(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต
(ต่อจาก ตอนที่ 7)
เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านบำเพ็ญตบะอย่างไร ท่านปฏิบัติธรรมที่ไหน”
มิลาเรปะตอบว่า “เช้าวันต่อมา บุตรชายของครูได้เตรียมถุงแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วไว้ให้ข้าพเจ้าพร้อมกับอาหารดี ๆ ห่อหนึ่งเป็นของถวาย เขาบอกข้าพเจ้าว่า 'นี่สำหรับการปฏิบัติธรรมของคุณ โปรดสัญญาว่าจะไม่ลืมพวกเรา' ข้าพเจ้ารับอาหารแล้วไปนั่งสมาธิในถ้ำบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังของบ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผสมแป้งกับน้ำกินอย่างประหยัด หลังจากผ่านไปนานพอควร ร่างกายของข้าพเจ้าก็เริ่มอ่อนแอ แต่การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ข้าพเจ้าบำเพ็ญอย่างนี้อยู่หลายเดือนและในที่สุดอาหารก็หมด ร่างกายของข้าพเจ้าอ่อนแอมากจนปฏิบัติต่อไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่า 'เราจำเป็นต้องขอเนยจามรีจากฟาร์มและแป้งข้าวบาร์เลย์คั่ว เราจำเป็นต้องรักษาร่างกายนี้ไม่ให้อดตายเพื่อที่เราจะสามารถบำเพ็ญต่อไปได้’
“ข้าพเจ้าลงจากภูเขาไปยังทุ่งหญ้าใกล้ ๆ ข้าพเจ้าเห็นเต็นท์ที่ทำจากขนจามรี ข้าพเจ้ายืนอยู่หน้าเต็นท์และถามว่า 'ทานบดี กรุณามอบเนยให้โยคีหน่อยได้ไหม' ปรากฏว่าเต็นท์นั้นเป็นเต็นท์ของป้าของข้าพเจ้า และเธอจำเสียงของข้าพเจ้าได้ ด้วยความโกรธ เธอจึงปล่อยสุนัขที่ดุร้ายมาจู่โจมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องรีบขว้างก้อนหินใส่สุนัขเพื่อป้องกันตัว ป้าดึงเสาที่ค้ำเต็นท์ที่ทำจากขนจามรีออกมา แล้ววิ่งมาหาข้าพเจ้า เริ่มด่าว่าข้าพเจ้า 'เจ้าคนล้างผลาญ ! ศัตรูของเครือญาติ ! ปีศาจของหมู่บ้าน ! น่าอับอาย ! เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าครอบครัวจะมีลูกชายเช่นเจ้า !' เธอด่าว่าข้าพเจ้าไปเรื่อย ๆ และเหวี่ยงเสาฟาดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มวิ่งหนี แต่ร่างกายของข้าพเจ้าอ่อนแอจากการขาดสารอาหาร ข้าพเจ้าจึงสะดุดก้อนหินและล้มลงไปในลำธารเล็ก ๆ ป้ายังตะโกนด่าต่อและเริ่มใช้เสาตีข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามดิ้นรนและสามารถยืนขึ้นมา ข้าพเจ้าถือไม้เท้าด้วยมือข้างหนึ่งและน้ำตาไหล ข้าพเจ้าเริ่มร้องเพลงให้เธอฟัง
“เด็กสาวที่ออกมากับป้าได้ยินเพลงของข้าพเจ้า เธอกลั้นน้ำตาเพราะความเห็นใจไว้ไม่ได้ ป้ารู้สึกอายจึงกลับเข้าไปในเต็นท์ของเธอ เธอขอให้เด็กสาวนำถุงหนังที่บรรจุเนยและชีสมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าออกจากเต็นท์ของป้าด้วยสภาพเดินกะเผลก และขออาหารต่อไปทีละเต็นท์ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร แต่พวกเขาทุกคนรู้จักข้าพเจ้า เมื่อเห็นข้าพเจ้าเดินมา ทุกคนก็มองมาที่ข้าพเจ้าด้วยความระมัดระวัง และมอบอาหารดี ๆ มากมายให้แก่ข้าพเจ้า พอนึกถึงวิธีที่ป้าปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เกรงว่าลุงจะทำให้ข้าพเจ้าลำบากเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรไปขออาหารจากที่อื่นดีกว่า ข้าพเจ้าจึงนำความคิดในการขออาหารเพิ่มเติมไปยังหมู่บ้านถัดไป
“ใครจะรู้ว่าลุงย้ายมาที่หมู่บ้านนี้เมื่อหลายปีก่อน เพราะบ้านเก่าของลุงพังแล้ว ข้าพเจ้าเดินไปที่ประตูบ้านของเขาโดยไม่ทราบ ลุงเห็นข้าพเจ้าจึงรีบลุกพรวดขึ้น ‘ไอ้สารเลว ! ผลาญสมบัติ ! ข้าแก่มากแล้วและเหลือแค่กระดูกไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แต่เจ้าคือคนเดียวที่ข้ารอคอยมาทั้งชีวิต !' จากนั้นเขาก็หยิบก้อนหินขว้างใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งหนี ลุงรีบกลับบ้านคว้าธนูและลูกธนูออกมา เขาออกมาพร้อมกับตะโกนว่า 'ไอ้คนผลาญสมบัติไร้ยางอาย ! เจ้าทำร้ายหมู่บ้านนี้ยังไม่พอหรือ ! เฮ้เพื่อนบ้านและญาติ ๆ ออกมาเร็ว ! ศัตรูของเราอยู่ที่นี่ !’ เมื่อได้ยินเสียงลุงตะโกน ก็มีหนุ่ม ๆ มากมายออกมาช่วยเขาปาก้อนหินใส่ข้าพเจ้า พวกเขาทั้งหมดได้รับความสูญเสียในอดีตเพราะข้าพเจ้า เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายนี้ ข้าพเจ้ากลัวว่าพวกเขาจะทุบตีข้าพเจ้าจนตาย ข้าพเจ้าจึงแสร้งทำท่าโกรธเกรี้ยวแล้วตะโกนว่า “ท่านอาจารย์และทวยเทพทั้งหลาย ! ผู้บำเพ็ญคนนี้ได้พบกับศัตรูที่หมายเอาชีวิตเขา ! เทพผู้พิทักษ์ โปรดคืนหินเหล่านี้กลับไปด้วยลูกศรสีดำ ! ถึงข้าจะตายแต่เทพผู้พิทักษ์จะไม่ตาย !’
“เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทุกคนก็หวาดกลัวและรีบห้ามลุง บางคนที่เห็นใจข้าพเจ้าก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง พวกที่ขว้างก้อนหินใส่ข้าพเจ้าก็เข้ามาใกล้ ๆ เพื่อขอขมา ทุกคนให้อาหารข้าพเจ้ามากมาย ยกเว้นลุงที่ไม่ยอมประนีประนอมหรือไม่ให้ทานเลย ข้าพเจ้าหยิบอาหารและค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปในถ้ำ เมื่อคิดว่าการที่ข้าพเจ้าอยู่ใกล้หมู่บ้านนี้จะทำให้พวกเขาโกรธและไม่สบายใจ ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าควรรีบออกจากที่นี่เร็ว ๆ นี้ดีหรือไม่
“คืนนั้นข้าพเจ้าฝัน ในฝันมีนิมิตให้อยู่ต่ออีกสองสามวันก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น
“ไม่กี่วันต่อมา ดีเซสก็มาพร้อมกับอาหารและไวน์ชั้นเลิศ เมื่อเธอเห็นข้าพเจ้าก็เข้ามาสวมกอดข้าพเจ้าและเริ่มร้องไห้เสียงดัง ขณะร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอเล่ารายละเอียดว่าแม่เสียชีวิตอย่างไรและน้องสาวต้องเร่ร่อนไปไกลจากบ้านอย่างไร เมื่อได้ยินประสบการณ์ที่โศกเศร้าของพวกเขา ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน
“สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไว้และถามดีเซสว่า 'เจ้ายังไม่แต่งงานหรือ'
“'ผู้คนกลัวเทพผู้พิทักษ์ของท่านและไม่มีใครกล้าแต่งงานกับฉัน ที่จริงแม้จะมีใครอยากแต่งงานกับฉัน ฉันก็ไม่อยากแต่งงาน ! ท่านกำลังปฏิบัติธรรมที่เที่ยงธรรม และนั่นมันอัศจรรย์มาก'
“ดีเซสหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วถามข้าพเจ้าว่า 'ท่านมีแผนเกี่ยวกับบ้านและที่ดินของท่านหรือไม่'
“ข้าพเจ้ารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า 'เราสละชีวิตทางโลกนี้และสละครอบครัวเพื่อปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องได้เพราะความเมตตาของท่านอาจารย์มาร์ปะโดยสิ้นเชิง ดีเซสจำเป็นต้องมีความเข้าใจในทางบวกเกี่ยวกับธรรมะของพุทธศาสนา นี่จะดีที่สุดสำหรับเธอ เธอต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะจัดการกับเรื่องทางโลกเหล่านี้อย่างไร เราควรจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้เธอฟังอย่างชัดเจน'
“ข้าพเจ้าบอกเธอว่า 'ถ้าเจ้าพบเปตาน้องสาวของเรา โปรดมอบบ้านและที่ดินทั้งหมดให้เธอด้วย ก่อนหน้านั้น เจ้าสามารถใช้ทรัพย์สินของครอบครัวเหล่านี้ได้ตามสบาย แต่ถ้าได้รับการยืนยันว่าเปตาเสียชีวิตแล้ว เราขอมอบบ้านและที่ดินให้กับเจ้า’
“'ท่านไม่ต้องการพวกมันหรือ’
“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘เราเป็นผู้บำเพ็ญพรต จะต้องอยู่อย่างหนูหรือนก ที่ดินจึงไม่มีประโยชน์สำหรับเรา แม้เราจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้ เราก็ไม่สามารถนำสิ่งใดติดตัวไปเมื่อเสียชีวิตได้ ถ้าเราละทิ้งทุกสิ่งในขณะนี้ เราจะมีความสุขในอนาคตและมีความสุขในขณะนี้ด้วย สิ่งที่เรากระทำน้ันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนทางโลกกระทำ ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป โปรดอย่าถือว่าเราเหมือนกับคนธรรมดาสามัญอีกต่อไป'
“เธอพูดว่า 'เช่นนั้นท่านไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมคนอื่น ๆ หรือเปล่า'
“‘ถ้าบุคคลใดเรียนธรรมะเพื่อต้องการมีชื่อเสียง เขาจะสอนคัมภีร์และอธิบายธรรมะ เขาจะดีใจเมื่อนิกายของเขาได้รับชัยชนะ และยินดีเมื่อนิกายอื่นพ่ายแพ้ นั่นคือ เขาเพียงแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น พวกเขาเพียงแต่นุ่งห่มเหลืองและอ้างว่าศึกษาธรรมะเท่านั้น เราไม่ยอมรับคนแบบนั้น ในทางกลับกัน หากเจตนาของบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์และจริงใจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในนิกายใด เขาก็มุ่งสู่โพธิ และเราไม่ต่อต้านเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเราไม่ยอมรับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์โดยพื้นฐาน’
“ดีเซสพูดว่า ‘ฉันไม่เคยพบหรือได้ยินว่ามีใครที่ยากจนและดูซอมซ่อเหมือนท่านที่ร่ำเรียนธรรมะ ท่านกำลังฝึกมหายานสาขาใดหรือ’
“'นี่เป็นหนทางที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบรรดาวิธีการทั้งหมด นั่นคือการละทิ้งโลกธรรม 8 ประการ และบรรลุพุทธภาวะได้ในชีวิตเดียว'
“'คำพูดและการกระทำของท่านแตกต่างจากอาจารย์คนอื่น ๆ ทั้งหมด ดูเหมือนว่าหนึ่งในสองวิธีปฏิบัตินี้จะต้องผิด สมมติว่าเป็นธรรมะทั้งคู่ ฉันก็ยังชอบธรรมะของพวกเขามากกว่า’
“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘เราไม่ชอบอาจารย์เหล่านั้นที่พวกเจ้าชาวโลกชอบ เนื้อหาธรรมะของพวกเขาก็เหมือนกับของเรา แต่หากผู้ใดสวมจีวรสีเหลืองและยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยโลกธรรม 8 ประการ ก็จะไร้ความหมายโดยพื้นฐาน แม้บุคคลนี้จะไม่ถูกขับเคลื่อนด้วยลมแห่งโลกธรรม 8 ประการ แต่เวลาที่ต้องใช้เพื่อบรรลุพุทธภาวะนั้นจะแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เจ้าอาจไม่เข้าใจประเด็นนี้ สรุปคือถ้าเจ้าตั้งใจแน่วแน่ ก็จะดีที่สุดถ้าเจ้าจะพยายามปฏิบัติธรรม หากเจ้าทำไม่ได้ เจ้าควรไปดูแลที่ดินและบ้าน’
“ดีเซสพูดว่า 'ฉันไม่ต้องการบ้านและที่ดินของท่าน ท่านมอบบ้านและที่ดินให้น้องสาวของท่านเถิด ฉันจะปฏิบัติธรรม แต่ฉันไม่สามารถปฏิบัติตามวิธีบำเพ็ญของท่าน’ พูดจบแล้วเธอก็ออกไป
“หลายวันต่อมา ป้าได้ยินว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการบ้านและที่ดินแล้ว เธอประหลาดใจและคิดว่า 'แม้เขาจะบอกว่าเขาปฏิบัติตามคำพูดของอาจารย์และไม่ต้องการทรัพย์สิน แต่ฉันต้องการไปดูว่ามันจริงหรือเปล่า' เธอจึงมาหาข้าพเจ้าพร้อมอาหารและไวน์ เมื่อเธอเห็นข้าพเจ้า เธอพูดว่า 'หลานชาย เมื่อสองสามวันก่อนป้าผิดไปแล้ว เจ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม โปรดอดทนและให้อภัยป้าด้วย ป้าอยากจะเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าและจ่ายค่าเช่าให้เจ้าทุกเดือน ถ้าที่ดินของเจ้าถูกปล่อยให้แห้งแล้งก็น่าเสียดาย เจ้าคิดอย่างไร'
“ข้าพเจ้าพูดว่า 'เยี่ยมมาก ! เราต้องการแป้งธัญพืชเพียง 1 คาล (ประมาณ 25 ถึง 30 ปอนด์) ทุกเดือน ป้าเก็บส่วนที่เหลือไว้ได้เลย’ ป้าออกไปอย่างมีความสุขและพึงพอใจ
“2 เดือนต่อมา ป้ากลับมาและพูดกับข้าพเจ้าว่า 'ทุกคนบอกว่าถ้ามีคนเพาะปลูกในที่ดินของเจ้า เทพผู้พิทักษ์ของเจ้าจะโกรธและร่ายคาถา โปรดอย่าร่ายคาถาอีกนะ !'
“ข้าพเจ้าตอบว่า 'ทำไมเราต้องร่ายคาถา ป้ามีคุณธรรม ดังนั้นโปรดอย่ากังวล แค่ไปเพาะปลูกในไร่นาแล้วนำอาหารมาให้เราก็พอ'
“เธอพูดว่า 'ถ้าเป็นเช่นนั้น ป้าก็มั่นใจ เจ้าสัญญาได้ไหม’
“ข้าพเจ้าคิดว่า 'ทำไมเธอถึงอยากให้เราทำอย่างนั้น แม้ว่าเธอจะมีเจตนาไม่ดี แต่เงื่อนไขที่เป็นลบอาจกลายเป็นเรื่องที่น่าพอใจก็ได้’ ข้าพเจ้าจึงให้สัญญา แล้วเธอก็จากไปด้วยความเบิกบาน
“ข้าพเจ้าบำเพ็ญเพียรต่อในถ้ำ แม้ว่าข้าพเจ้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้รับคุณธรรมแห่งความร้อนภายใน ขณะที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไร คืนนั้นข้าพเจ้าก็ฝัน ในความฝันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวเองกำลังเพาะปลูกบนผืนดินที่แข็งมาก มันยากที่จะขุดไม่ว่าข้าพเจ้าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะยอมแพ้ ท่านอาจารย์มาร์ปะก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า 'ลูกเอ๋ย ! จงพากเพียรในการไถต่อไป ! ตราบใดที่เจ้าก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน เจ้าก็จะประสบความสำเร็จ’ หลังจากพูดจบ อาจารย์มาร์ปะก็ไถข้างหน้า ข้าพเจ้าไถอยู่ข้างหลัง ต่อมาทุ่งนาก็เต็มไปด้วยต้นกล้าที่แข็งแรง
“ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาและมีความสุขมาก แต่เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ให้มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่าความฝันเป็นเพียงการแสดงออกของนิสัยของข้าพเจ้า แม้แต่คนธรรมดาในโลกก็อาจไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าข้าพเจ้าดีใจเพราะความฝัน มันก็จะโง่เกินไปหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง และข้าพเจ้าจะได้รับบุญกุศลอย่างแน่นอนถ้าข้าพเจ้ายังคงพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้า
“ในเวลานั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะไปปฏิบัติในถ้ำดราการ์ ทาโซ (ถ้ำหินขาวฟันม้า) พอดี ตอนนั้นป้ามาเยี่ยมข้าพเจ้าพร้อมแป้งข้าวบาร์เลย์คั่ว 3 โต่ว (โต่วละประมาณ 10 ลิตร) เสื้อโคตเก่า ๆ 1 ตัว ผ้า 1 ผืน และเนยและไขมัน 1 ก้อน เธอพูดกับข้าพเจ้าด้วยความขุ่นเคืองว่า 'สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าจะได้จากการขายที่ดิน โปรดรับของเหล่านี้แล้วไปยังสถานที่ห่างไกลที่ป้าจะไม่ได้ยินหรือเห็นเจ้าอีก เพราะชาวบ้านทุกคนพูดว่า 'โตปากะทำร้ายหมู่บ้านของเราอย่างหนัก ตอนนี้คุณเรียกเขากลับมา เขาอาจจะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านก็ได้ ถ้าคุณไม่ขับไล่เขาออกไป เราจะฆ่าทั้งคุณและเขา !' ป้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกเจ้าโดยเฉพาะ ได้โปรด จะดีที่สุดถ้าเจ้าไปยังสถานที่ห่างไกล สมมุติว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่ พวกเขาอาจจะไม่ฆ่าป้า แต่พวกเขาจะฆ่าเจ้าแน่นอน'
“ข้าพเจ้ารู้ว่าชาวบ้านจะไม่พูดอะไรเช่นนั้น หากข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าคงไม่ยอมให้เธอยึดที่ดินด้วยการสาบานกับเธอก่อนหน้านี้ แม้ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะไม่ร่ายคาถา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะยึดครองที่ดินของข้าพเจ้าด้วยการหลอกลวงเช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้และบอกป้าว่า 'เราเป็นผู้บำเพ็ญ และสิ่งสำคัญสำหรับผู้บำเพ็ญคือต้องอดทนต่อความอัปยศอดสู ถ้าหากผู้ใดไม่สามารถอดทนความยากลำบากได้ จะเรียกว่าเป็นการอดทนต่อความอัปยศอดสูได้อย่างไร หากเราต้องตายคืนนี้ ไม่เพียงแต่ที่ดินผืนนี้เท่านั้น แต่ทุกสิ่งในโลกนี้จะไร้ประโยชน์สำหรับเรา การอดทนต่อความอัปยศอดสูเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม และป้าคือคู่ต่อสู้ของเราเพื่อบำเพ็ญความอดทนต่อความอัปยศอดสู เหตุผลที่เราได้พบธรรมะที่ถูกต้องก็เพราะความช่วยเหลือของลุงกับป้าเช่นกัน เพื่อตอบแทนบุญคุณของป้า เราขอสาบานว่า เราหวังว่าท่านทั้งสองจะบรรลุพุทธภาวะในอนาคต เราไม่เพียงแต่ไม่ต้องการที่ดินเท่านั้น เรายังจะยกบ้านให้แก่ป้าด้วย' จากนั้นข้าพเจ้าก็ร้องเพลง :
‘อาศัยพระคุณของท่านอาจารย์ เราอาศัยอยู่บนภูเขาอย่างอิสระและไร้พันธนาการ;
บุญและกรรมของศิษย์ ท่านอาจารย์ล่วงรู้ทั้งหมด
‘มนุษย์โลกถูกกรรมดึงรั้ง ไม่อาจหลีกหนีจากการเวียนว่ายตายเกิด;
หากโลภในเรื่องทางโลก ย่อมไร้ซึ่งความหวังเพราะจิตวิญญาณสูญสิ้น
‘มนุษย์โลกยุ่งอยู่กับการก่อกรรม นำไปสู่ความทุกข์ในภพภูมิต่ำ;
ความโลภและความหลงใหล นำไปสู่เพลิงไฟร้อนแรง
‘แสวงหาทรัพย์สินและความมั่งคั่ง ความขัดแย้งมักเกิดขึ้นสร้างศัตรู;
เหล้าองุ่นดีเสมือนยาพิษ ผู้ดื่มยากที่จะหลุดพ้น
‘ป้าของข้าชอบเงินมาก โลภในการสะสมทรัพย์ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย;
ตระหนี่ในทรัพย์สมบัติทางโลก สุดท้ายอาจจบลงด้วยผีหิวโหย
'สิ่งที่ป้าพูด ส่วนใหญ่เป็นการซุบซิบนินทา;
ยิ่งพูดเช่นนี้มากขึ้น ยิ่งทำร้ายตนเองจริง ๆ ...
'บ้านและที่ดินทั้งหมดของข้า มอบให้ป้า;
ข้าเรียนธรรมะด้วยใจบริสุทธิ์ จะได้บรรลุพุทธภาวะ
'ช่วยผู้ที่อยู่ในทุกข์ให้รอดพ้น เพราะความลำบากมาจากกรรมเกี่ยวข้อง;
ข้าก้าวหน้าขึ้นไปดังผู้ปฏิบัติธรรม ด้วยธรรมชาติแท้จริงไม่หวั่นไหว
'ด้วยความเมตตา ข้าสวดภาวนาขอการสนับสนุนจากอาจารย์;
เสรีและไร้พันธนาการ ข้าอยู่บนภูเขาที่นี่'
“ป้าได้ยินเพลงของข้าพเจ้าและพูดเพียงว่า 'หลานชาย คนอย่างเจ้าคือผู้บำเพ็ญที่แท้จริง !' แล้วเธอก็ลงจากภูเขาด้วยความพอใจและมีความสุข
“หลังจากถูกกวนใจด้วยเรื่องเหล่านี้ ความรังเกียจและความปรารถนาที่จะละทิ้งโลกมนุษย์นี้ก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการยกบ้านและที่ดินแทบไม่มีความหมายกับข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปดราการ์ ทาโซ ทันทีเพื่อทำสมาธิ ถ้ำนี้เป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติธรรมจนสำเร็จบริบูรณ์ ต่อมาทุกคนเรียกถ้ำนี้ว่า 'ถ้ำหน้าผาปฐมบท'
“วันต่อมา ข้าพเจ้านำสิ่งของที่ได้รับจากการขายที่ดิน พร้อมด้วยข้าวของส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักพกติดตัวเป็นปกติ และเดินไปที่ดราการ์ ทาโซ ในตอนเช้าตรู่ ก่อนที่ทุกคนจะตื่น ดราการ์ ทาโซ เป็นถ้ำหน้าผาที่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ หลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าก็ปูผ้าสักหลาดแข็ง ๆ 1 ผืน แล้วปูเสื่อผืนเล็ก ๆ บนผ้าสักหลาดไว้เป็นที่นั่งทำสมาธิ หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ร้องเพลงคำปฏิญาณ :
“ก่อนบรรลุพุทธภาวะ ข้าขอปฏิญาณว่าจะอยู่ที่นี่;
ไม่ว่าจะหนาวหรือหิว ข้าจะไม่ออกไปหาเสื้อผ้าหรืออาหาร
‘ถ้าเจ็บป่วย ข้าจะไม่ลงไปรักษา;
ยอมทนทุกข์ข้าจะเสี่ยงชีวิต ดีกว่าเดินลงภูเขาไปหายา
‘แม้เพียงชั่วขณะเดียว จะไม่หาประโยชน์ทางโลกเพื่อร่างกายนี้;
มีเพียงผ่านกาย วาจา ใจ ที่จะมุ่งสู่โพธิญาณอันยิ่งใหญ่
‘ข้าขอสวดภาวนาอย่างจริงใจต่ออาจารย์ และพระพุทธเจ้าทั้งหมดในทศทิศ;
โปรดประทานการสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ เพื่อให้คำปฏิญาณนี้ไม่ถูกละเมิด
'ข้าขออธิษฐานอย่างจริงใจต่อฑากินีทั้งหมด พร้อมกับเหล่าเทพผู้พิทักษ์;
โปรดช่วยข้าตามวาสนาที่ลิขิตไว้ ให้คำปฏิญาณนี้เป็นชะตาชีวิตสุดท้ายที่สูงสุดของข้า'
“จากนั้นข้าพเจ้าก็ปฏิญาณว่า 'ก่อนที่เราจะบำเพ็ญสำเร็จบริบูรณ์และตรัสรู้ ข้าพเจ้าจะไม่ลงจากภูเขาเพื่อหาอาหารแม้ว่าจะอดตาย เราจะไม่ลงจากภูเขาเพื่อหาเสื้อผ้าแม้ว่าข้าพเจ้าจะตายเพราะความหนาว ข้าพเจ้าจะไม่ลงจากภูเขาไปหายาแม้ว่าจะเสียชีวิตเพราะความเจ็บป่วย ข้าพเจ้าแน่วแน่ว่าจะละทิ้งทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี้และโลกมนุษย์ ร่างกาย วาจา และใจของข้าพเจ้ามั่นคงแน่วแน่ มุ่งสู่การบรรลุพุทธภาวะเพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้าหวังว่าท่านอาจารย์ ฑากินี และเทพผู้พิทักษ์จะช่วยให้ข้าพเจ้าบรรลุเป้าหมายนี้ หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนคำปฏิญาณนี้ ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่ารักษาร่างกายมนุษย์ที่ไม่บำเพ็ญธรรมที่ถูกต้อง ดังนั้นหากข้าพเจ้าละเมิดคำปฏิญาณนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าพระพุทธเจ้าและเทพผู้พิทักษ์จะปลิดชีวิตข้าพเจ้าในทันที หลังจากข้าพเจ้าเสียชีวิต ข้าพเจ้าขออธิษฐานให้อาจารย์ช่วยให้ข้าพเจ้าได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ที่สามารถปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง’
“หลังจากให้ปฏิญาณแล้ว ข้าพเจ้าก็กินเพียงแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วเพียงเล็กน้อยทุกวัน ข้าพเจ้าบำเพ็ญพรตวันแล้ววันเล่าไม่หยุดหย่อน
“แม้จะได้รับการสนับสนุนจากการทำมหามุทราสมาธิ แต่กำลังทางร่างกายของข้าพเจ้าก็ไม่เพียงพอเนื่องจากขาดอาหาร พลังงานและลมหายใจของข้าพเจ้าไม่ประสานกัน ส่งผลให้ข้าพเจ้าไม่สามารถสร้างความร้อนภายในได้และรู้สึกหนาวมาก ข้าพเจ้าจึงสวดอธิษฐานขอให้ท่านอาจารย์ช่วย คืนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกสว่างไสว ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะเห็นท่านอาจารย์มาร์ปะในพิธีบูชาที่รายล้อมไปด้วยสตรีจำนวนมาก คนหนึ่งถามว่า 'มิลาเรปะควรทำอย่างไรถ้าเขาไม่สามารถสร้างความร้อนภายในได้' ท่านอาจารย์มารปะตอบว่า 'เขาควรปฏิบัติวิธีนี้วิธีนั้น' แล้วท่านก็สาธิตท่านั่งสมาธิแบบพิเศษหนึ่งท่า เมื่อตื่นนอน ข้าพเจ้าก็ทำตามคำสอนของท่าน โดยทำหกมุทราแห่งเตาไฟ (ท่านั่งแบบพิเศษชนิดหนึ่ง) หลังจากปรับพลังงาน ควบคุมการหายใจ และระงับความคิดฟุ้งซ่าน จิตใจของข้าพเจ้าก็ผ่อนคลาย และความร้อนภายในก็ก่อเกิดขึ้นมา
“หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ข้าพเจ้าคิดจะออกไปเดินเล่นและเยี่ยมชมหมู่บ้าน ขณะที่กำลังจะออกไป ข้าพเจ้าก็นึกถึงคำปฏิญาณที่ทำไว้ก่อนหน้านี้
“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงให้กำลังใจตัวเองและมุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญต่อไปอย่างขยันขันแข็ง ไม่หยุดพัก ทั้งกลางวันกลางคืน ข้าพเจ้าค่อย ๆ ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยวิธีนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 3 ปี
“แม้ว่าข้าพเจ้าจะบริโภคแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วเพียง 1 คาลต่อปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มันก็ค่อย ๆ ลดลง จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินอีก และข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าทำแบบนี้ต่อไป ข้าพเจ้าคงอดตายแน่ ข้าพเจ้าคิดว่าผู้คนในโลกแสวงหาเงินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยร่างกายมนุษย์อันล้ำค่านี้ พวกเขายินดีกับการได้เพียงเล็กน้อย และหงุดหงิดกับการสูญเสียเพียงเล็กน้อย พวกเขาน่าสงสารมาก แม้แต่ทองคำในสามพันโลกก็เทียบไม่ได้กับการบรรลุพุทธภาวะ ถ้าข้าพเจ้าไม่สามารถประสบความสำเร็จและสูญเสียร่างกายมนุษย์นี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ มันก็จะน่าเสียดายจริง ๆ ดังนั้นข้าพเจ้าควรออกไปหาอาหารสักเล็กน้อยเพื่อประคองชีวิตต่อไปหรือไม่ แล้วข้าพเจ้าก็นึกถึงคำปฏิญาณที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าควรลงจากภูเขาหรือไม่ หลังจากทบทวนกลับไปกลับมา ข้าพเจ้าก็รู้ว่าการออกไปข้างนอกตอนนี้ไม่ใช่เพื่อการพักผ่อน แต่เป็นการหาอาหารเพื่อบำเพ็ญตนเอง ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นการละเมิดคำปฏิญาณ แต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าควรทำ ข้าพเจ้าจึงเดินออกจากดราการ์ ทาโซ เพื่อหาอาหารมาปฏิบัติธรรม
“สถานที่นั้นเป็นทุ่งกว้างที่ข้าพเจ้ามองเห็นได้ไกลมาก แสงแดดอบอุ่น มีลำธารใส และทุกที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มและพืชตระกูลตำแยสีเขียว เมื่อเห็นเช่นนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขมาก และคิดว่า 'ตอนนี้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินพืชตระกูลตำแย และไม่ต้องลงจากเขาเพื่อหาอาหารอีกต่อไป' นับแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ดำรงชีวิตอย่างอัตคัดด้วยการกินพืชตระกูลตำแย และบำเพ็ญต่อไป
“หลังจากเวลาผ่านไปนาน เสื้อผ้าที่ข้าพเจ้ามีก็ทรุดโทรมจนไม่เหลือชิ้นดี เพราะข้าพเจ้ากินแต่พืชตระกูลตำแยเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงผอมแห้ง เส้นผมและรูขุมขนของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว
“เมื่อคิดถึงจดหมายจากท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าก็วางมันลงบนศีรษะ รู้สึกมีความสุขมาก แม้ไม่มีอะไรกินแต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีความสุขและภูมิใจ ราวกับเพิ่งได้กินอาหารอร่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นและพึงพอใจมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะเปิดจดหมายอ่าน แต่มีลางบอกเหตุว่ายังไม่ถึงเวลา ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เปิดอ่าน ด้วยวิธีนี้ อีกหนึ่งปีก็ผ่านไป
“วันหนึ่ง นายพรานกลุ่มหนึ่งมาพร้อมกับสุนัขล่าสัตว์ พวกเขาไม่พบเหยื่อ และบังเอิญเดินเข้าไปที่ปากถ้ำของข้าพเจ้า เมื่อเห็นข้าพเจ้า พวกเขาตกใจและตะโกนว่า 'เจ้าเป็นคนหรือผี'
“ข้าพเจ้าตอบว่า 'ข้าเป็นคน ข้าเป็นมนุษย์ที่กำลังบำเพ็ญธรรม’
“'ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้ ทำไมร่างกายของเจ้าถึงเป็นสีเขียวไปหมด’ หนึ่งในนั้นถาม
“'ข้ากินพืชตระกูลตำแยมานานแล้ว เราจึงกลายเป็นแบบนี้'
“'อาหารสำหรับบำเพ็ญธรรมของเจ้าอยู่ที่ไหน ขอยืมอาหารของเจ้ามากินหน่อย แล้วเราจะคืนเงินให้เจ้าในภายหลัง ถ้าเจ้าไม่ให้อาหารเรา เราจะฆ่าเจ้า !' พวกเขามองไปทั่วทั้งถ้ำและข่มขู่ข้าพเจ้าอย่างโหดเหี้ยม
“ข้าไม่มีอะไรเลยนอกจากพืชตระกูลตำแย ถ้าข้ามี ข้าจะไม่ซ่อน เพราะข้าเชื่อว่าผู้คนให้อาหารแก่ผู้บำเพ็ญเพื่อเป็นของถวาย แต่พวกเขาจะไม่ปล้นอาหารของผู้บำเพ็ญอย่างแน่นอน'
“นายพรานคนหนึ่งถามว่า 'การมอบของถวายแก่ผู้บำเพ็ญมีประโยชน์อะไร'
“'การมอบของถวายแก่ผู้บำเพ็ญจะนำบุญกุศลมาให้เจ้า' ข้าพเจ้าตอบ
“เขาหัวเราะแล้วพูดว่า 'เอาล่ะ เยี่ยม ! เราจะมามอบของถวายแก่ท่าน !' เขายกตัวข้าพเจ้าขึ้นจากที่นั่งแล้วโยนข้าพเจ้าลงไปที่พื้น จากนั้นเขาก็ยกข้าพเจ้าขึ้นมาอีกครั้งและปล่อยข้าพเจ้าให้ตกลงอีกครั้ง การยกตัวขึ้นแล้วปล่อยให้ตกลงแบบนี้ ร่างกายที่ผอมแห้งและอ่อนแอของข้าพเจ้าย่อมทนไม่ไหวอย่างแน่นอน และมันเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ข้าพเจ้าอับอายเช่นนี้ แต่ในใจของข้าพเจ้ากลับเกิดความเมตตาต่อพวกเขา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสารมาก จนข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“นายพรานอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และไม่ได้ดูถูกข้าพเจ้าหรือจับข้าพเจ้าโยน พูดขึ้นว่า 'เฮ้ ! อย่าทำอย่างนั้น เขาเป็นผู้บำเพ็ญพรตจริง ๆ ถ้าแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ แต่การรังแกคนผอมแห้งเช่นนี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นวีรบุรุษขึ้นมา และท้องของเราก็ไม่ได้หิวเพราะเขา หยุดทำสิ่งที่ไร้เหตุผลเถอะ !' จากนั้นเขาก็พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘โยคี เราชื่นชมท่านจริง ๆ และจะไม่รบกวนท่าน โปรดปกป้องและให้พรเราด้วย' นายพรานที่รังแกข้าพเจ้าพูดว่า 'ข้าได้มอบของถวายแก่เจ้าแล้ว ทั้งยกขึ้นและโยนลง เจ้าก็ควรให้พรเราด้วยสิ !’ เขาหัวเราะแล้วออกไป
“ข้าพเจ้าไม่ได้ร่ายคาถาใส่พวกเขา บางทีอาจเป็นการลงโทษจากพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือผลกรรมจากการกระทำชั่วของพวกเขาเอง ข้าพเจ้าได้ยินว่า หลังจากนั้นไม่นานผู้พิพากษาได้ตัดสินประหารชีวิตนายพรานคนนั้น นอกจากนายพรานที่บอกคนอื่นว่าอย่ารังแกข้าพเจ้า คนอื่นที่เหลือทุกคนได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง”
(มีต่อ)
ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์
หมวดหมู่: วัฒนธรรมดั้งเดิม