขาจะไม่สามารถคงไว้ซึ่งความไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม 8 ดังนั้นในการศึกษาธรรมะ ก่อนอื่นต้องเชื่อในกฎแห่งกรรม สำหรับคนที่ไม่เชื่อในผลกรรมจากกฎแห่งกรรม แม้พวกเขาจะพูดถึงคำสอนที่ศักดิ์สิทธิ์และการอนุมาน พวกเขาก็แค่พูดแต่ไม่มีคุณค่าอย่างแท้จริง นี่เป็นเพราะประเด็นเรื่องความว่างเปล่าเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งและยากที่จะอธิบายและทำความเข้าใจ ถ้าใครเข้าใจความว่างเปล่าได้ชัดเจน ก็จะรับรู้ได้ว่าความว่างเปล่าแยกจากกฎแห่งกรรมไม่ได้ นั่นคือความว่างเปล่ามาจากความสัมพันธ์ของกรรมและผลของกรรม เราจึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับการจัดการเรื่องกฎแห่งกรรม รวมถึงการละเว้นการทำความชั่วและทำความดี เราต้องระมัดระวังเรื่องนี้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นธรรมะทั้งหมดจึงมีพื้นฐานเกี่ยวกับความเชื่อในกฎแห่งกรรมและหมั่นทำความดีและละเว้นการทำความชั่ว นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ธรรมะทางพุทธศาสนา”
“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเรื่องความว่างเปล่าในตอนแรก แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างมากในเรื่องกฎแห่งกรรม ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวเองเคยก่อบาปหนักและต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้าย ข้าพเจ้าก็หวาดกลัวมาก ดังนั้นความศรัทธาที่จริงใจของข้าพเจ้าต่อท่านอาจารย์และการปฏิบัติธรรมด้วยความบากบั่นและขยันขันแข็งจึงเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เจ้าควรทำอย่างที่ข้าพเจ้าทำโดยนั่งสมาธิมันตรยานะแต่เพียงลำพังบนภูเขา ถ้าเจ้าสามารถทำได้ ข้าพเจ้ารับรองว่าเจ้าจะบรรลุความหลุดพ้นอย่างแน่นอน”
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านต้องเป็นร่างแปลงของวัชรธาราแน่นอน ท่านปรากฏในโลกมนุษย์นี้และได้สร้างมรดกที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิต หรืออย่างน้อยที่สุด ท่านก็เป็นผู้ได้มรรคผลที่บำเพ็ญธรรมมานับกัลป์ไม่ถ้วน และบรรลุภาวะพระโพธิสัตว์ใหญ่ในขั้นไม่ถอยกลับแล้ว ท่านยอมเสี่ยงชีวิตและร่างกายเพื่อธรรมะและการปฏิบัติธรรมโดยไม่ลังเล ทุกสิ่งที่ท่านทำแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่เหนือธรรมดา การบำเพ็ญตบะและความอดทนที่ท่านอาจารย์ที่เคารพได้แสดงให้เห็นไม่ใช่สิ่งที่ลูกศิษย์ทั่วไปจะสามารถทำได้หรือแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า แม้ว่าพวกเราจะต้องการเรียนรู้ แต่ร่างกายของพวกเราคงไม่สามารถทนได้ ดังนั้นท่านอาจารย์ ท่านต้องเป็นร่างแปลงของพระพุทธหรือโพธิสัตว์แน่ แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถปฎิบัติได้เหมือนท่าน แต่พวกเราทราบว่าสรรพชีวิตที่ได้พบท่านหรือได้ยินธรรมของท่านจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและบรรลุความหลุดพ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ได้โปรดบอกพวกเราได้ไหมว่าท่านเป็นร่างแปลงของพระพุทธหรือพระโพธิสัตว์องค์ใด”
ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นร่างแปลงหรือเปล่า ข้าพเจ้าอาจเป็นร่างแปลงจากสามอบายภูมิมากกว่า ! ถ้ามองว่าข้าพเจ้าเป็นวัชรธารา แน่นอนว่าพวกเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือ หากพวกเจ้ามองว่าเราเป็นร่างแปลง ก็แสดงว่าพวกเจ้ามีศรัทธาอันบริสุทธิ์ต่อเรา แต่มันเป็นทัศนะทางธรรมที่ผิดอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะพวกเจ้ายังไม่เข้าใจความลึกซึ้งของพุทธธรรม”
“ตัวอย่างเช่น เราเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง และได้กระทำความผิดมหันต์ในช่วงครึ่งแรกของชีวิต ด้วยความเชื่อในผลของกรรมจากกฎแห่งกรรม ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งในชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนให้กับการบำเพ็ญ ตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากการบรรลุพุทธภาวะแล้ว สมมุติว่าบุคคลใดได้พบอาจารย์ที่มีคุณสมบัติพร้อม ได้รับคำสอนของท่าน และได้รับแก่นแท้ของมนตราและบทสวดที่ไม่ปนเปื้อนจากการตีความ หากเขาได้รับการอภิเษกอย่างแท้จริงและปฏิบัติตามธรรมะ การบรรลุพุทธภาวะในชีวิตเดียวก็เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างแน่นอน
หากบุคคลใดทำแต่ความผิดและก่อกรรมหนัก 5 ประการตลอดชีวิตของเขา เมื่อสิ้นชีวิต เขาก็จะตกนรกชั่วนิรันดร์ทันที นี่คือผลจากการไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมและไม่ปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียร หากในส่วนลึกของจิตใจของบุคคลใดมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในกฎแห่งกรรม กลัวที่จะต้องทนทุกข์จากชะะตากรรมที่เลวร้าย และแสวงหาพุทธภาวะสูงสุด ทุกคนก็สามารถมีความจริงใจต่ออาจารย์ของตนได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับเรา นั่นคือ ทุกคนสามารถทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่และบรรลุความเข้าใจที่ดีที่สุดได้
“เมื่อเจ้าถามว่าเราเป็นร่างแปลงของพระพุทธหรือพระโพธิสัตว์องค์ใด แสดงว่าเจ้ายังไม่เข้าใจมนตราลับอย่างถ่องแท้ เจ้าควรอ่านชีวประวัติของบรรพชนผู้มีคุณธรรมในอดีตให้มากขึ้น คิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ระลึกถึงความล้ำค่าของร่างกายมนุษย์ และปฏิบัติธรรมอย่างหนักเพราะชีวิตไม่เที่ยง ข้าพเจ้าละทิ้งชื่อเสียง เกียรติยศ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เพื่อเพียรพยายามอย่างหนัก อดทนต่อความเจ็บปวด และบำเพ็ญเพียงลำพังในภูเขาที่ห่างไกลไร้ผู้คน ผลก็คือข้าพเจ้าได้บรรลุถึงบุญกุศลและคุณธรรมของเวทนาและความเข้าใจ ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะปฏิบัติธรรมได้ดีเหมือนเรา”
เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ท่านทำนั้นหาได้ยากและน่าชื่นชมจริง ๆ แต่สิ่งที่ท่านเล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องเศร้า ท่านพอจะเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้คนเบิกบานใจได้ไหม”
ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “เรื่องที่ทำให้เบิกบานใจหรือ นั่นอาจเป็นความสำเร็จจากความเพียรพยายามอย่างหนัก ความช่วยเหลือมนุษย์และอมนุษย์ (อมนุษย์ในทิเบตเรียกว่า Mis ma yin หมายถึงวิญญาณของอมนุษย์ทั้งหมดในโลกิยโลก อสูรและวิญญาณอื่น ๆ รวมเรียกว่าอมนุษย์) รวมถึงความสำเร็จในการเผยแผ่พุทธธรรม”
เรชุงปะถามว่า “ท่านช่วยเหลือมนุษย์หรืออมนุษย์ก่อน”
ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “ในตอนแรก อมนุษย์จำนวนมากมาท้าทายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปราบพวกเขาแล้วช่วยพวกเขาในภายหลัง หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ช่วยเหลือลูกศิษย์ที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก ท้ายที่สุด เซริงมา [หนึ่งในปัญจภคินีแห่งอายุวัฒนะ] มาท้าทายข้าพเจ้าด้วยอิทธิฤทธิ์ของเธอ และข้าพเจ้าได้ช่วยเธอไว้ ในบรรดาอมนุษย์ เซริงมาจะเป็นผู้เผยแผ่คำสอนของข้าพเจ้า ในหมู่มนุษย์ อุปะ ตนปะ (หรือที่รู้จักในชื่อกัมโปพะ) จะเผยแผ่คำสอนของข้าพเจ้า ”
เซปัน เรปะ ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านนั่งสมาธิอยู่ที่ภูเขาหิมะลาปชิ และจูบาร์เป็นหลัก ท่านได้นั่งสมาธิที่อื่นด้วยหรือไม่”
ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “สถานที่ที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิได้แก่ โยลโม คังครา ในเนปาล ซึ่งมีซอง [สถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีโครงสร้างเป็นป้อม] ที่มีชื่อเสียง 6 แห่ง ซองเล็กที่ไม่มีชื่อเสียง 6 แห่ง และซองลับ 6 แห่ง รวมกับซองอื่นอีก 2 แห่ง จึงมีทั้งหมด 20 แห่ง นอกจากนี้ยังมีถ้ำที่มีชื่อเสียง 4 แห่ง ถ้ำที่ไม่มีชื่อเสียง 4 แห่ง และถ้ำเล็กอื่น ๆ ในภูเขาซึ่งมีบุญสัมพันธ์กัน หลังจากปฏิบัติในสถานที่เหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงอาณาจักรเขตแดนที่เรียกว่า 'ไม่มีธรรมะให้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกแล้ว ไม่สามารถปฏิบัติสมาธิต่อไปได้อีกแล้ว’”
เรชุงปะถามว่า “ความเมตตาที่ไม่สิ้นสุดของธรรมชาติแห่งธรรมที่สมบูรณ์ของท่านอาจารย์ทำให้เหล่าสานุศิษย์ได้รู้แจ้งและมีศรัทธาที่มั่นคง พวกเรามีความสุขมากและรู้สึกขอบคุณท่านอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์แก่สรรพชีวิตในอนาคต โปรดบอกชื่อของสถานที่เหล่านี้ทั้งหมดทั้งที่มีชื่อเสียง ไม่มีชื่อเสียง และสถานที่ลับ”
หลังจากท่านอาจารย์ที่เคารพบอกชื่อสถานที่แล้ว ท่านพูดว่า “การปฏิบัติในสถานที่เหล่านี้ พวกเจ้าจะได้รับการเสริมสร้างด้วยบุญสัมพันธ์และพรจากเชื้อสายวงศ์ตระกูล พวกเจ้าควรฝึกสมาธิในสถานที่เหล่านี้”
เมื่อท่านอาจารย์ที่เคารพเล่าเรื่องจบแล้ว ผู้ที่ร่วมการชุมนุมธรรมทุกคนต่างมีศรัทธาในธรรม เต็มใจที่จะละทิ้งโลกมนุษย์ และได้รับหัวใจแห่งความเมตตา พวกเขารังเกียจโลกธรรม 8 และชื่นชมธรรมะที่ถูกต้องอย่างจริงใจ
ศิษย์ทุกคนของท่านอาจารย์ที่เคารพปฏิญาณต่อท่านอาจารย์ว่า พวกเขาจะละทิ้งความปรารถนาทางโลก ปฏิบัติธรรมอย่างขยันขันแข็งตลอดชีวิต และทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต สานุศิษย์ที่เป็นอมนุษย์ก็ปฏิญาณว่าจะปกป้องพุทธธรรมเช่นกัน ในบรรดาผู้เข้าร่วมชุมนุมทางโลก หลายคนที่มีพื้นฐานดีเลิศได้เปลี่ยนมาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ปฏิบัติตามหลักธรรม และสุดท้ายกลายเป็นโยคีผู้เข้าใจสภาวะแห่งความเป็นจริง ผู้ที่มีพื้นฐานปานกลางทุกคนปฏิญาณว่าจะปฏิบัติธรรมเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี ผู้มีพื้นฐานต่ำตัดสินใจที่จะไม่ทำบาปตลอดชีวิตและทำความดีอยู่เสมอ ทุกคนที่ฟังธรรมต่างได้รับประโยชน์ในที่สุด
* * *
ข้างต้นนี้เป็นอัตชีวประวัติของท่านอาจารย์ที่เคารพ ซึ่งท่านเล่าด้วยถ้อยคำของท่านเองแล้วจึงบันทึกโดยสานุศิษย์ของท่าน ความสำเร็จของท่านอาจารย์ตลอดชีวิตของท่านสามารถแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก : หมวดที่ 1 ความท้าทายจากอมนุษย์ ซึ่งท่านอาจารย์ได้ปราบพวกเขาก่อนแล้วจึงช่วยเหลือพวกเขา; หมวดที่ 2 การเปลี่ยนใจและความช่วยเหลือศิษย์เอกของท่านตามเกินจีและความสำเร็จของพวกเขา; และหมวดที่ 3 คือสานุศิษย์ธรรมดา และปุถุชนโลกทั่วไปที่ฟังธรรมแล้วเปลี่ยนแปลงตามคำสอน
หมวดที่ 1 การเปลี่ยนใจและความช่วยเหลืออมนุษย์สามารถสรุปได้ดังนี้ :
ท่านอาจารย์ที่เคารพปราบราชาปีศาจที่ดรักมาร์ จงลุง และสอนธรรมะ 6 วิธีในการระลึกถึงท่านอาจารย์ ตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์มาร์ปะ ต่อมาท่านอาจารย์นั่งสมาธิที่ภูเขาหิมะลาปชิ ซึ่งท่านได้ปราบวิญญาณที่ภูเขามากมายและสอนธรรมะพวกเขา ปีต่อมา ท่านไปที่ซองในลาปชิ และขับร้องบทเพลงที่ยิ่งใหญ่หลายเพลง ต่อมาท่านอาจารย์ได้ไปเยือนริวอ เปลบาร์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างมังยูลและเนปาล จากนั้นท่านก็กลับไปที่กุงทังซึ่งท่านสอนปีศาจหญิงตนหนึ่ง จากนั้นท่านก็ปราบเทพธิดาที่ซองรักมา ชังชุบ ในริวอ เปลบาร์ ที่ซองคยังเพน นัมคาห์ และซองทักพูค เซงเก (ถ้ำสิงโตและเสือ) ในป่า ท่านอาจารย์ที่เคารพได้ช่วยเหลือมนุษย์และอมนุษย์จำนวนมาก หลังจากนั้นท่านอาจารย์ที่เคารพได้กลับไปทิเบตและอาศัยอยู่บนภูเขาที่ห่างไกล ช่วยเหลือสรรพชีวิตด้วยการฝึกสมาธิและการแสดงให้เห็น ในซองที่กุงทัง ท่านได้ขับร้อง “บทเพลงนกพิราบ”
สำหรับหมวดที่ 2 การช่วยเหลือศิษย์เอก ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วน ท่านอาจารย์ที่เคารพอยู่ที่ดราการ์ ทาโซ และช่วยสรรพชีวิตจำนวนมาก วัชราโยกินี (เทพธิดา) ได้วิเคราะห์ปฎิจจสมุปบาท (การเกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย) ของศิษย์ของท่านอาจารย์ และเรชุงปะได้รับคำทำนายพิเศษเกี่ยวกับคำสอนด้วยคำพูดจากฑากินี ท่านอาจารย์พบเรชุงปะซึ่งเป็นบุตรทางธรรมระหว่างทางไปกุงทัง ต่อมาเรชุงปะไปอินเดียเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา และพักอยู่กับท่านจารย์เมื่อกลับมา ท่านอาจารย์ที่เคารพยังได้พบกับเรปา ซังเกีย กยับ ที่ซองชังชุบด้วย ต่อมาท่านอาจารย์ที่เคารพมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกหนแห่ง ตามคำพยากรณ์ของฑากินี ท่านอาจารย์ให้ความช่วยเหลือกับกษัตริย์โคคมซึ่งมอบของถวายบ่อยครั้งในภายหลัง ขณะที่ท่านอาจารย์ที่เคารพอยู่ในนยะนัม ธรรมโพธิเดินทางจากอินเดียมาเยี่ยมท่านและกราบไหว้ท่าน เนื่องจากความสัมพันธ์จากกรรมในอดีตลิขิตไว้ รวมทั้งกรรมสัมพันธ์ที่ลิขิตไว้ในครั้งนี้ ทำให้ท่านอาจารย์มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นอีก ลามะผู้รอบรู้และมีวาทศิลป์คนหนึ่งขอโต้วาที ท่านอาจารย์ปราบเขาโดยใช้อิทธิฤทธิ์ ที่ดริน ท่านอาจารย์ได้พบกับดักโป ลาร์เจ ซึ่งเป็นบุตรทางธรรมที่ดีที่สุดของท่าน และเป็นผู้ได้มรรคผลตามพระสูตรดอกบัวขาวแห่งความเมตตาของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ดักโป ลาร์เจ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘เจ้าชายแสงจันทร์’ ดักโป ลาร์เจ กลับมาเกิดใหม่เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิต เขาปรากฏตัวในรูปของแพทย์ และเป็นที่รู้จักในชื่อกัมโปพะ ที่ชูบาร์ ท่านอาจารย์ที่เคารพได้ช่วยโลตัน เก็นดุน ซึ่งเป็นศัตรูกันในตอนแรก
ตามคำพยากรณ์ของฑากินี ในบรรดาศิษย์ของท่านอาจารย์ มี 25 คนจะบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งรวมถึงศิษย์ผู้เป็นดวงใจ 8 คน ศิษย์ผู้เป็นบุตรชาย 13 คน และศิษย์ที่เป็นธิดา 4 คน การช่วยเหลือพวกเขามีบันทึกไว้ในมิลา กรูบุม (หรือที่รู้จักในชื่อ หนึ่งแสนบทเพลงของมิลาเรปะ (The Hundred Thousand Songs of Milarepa))
หมวดที่ 3 การช่วยเหลือสรรพชีวิตอื่น ๆ มีบทเพลงและเรื่องราวต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น บรรดาสานุศิษย์ได้เชิญท่านอาจารย์ที่เคารพพักอยู่ที่นยะนัม ซึ่งเรชุงปะได้ขอให้มีการบรรยายชีวประวัติของท่านอาจารย์
ด้วยการสำแดงหลากหลาย ท่านอาจารย์หมุนวงล้อแห่งธรรม ด้วยวิธีที่ไม่อาจจินตนาการได้ ท่านได้ช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีความสัมพันธ์ทางกรรมที่ลิขิตไว้ให้บรรลุความสมบูรณ์และหลุดพ้น ผู้ที่มีรากฐานยอดเยี่ยมบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีรากฐานปานกลางได้สร้างหนทางของตน ผู้มีรากฐานต่ำได้พัฒนาจิตใจของตนไปสู่การรู้แจ้งและทำความดี ส่วนที่เหลือก็เผยแผ่ความเมตตาและนิสัยที่ดีงาม สิ่งนี้ทำให้สวรรค์และโลกมนุษย์มีความยินดีปรีดา ด้วยความเมตตาที่ยิ่งใหญ่และความว่างเปล่า ธรรมะส่องสว่างเจิดจ้าดุจแสงตะวันยามกลางวัน ช่วยให้สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนหลุดพ้นจากความทุกข์ในอาณาจักรเขตแดนต่ำและจากข้อจำกัดของการเวียนว่ายตายเกิด ขณะที่สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดที่ไม่สิ้นสุดในทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ธรรมะได้ให้ความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่และความคุ้มครอง พร้อมด้วยบุญกุศล คุณธรรม และความสำเร็จที่ไม่อาจจินตนาการได้
หลังจากบรรลุผลสำเร็จในการทำคุณประโยชน์ให้แก่สรรพชีวิตนับไม่ถ้วน ท่านอาจารย์ที่เคารพได้พบกับเกเช ซักปูวะที่ดริน [เกเชเป็นวุฒิการศึกษาทางพุทธศาสนานิกายทิเบต] ซักปูวะเป็นคนโลภเงินมาก แต่ชาวเมืองดรินนับถือเขาเพราะเขาเป็นปราชญ์ เขาได้รับเชิญไปงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้มีเกียรติเสมอ หลังจากได้พบท่านอาจารย์ที่เคารพ ซักปูวะแสร้งทำท่าทีสุภาพนอบน้อมและศรัทธาที่ภายนอก แต่ในใจอิจฉาริษยา เขาถามคำถามยาก ๆ ในที่สาธารณะหลายครั้ง เพื่อพยายามทำให้ท่านอาจารย์อับอายขายหน้า แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วงปีหนึ่ง ชาวบ้านที่ดรินได้จัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญท่านอาจารย์เป็นแขกผู้มีเกียรติ โดยมีซักปูวะอยู่ในลำดับที่สอง
เมื่อซักปูวะก้มกราบท่านอาจารย์ในที่สาธารณะ เขาคิดว่าท่านอาจารย์จะก้มกราบตอบ แต่โดยปกติท่านอาจารย์ไม่เคยก้มกราบใครนอกจากอาจารย์ของท่าน ดังนั้นท่านจึงไม่ได้กราบตอบ ซักปูวะไม่พอใจมาก คิดว่า "เราเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ ก้มกราบเขาซึ่งไม่รู้อะไรเลย เขาไม่กราบตอบแต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งที่ดีที่สุด นี่มันไร้สาระ เราต้องแก้แค้น" เขาจึงหยิบหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเหตุวิทยา (ศาสตร์แห่งเหตุ) แล้ววางไว้หน้าท่านอาจารย์ และพูดว่า “ท่านช่วยอธิบายหนังสือเล่มนี้ทีละคำ ตอบคำถาม และแสดงสิ่งที่ท่านเข้าใจ พร้อมคำอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่”
ท่านอาจารย์ตอบว่า “ท่านอาจสามารถอธิบายความหมายทางภาษาของบทสนทนาคลาสสิกได้ทีละประโยค แต่สิ่งที่มีความหมายจริง ๆ คือการเอาชนะโลกธรรม 8 และขจัดความทะนงตัวได้ รวมถึงความเข้าใจว่าสังสารวัฏและนิพพานเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงให้ขจัดความยึดติดในธรรม นอกจากนั้น คำสอนเชิงตรรกะและญาณวิทยาที่สอนให้โต้วาทีไม่มีคุณค่าที่แท้จริง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้เรียนรู้หรือไม่รู้จักเรื่องเหล่านี้ หรือข้าพเจ้าอาจเคยเรียนรู้หรือเคยรู้มาก่อนแต่ก็ลืมไปนานแล้ว”
ซักปูวะพูดว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมเช่นท่านสามารถตอบด้วยคำพูดเช่นนั้น แต่พวกเราที่เป็นนักปราชญ์คาดการณ์ตามตรรกะ สิ่งที่ท่านพูดไม่สอดคล้องกับประเด็นหลักของธรรมะ เราก้มกราบท่านเพราะท่านเป็นคนดี...” แล้วเขาก็พูดต่อไปไม่หยุด
ทานบดีได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วรู้สึกไม่พอใจและพูดว่า “เกเช ! ไม่ว่าท่านจะรู้ธรรมะหรือตรรกะมากเพียงใด คนอย่างท่านมีอยู่ทุกแห่งทั่วโลก แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มรูขุมขนแม้เพียง 1 รูขุมขนของท่านอาจารย์ได้ ท่านควรนั่งเงียบ ๆ ในฐานะแขกของเราและคิดวิธีเพิ่มพูนโชคลาภของท่านไปเถิด หยุดทำตัวโง่เขลาในที่ชุมนุมธรรมนี้ลย !”
ซักปูวะโกรธจัด แต่เมื่อเห็นฝูงชนโกรธเคือง เขาก็รู้ว่าเขาไม่มีทางทำสำเร็จ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระงับความเดือดดาลของเขา แม้จะปิดปากเงียบแต่เขายังโกรธเคืองมากและเริ่มวางแผนอย่างเงียบ ๆ ว่า “มิลาเรปะผู้โง่เขลาผู้นี้มีพฤติกรรมบ้า ๆ บอ ๆ พูดจาไร้สาระเหมือนคนละเมอ เขาหลอกลวงสาธารณชนเพื่อของถวายและนำความเสื่อมเสียมาสู่ธรรมะ เราคือเกเชผู้รอบรู้ มีเกียรติ มีทรัพย์สมบัติ แต่ในทางธรรมะทุกคนดูเหมือนจะมองเราแย่กว่าสุนัขเสียอีก นี่มันช่างไร้สาระ เราต้องหาทางจัดการแล้ว”
(มีต่อ)
ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์
หมวดหมู่: วัฒนธรรมดั้งเดิม