(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 8)

“ผ่านไปอีกหนึ่งปี เสื้อผ้าทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีชำรุดทรุดโทรมหมด แม้แต่เสื้อโคตหนังที่ป้าให้มาตอนขายที่ดินก็เหมือนผิวของศพ ข้าพเจ้าคิดจะเย็บมันเข้าด้วยกันเพื่อทำเบาะรองนั่ง แต่แล้วข้าพเจ้าก็คิดว่าชีวิตมนุษย์ไม่จีรังและคาดเดาไม่ได้ ข้าพเจ้าอาจตายคืนนี้ก็เป็นได้ ดังนั้นข้าพเจ้าควรใช้เวลากับการฝึกสมาธิดีกว่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเอาเสื้อผ้าเก่ามาปูรองนั่ง แล้วคลุมร่างกายท่อนล่างของข้าพเจ้าด้วยบางสิ่ง และเอากระสอบแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วที่ขาดรุ่งริ่งมาคลุมท่อนบนของข้าพเจ้า โดยใช้ผ้าขาดรุ่งริ่งคลุมส่วนที่จำเป็นของร่างกาย แต่เศษผ้านั้นขาดรุ่งริ่งและเก่าเกินไปจนใช้ไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าจะชุนมันได้ แต่ไม่มีเข็มหรือด้าย ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทำเชือกจากต้นทีเซล (Teasel) เพื่อผูกผ้าทั้งสามชิ้นนี้เข้าไว้ด้วยกัน โดยผูกมันไว้รอบลำตัวท่อนบนและเอวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปกปิดร่างกายส่วนล่างเพียงน้อยนิด ด้วยวิธีนี้ข้าพเจ้าจึงพอจะอยู่ที่นั่นต่อไปได้ ข้าพเจ้าใช้เสื้อโคตหนังและเสื่อขาด ๆ เพื่อห่มกันหนาวเวลากลางคืน ข้าพเจ้านั่งสมาธิทุกวัน แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีเช่นนี้

“วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังและเห็นคนจำนวนมากกำลังมาที่ถ้ำ เมื่อพวกเขามองเข้าไปในถ้ำและเห็นกองสีเขียวที่มีรูปร่างเหมือนคน พวกเขาตกใจกลัวและกรีดร้องว่า 'ผี ! ผี !' พวกเขาหันกลับและวิ่งไปโดยไม่หันกลับมามอง พวกคนที่ตามพวกเขามาไม่เชื่อและพูดว่า 'กลางวันแสก ๆ จะมีผีได้อย่างไร คุณเห็นชัดหรือเปล่า ไปดูกันเถอะ' พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ มองเข้าไปข้างใน แล้วรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า 'เราไม่ใช่ผี เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งนี้’ จากนั้นข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องของตนเองให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด

“ในตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อข้าพเจ้า หลังจากตรวจดูถ้ำอย่างละเอียดแล้วไม่พบอะไรเลยนอกจากเนตเทิล (พืชตระกูลตำแย) พวกเขาก็เชื่อข้าพเจ้าและมอบแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วกับเนื้อให้ข้าพเจ้าจำนวนมาก พวกเขาบอกข้าพเจ้าว่า 'พวกเราชื่นชมผู้บำเพ็ญอย่างท่านจริง ๆ โปรดช่วยดวงวิญญาณของสัตว์ที่เราฆ่าให้พบความสงบสุขและขจัดบาปกรรมของพวกเราด้วย’ พวกเขาก้มกราบข้าพเจ้าอย่างจริงใจและจากไป

“นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ข้าพเจ้าได้รับอาหารที่ปรุงโดยมนุษย์ และข้าพเจ้าเบิกบานใจมาก ข้าพเจ้าปรุงเนื้อและกิน ร่างกายของข้าพเจ้ารู้สึกสบายขึ้นมาทันที สุขภาพของข้าพเจ้าดีขึ้น สติปัญญาของข้าพเจ้าก็เพิ่มพูน และความเข้าใจในธรรมก็ลึกซึ้งและกว้างขวางขึ้น ความสุขจากความว่างเปล่าที่ข้าพเจ้ารู้สึกก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเช่นกัน ข้าพเจ้าคิดว่า 'ถ้าใครให้อาหารชามหนึ่งแก่ผู้บำเพ็ญที่แท้จริง บุญกุศลที่เขาจะได้รับยิ่งใหญ่กว่าการให้ทรัพย์สมบัติมากมายแก่อาจารย์ที่ใช้ชีวิตเหมือนเจ้าชายในโลกิยโลก คนจำนวนมากช่วยเหลือคนรวยโดยไม่จำเป็น ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ขัดสนอย่างแท้จริง น่าเสียดายยิ่งนัก !'

“ข้าพเจ้ากินแป้งและเนื้ออย่างประหยัดมาก เวลาผ่านไปสักพัก เนื้อที่เหลือก็เต็มไปด้วยหนอน ข้าพเจ้ากำลังจะเอาหนอนออกไปเพื่อกินเนื้อ แต่เมื่อคิดทบทวนแล้ว ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่าการทำเช่นนี้ขัดกับศีลของพระโพธิสัตว์ เพราะไม่ควรเอาอาหารของหนอนมาเป็นของตัวเอง ข้าพเจ้าจึงกินเนตเทิลต่อไป

“คืนหนึ่งมีขโมยเข้ามาจะเอาอาหารและทรัพย์สินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นเขาคลานไปรอบ ๆ ถ้ำ และคลำหาของไปทั่ว ข้าพเจ้าอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า 'เฮ้ เพื่อน ตอนกลางวันเรายังไม่เจออะไรที่นี่เลย แล้วเจ้าหวังว่าจะพบบางสิ่งตอนกลางคืนได้อย่างไร’ ขโมยคิดแล้วก็หัวเราะกับข้าพเจ้า เขาอายมากและออกไปอย่างเงียบ ๆ

“ผ่านไปอีกหนึ่งปี นายพรานจากเมืองคยังกัตซาซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้าจับอะไรไม่ได้ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าถ้ำของข้าพเจ้า พวกเขาเห็นข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่นเหมือนโครงกระดูก ขดตัวเป็นกองสีเขียวที่หดเหี่ยว ห่มผ้าสามผืน พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว แล้วยกคันธนูขึ้นเล็งมาที่ข้าพเจ้า แล้วถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า 'เจ้าเป็นคน ผี สัตว์ หรือเงา ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เจ้าก็ดูเหมือนผี !'

“ข้าพเจ้ากระแอมแล้วตอบว่า 'เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ผี'

“พวกเขาได้ยินเสียงของข้าพเจ้า และคนหนึ่งที่รู้จักข้าพเจ้าถามว่า 'เจ้าคือโตปากะไม่ใช่หรือ’

“'ใช่แล้ว เราคือโตปากะ'

“‘อา ! เจ้าพอมีอาหารให้พวกเราบ้างไหม พวกเราล่าสัตว์มาทั้งวันแต่จับอะไรไม่ได้เลย ถ้าเจ้าให้เรายืมอาหารสักหน่อยตอนนี้ เราจะคืนให้เจ้าอีกมากมายในภายหลัง'

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'น่าเสียดายที่เราไม่มีอะไรให้พวกเจ้ากินเลย'

“'โอ้ ไม่เป็นไร แค่ให้อะไรก็ได้ที่เจ้ากิน’

“‘เรามีแค่เนตเทิลเท่านั้น ช่วยก่อไฟเพื่อต้มมันหน่อย'

“เมื่อได้ยินคำพูดของข้าพเจ้า พวกเขาก็ก่อไฟเพื่อต้มเนตเทิล ‘เราต้องใส่เนยลงไปต้มกับมันนิดหน่อย’ พวกเขาพูด

“‘เราก็หวังว่าเราจะมีเนยนะ แต่มันหมดไปหลายปีแล้ว ในเนตเทิลมีน้ำมันอยู่แล้ว’

“'เช่นนั้น ขอเครื่องปรุงรสหน่อยได้ไหม’

“'เราไม่ได้ใช้เครื่องปรุงรสมาหลายปีแล้ว มีรสชาติอยู่ในเนตเทิลแล้ว’

“พวกนายพรานพูดว่า 'อย่างน้อยก็ขอเกลือพวกเราหน่อยนะ’

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'ถ้าเรามีเกลือ เราจะให้เจ้า เราอยู่โดยไม่มีเกลือมาหลายปีแล้ว มีเกลืออยู่ในเนตเทิล’

“พวกนายพรานพูดกับข้าพเจ้าว่า 'สิ่งที่เจ้าสวมใส่และสิ่งที่เจ้ากินนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย มันไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์ ต่อให้เจ้าเป็นคนรับใช้ของใครสักคน อย่างน้อยเจ้าก็จะมีอาหารพอให้กินและมีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น ฮึ ! ฮึ ! จะหาใครในโลกที่น่าสมเพชและน่าสงสารไปกว่าเจ้าไม่มีอีกแล้ว'

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'โปรดอย่าพูดเช่นนั้น เราเป็นผู้โชคดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ชน เราได้พบกับท่านอาจารย์นักแปลผู้ยิ่งใหญ่มาร์ปะ และได้เรียนรู้บทสวดเพื่อบรรลุพุทธภาวะในชาติเดียว เราอาศัยอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลและละทิ้งความคิดที่จะมีความปรารถนาในชีวิตนี้ เราฝึกสมาธิเพื่อให้บรรลุสภาวะสมาธิ ชื่อเสียง เกียรติยศ ความเคารพนับถือ เสื้อผ้า อาหาร เงิน หรือทรัพย์สิน ไม่มีอะไรรบกวนใจเราได้ นี่เป็นเพราะเราเอาชนะความห่วงกังวลทางโลกทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงยิ่งกว่าเราอีกแล้ว เจ้าทุกคนอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พุทธธรรมเจริญรุ่งเรือง แต่เจ้ากลับไม่สนใจฟังธรรมเลย ไม่ต้องพูดถึงการปฏิบัติธรรม เจ้าใช้ชีวิตนี้ยุ่งอยู่กับการก่อกรรมทำชั่ว โดยไม่ใส่ใจว่านรกลึกแค่ไหน และเจ้าจะต้องอยู่ที่นั่นยาวนานเพียงใด ในโลกนี้ คนอย่างพวกเจ้าช่างน่าเวทนาและสมเพชอย่างแท้จริง ! ในใจของเรา เรารู้สึกปลอดภัยและมีความสุขอยู่เสมอ ตอนนี้เราจะร้องเพลงเกี่ยวกับความสุขของการบำเพ็ญให้พวกเจ้าฟัง’

“พวกเขาทุกคนต่างอยากรู้และตั้งใจฟังเพลงของข้าพเจ้าอย่างเงียบ ๆ :

‘แด่ท่านอาจารย์มาร์ปะผู้เมตตา

เราขออุทิศทั้งชีวิตเพื่อความช่วยเหลือให้หลุดพ้นของท่าน;

จากมิลา โยคี

ผู้อาศัยอยู่ที่นี่ในถ้ำดราการ์ ทาโซ

'เพื่อแสวงหาโพธิสูงสุด

เรายอมสละชีวิต เสื้อผ้า และอาหาร;

เสื่อบางผืนเล็กรองกายให้ความสุขแก่เรา

เสื้อโคตบุฝ้ายบนร่างเราคือความสุข

‘สายรัดสมาธิรอบกายเราคือความสุข

กายที่ลวงตานี้ไม่หิวไม่หนาวคือความสุข;

หยุดความคิดที่หลงผิดคือความสุข

ไร้ความไม่สบายคือความสุข

‘ที่นี่และที่นั่นคือความสุข

สำหรับเรา ทุกสิ่งคือความสุข;

พื้นฐานด้อยห่างไกลธรรม

เราบำเพ็ญเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

'การบำเพ็ญคือความสุขสูงสุด

ความสงสารเราของเจ้าช่างน่าขัน;

ดวงอาทิตย์ลับฟ้าทางทิศตะวันตก

ถึงเวลาที่สุภาพบุรุษรีบกลับบ้าน

‘เราไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะสิ้นเมื่อใด

ไม่มีเวลาสำหรับการพูดไร้สาระ;

เรามาที่นี่เพื่อบรรลุพุทธภาวะ

การอยู่ในถ้ำเพียงลำพังคือโชคของเรา

“เมื่อได้ยินคำพูดของข้าพเจ้า พวกนายพรานก็พูดว่า 'เสียงของเจ้าไพเราะจริง ๆ ! ความสุขที่เจ้าพูดถึงอาจมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะทำได้ แล้วพบกันใหม่ !’ แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ลงจากภูเขา

“มีเทศกาลใหญ่ที่เมืองคยังกัตซาซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้าทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการสร้างพระพุทธรูปดินเหนียวเสร็จสมบูรณ์ ระหว่างการรวมตัวในปีนี้ นายพรานเหล่านั้นทุกคนร้องเพลงของข้าพเจ้าเกี่ยวกับความสุขของการบำเพ็ญ ทุกคนชื่นชมเพลงนี้ว่าดีจริง ๆ เปตาซึ่งเป็นน้องสาวของข้าพเจ้าก็ไปขอทานที่นั่นด้วย เมื่อได้ยินเนื้อเพลง เธอพูดว่า 'เพลงนี้ต้องเขียนโดยพระพุทธเจ้าแน่ ๆ !'

“นายพรานคนหนึ่งหัวเราะแล้วพูดว่า 'ฮ่า ! ฮ่า ! ข้าไม่รู้ว่าเพลงนี้มาจากพระพุทธเจ้าหรือสรรพชีวิต แต่พี่ชายที่เหลือแต่กระดูกของเจ้า โตปากะ เป็นคนร้องเพลงนี้ตอนที่เขาใกล้จะอดตาย !'

“เปตาตอบว่า ‘พ่อและแม่ของฉันเสียชีวิตไปนานแล้ว ญาติและมิตรสหายของเราทุกคนกลายเป็นศัตรู พี่ชายของฉันก็หายตัวไป ส่วนฉันถูกทิ้งให้เป็นขอทานอยู่กับชะตากรรมที่ขมขื่น พวกเจ้ายังมาหัวเราะเยาะฉัน ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายเช่นนี้’ จากนั้นเธอก็เริ่มร้องไห้สะอื้น ดีเซสก็อยู่ในงานเทศกาลนั้นด้วย เมื่อเห็นเปตาร้องไห้ เธอจึงพูดว่า 'อย่าร้องไห้เลย ได้โปรดอย่าร้องไห้ เพลงนี้น่าจะมาจากพี่ชายของเจ้า ฉันเห็นเขาเมื่อไม่กี่ปีก่อน ลองไปดูที่ถ้ำดราการ์ ทาโซกันไหม เราจะดูว่าใช่เขาหรือเปล่า ฉันจะไปเป็นเพื่อน’

“เปตาตกลง เธอหยิบไวน์หนึ่งขวดและแป้งข้าวบาร์เลย์คั่วบางส่วนจากของบริจาคที่เธอได้รับจากลามะ แล้วไปที่ถ้ำดราการ์ ทาโซ

“เปตามาถึงปากถ้ำแล้วมองเข้าไปข้างใน เธอเห็นข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่น ดวงตาลึกโบ๋เหมือนหลุมสองหลุม กระดูกบนร่างกายของข้าพเจ้านูนออกมาทีละท่อนเหมือนภูเขา ข้าพเจ้าไม่มีกล้ามเนื้อ ผิวหนังก็แทบจะแยกออกจากกระดูก ผมของข้าพเจ้ายาวรุงรัง หล่นลงมาที่หลังของข้าพเจ้า และรูขุมขนทั่วร่างกายเป็นสีเขียว มือและเท้าของข้าพเจ้าแห้งและเหี่ยวย่นราวกับจะปริแตก เปตาคิดว่าเป็นผี เธอจึงกลัวและกำลังจะหนี จากนั้นเธอก็นึกถึงคำพูดที่ว่า 'พี่ชายที่เหลือแต่กระดูกของเจ้า โตปากะ … ใกล้จะอดตาย' เธอจึงถามด้วยความสงสัยว่า 'เจ้าเป็นคนหรือผี'

“'เราคือมิลา โตปากะ !'

“เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของข้าพเจ้า เธอก็รีบเข้ามาคว้าตัวข้าพเจ้า ร้องเรียก 'พี่ชาย ! พี่ชาย !' แล้วเธอก็เป็นลมไปทันที

“การได้เห็นน้องสาวเปตา ทำให้ข้าพเจ้าทั้งเศร้าและดีใจปนกัน ข้าพเจ้าใช้เวลาปลุกเธออยู่นาน เธอเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ว่า ‘แม่คิดถึงพี่มากจนเสียชีวิต ไม่มีใครในหมู่บ้านเต็มใจช่วยฉัน ความทุกข์ทรมานนี้มากเหลือเกิน ฉันต้องเร่ร่อนขอทาน ฉันคิดเสมอว่าพี่ชายของฉันตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาต้องมีชีวิตที่มีความสุขแน่ ๆ ใครจะคิดว่าพี่กลายเป็นแบบนี้ ในโลกนี้จะมีใครที่น่าเศร้ากว่าเราพี่น้องอีกไหม’ เธอตะโกนเรียกชื่อของพ่อและแม่ ร้องไห้เสียงดัง ทุบหน้าอก และกระทืบเท้า พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ

“ข้าพเจ้าพยายามปลอบใจเธออย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ได้ผล ข้าพเจ้าจึงร้องเพลงด้วยความโศกเศร้าเพื่อปลอบโยนน้องสาวเปตา

“เปตาพูดว่า 'ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พี่ทำอยู่ก็ยิ่งใหญ่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้หรือไม่ ถ้าสิ่งที่พี่พูดเป็นความจริง ทำไมผู้บำเพ็ญธรรมคนอื่น ๆ ถึงไม่เหมือนพี่เลย แม้ว่าพวกเขาจะไม่เหมือนกับพี่โดยสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยก็ควรมีความคล้ายคลึงอยู่บ้าง ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีการฝึกแบบของพี่มาก่อนเลย’ ขณะที่เธอพูด เธอก็ให้เหล้าองุ่นและอาหารแก่ข้าพเจ้า หลังจากข้าพเจ้ากินอาหารแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีสติปัญญาและความกระจ่างชัดขึ้นมาทันที คืนนั้น การฝึกของข้าพเจ้าดีขึ้นอย่างมาก

“หลังจากเปตาจากไปตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้าก็มีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพร้อมกับความเจ็บปวดแปล๊บ ๆ การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านดีและด้านร้ายทุกรูปแบบ และลางบอกเหตุทั้งดีและร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้าจะเพียรฝึกการสังเกตให้แจ่มชัดอย่างหนัก แต่มันก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น หลายวันต่อมา ดีเซสได้นำเนยที่บ่มไว้นาน เนื้อที่ผ่านการถนอมอาหาร และไวน์ดีไหหนึ่งมาด้วย เธอมาพร้อมกับเปตาขณะที่ข้าพเจ้าออกไปตักน้ำพอดี ขณะที่ข้าพเจ้าเดินกลับมาจากการตักน้ำ เนื่องจากข้าพเจ้าแทบไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย มีแต่ร่างกายเปลือยเปล่าสีเขียว พวกเธอรู้สึกขัดเขินเมื่อเห็นข้าพเจ้า พวกเธอเบือนหน้าหนีและยืนหลบไป แล้วพวกเธอก็เริ่มร้องไห้

“หลังจากที่ข้าพเจ้าเข้ามาและนั่งลงแล้ว ทั้งสองคนก็ให้แป้งข้าวบาร์เลย์ เนย เหล้าองุ่น และเนื้อแก่ข้าพเจ้า

“เปตาพูดกับข้าพเจ้าว่า 'พี่ชาย ไม่ว่าจะใช้เกณฑ์ใด พี่ก็ดูไม่เหมือนมนุษย์เลย พี่ออกไปหาอาหารที่คนเขากินกันดีไหม และฉันจะพยายามหาเสื้อผ้ามาให้พี่ใส่'

“ดีเซสพูดตามว่า 'ไม่ว่าอย่างไร ท่านต้องกินอาหารบ้าง ฉันจะคิดวิธีหาเสื้อผ้าให้ท่านด้วย'

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร การออกไปขออาหารทำให้เสียเวลาและไม่มีความหมาย แม้ว่าเราจะตายด้วยความหนาวหรือความหิว เราก็ได้สละชีวิตเพื่อธรรมะและไม่เสียใจเลย บางคนอาจละทิ้งการฝึก รีบเร่งหาเสื้อผ้าและอาหาร และพยายามอย่างหนักเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ บางคนอาจกินดี แต่งตัวดี สนุกสนานกับงานเลี้ยงและดื่มกับญาติและมิตรสหาย บางคนอาจใช้ชีวิตไปกับการร้องเพลงและพูดคุยเรื่องไร้สาระ หัวเราะล้อเล่นเกี่ยวกับการดำรงอยู่อันน้อยนิด วิถีชีวิตแบบนั้นคือการใช้ชีวิตมนุษย์ที่ล้ำค่าอย่างสูญเปล่า และเราต่อต้านมันอย่างยิ่ง ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องหาเสื้อผ้าให้เราและเราจะไม่ออกไปขออาหาร ต่างคนต่างดูแลตัวเองเถิด !'

“เปตาตอบว่า 'มันเหมือนกับว่าพี่ตั้งใจหาความทุกข์จริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าพี่พอใจได้อย่างไร ดูเหมือนว่าพี่ไม่มีวิธีอื่นที่จะทรมานตัวเองและทำให้ตัวเองต้องทนทุกข์อีกแล้ว !’

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตรีภูมิคือความทุกข์ยากที่แท้จริง แต่สรรพชีวิตกระทำผิดกันอย่างง่ายดาย ผู้ที่นำความทุกข์แบบนั้นมาสู่ตัวเองมีมากมายเกินกว่าจะเอ่ยได้ทั้งหมดจริง ๆ พี่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของพี่แล้ว' จากนั้นข้าพเจ้าก็ร้องเพลงเกี่ยวกับความพอใจให้ทั้งสองคนฟัง

“เมื่อได้ฟังเพลงของข้าพเจ้า ดีเซสประทับใจมากและพูดว่า 'สิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านี้คือสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ตอนนี้จริง ๆ น่าชื่นชมจริง ๆ !'

“เปตาตอบว่า 'ไม่ว่าพี่ชายจะพูดอะไร ใจฉันก็รับไม่ได้จริง ๆ ที่พี่ไม่มีเสื้อผ้าหรืออาหาร ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหาเสื้อผ้ามาให้พี่สักชิ้น พี่บอกว่าจะไม่ไปหาอาหารหรือเสื้อผ้าเพราะการบำเพ็ญของพี่ และพี่จะไม่เสียใจแม้ว่าจะต้องตายก็ตาม แต่ก่อนที่พี่จะตาย ฉันยังต้องคิดหาวิธีหาอาหารและเสื้อผ้าให้พี่’

“แล้วทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน

“หลังจากได้กินอาหารดี ๆ แล้ว ความเจ็บปวดจากความทุกข์และความสุข รวมถึงการรบกวนจากความคิดต่าง ๆ ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาข้าพเจ้าไม่สามารถฝึกต่อไปได้ ข้าพเจ้าเปิดจดหมายของท่านอาจารย์และอ่าน ในจดหมายมีบทสวดทุกประเภทเกี่ยวกับการขจัดอุปสรรคและเพิ่มพูนประโยชน์ ตลอดจนวิธีเปลี่ยนจากความผิดพลาดให้เป็นบุญกุศล ท่านอาจารย์เตือนข้าพเจ้าโดยเฉพาะว่าตอนนี้ควรกินอาหารที่ดี การบำเพ็ญเพียรอย่างไม่หยุดหย่อนของข้าพเจ้าทำให้ปัจจัยที่จำเป็นของร่างกาย (ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือที่เรียกกันว่ามหาภูตรูป 4) รวมตัวกันในช่องทางพลังงานของข้าพเจ้า เนื่องจากอาหารด้อยคุณภาพเกินไป ข้าพเจ้าจึงไม่มีพลังงานที่จะสลายมัน

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดื่มไวน์ที่เปตาให้มา และกินอาหารที่ดีเซสนำมาให้ หลังจากทำตามคำแนะนำในจดหมายแล้ว ข้าพเจ้าก็พากเพียรอย่างหนักในการฝึกจิตใจ พลังงาน และการเพ่งภาพ ช่องทางพลังงานเล็กเปิดออก ช่องทางพลังงานกลางที่อยู่ใกล้กับสะดือก็เปิดออกเช่นกัน ความปีติยินดีที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความแจ่มชัด และภาวะไร้ความคิดก็เกิดขึ้น อาณาจักรเขตแดนนี้ไม่อาจพรรณนาได้ ความเข้าใจที่ชัดเจนและการรับรู้ในบุญกุศลและคุณงามความดีนั้นมั่นคงและลึกซึ้ง และพวกมันสามารถเปลี่ยนความผิดให้เป็นบุญกุศลและคุณงามความดีได้ ข้าพเจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งว่าธรรมะทั้งหมด รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิดและนิพพาน มีความสัมพันธ์ทางกรรมอยู่ การทำผิดนำไปสู่การกลับชาติมาเกิด ในขณะที่ความเมตตาและการหลุดพ้นนำไปสู่นิพพาน บุญกุศลและคุณงามความดีที่โดดเด่นเริ่มต้นจากการปฏิบัติธรรมอย่างหนักและการกระทำที่ถูกต้อง และได้รับการเกื้อหนุนจากอาหารและบทสวดขั้นสูง เมื่อโอกาสสุกงอม องค์ประกอบเหล่านี้จะบรรจบกันเพื่อบรรลุความสำเร็จบริบูรณ์ ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างแรงกล้าว่าสภาวะขณะนั้นเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติมันตรยานะ ข้าพเจ้ารู้ซึ้งว่าบุญกุศลและคุณงามความดีของเปตาและดีเซสที่นำอาหารมาให้เกินกว่าจะจินตนาการได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณของพวกเธอ ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานอุทิศเฉพาะเพื่อโพธิญาณ

“ข้าพเจ้าบำเพ็ญเพียรต่ออย่างหนัก และค่อย ๆ พบว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้ตามต้องการในเวลากลางวัน ข้าพเจ้าสามารถทะยานขึ้นไปในอากาศและแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ออกมาได้ทุกอย่าง ในความฝันตอนกลางคืน ข้าพเจ้าสามารถเดินทางไปถึงจุดสูงสุดของโลกและทลายภูเขาได้ หลังจากแปลงกายเป็นร่างจำแลงนับร้อยแล้ว ข้าพเจ้าสามารถไปยังดินแดนบริสุทธิ์ของพระพุทธเพื่อฟังธรรมหรือบรรยายธรรมแก่สรรพชีวิตนับไม่ถ้วน ร่างกายของข้าพเจ้าสามารถเข้าและออกจากน้ำและไฟได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ที่เหนือจินตนาการทุกประเภท ข้าพเจ้ารู้สึกปีติยินดีอย่างมากในใจและลองความสามารถเหล่านี้พร้อมกับบำเพ็ญต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าสามารถบินได้อย่างอิสระ ข้าพเจ้าบินขึ้นไปนั่งสมาธิบนยอดเขาเพื่อสังเกตได้อย่างแจ่มชัด และที่นั่นข้าพเจ้าก็สร้างความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากการฝึกลมปราณตุมโม

“ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังบินกลับไปยังดราการ์ ทาโซ ข้าพเจ้าผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังไถนาอยู่ ผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ในแก๊งอันธพาลเดียวกับลุงของข้าพเจ้ากำลังใช้จอบขุด ส่วนลูกชายกำลังไถนาโดยใช้จามรี ลูกชายเงยหน้าขึ้นและเห็นข้าพเจ้าบินอยู่บนท้องฟ้า เขาร้องขึ้นมาทันทีว่า 'พ่อ ดูสิ ! มีคนกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า !' เขาลืมเรื่องไถนาและมองดูการบินของข้าพเจ้า พ่อของเขาตอบว่า 'ฮึ ! มันไม่คุ้มค่าที่จะดูหรอก นยังสตา คาร์เยน แห่งคยังกัตซา มีบุตรเป็นปีศาจ เขากำลังอดอยาก แต่เขาไม่ตายเพราะความอดอยาก ผู้คนเรียกเขาว่าปีศาจมิลา พ่อคิดว่านั่นคือเขา อย่าให้เงาของเขาบังตัวเจ้า ไถนาต่อไปเถอะ’ ชายแก่หลบไปทั่วทุกที่เพื่อหลบเงาของข้าพเจ้า ลูกชายพูดว่า 'มันสนุกมากที่ได้เห็นคนเป็น ๆ บินได้ ! ถ้าข้าสามารถบินได้ ถึงข้าจะตกลงมาขาหัก ข้าก็ยังอยากจะลอง' เขาจึงหยุดไถนาและจ้องมองมาที่ข้าพเจ้าบนท้องฟ้า

“ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความคิดว่า ข้าพเจ้ามีความสามารถที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิตได้ ข้าพเจ้าจึงควรเผยแผ่ธรรมะให้แก่ผู้คน แต่เทพองค์หนึ่งปรากฏกายและพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์ในการบำเพ็ญตลอดชีวิตคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะเผยแผ่ธรรมะได้ดีกว่าและเป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิตมากกว่าการปฏิบัติธรรมของท่านอีกแล้ว’ ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าการใช้เวลาทั้งชีวิตในการบำเพ็ญเพียร จะทำให้ข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างให้กับผู้ฝึกในอนาคตได้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสรรพชีวิตและวิธีการสอนในอนาคต ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนั่งสมาธิอยู่บนภูเขาต่อไป

“แล้วข้าพเจ้าก็คิดว่า 'เราอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว มีคนรู้จักเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กคนนั้นเห็นเราบินวันนี้ เราเกรงว่าจะมีคนเริ่มมาที่นี่มากขึ้น หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป เราจะตกลงไปอยู่ในโลกธรรม 8 อีกครั้ง เราอาจถูกปีศาจ ชื่อเสียง และเกียรติยศล่อลวง เราคงไม่ประสบความสำเร็จในที่สุด ถ้าไปฝึกที่จูบาร์ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์ทำนายไว้น่าจะดีกว่า’ ข้าพเจ้าจึงถือหม้อดินเผาสำหรับต้มเนตเทิลแล้วออกจากดราการ์ ทาโซ

“เพราะบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน ร่างกายของข้าพเจ้าจึงอ่อนแอ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งที่ข้าพเจ้าสวมอยู่ลากไปตามพื้น ข้าพเจ้าสะดุดล้มลงที่ข้างถนนโดยบังเอิญ ทำให้เชือกขาดและหม้อแตก เนตเทิลสดสีเขียวที่อยู่ในหม้อหล่นกระจัดกระจายทั่วพื้น เมื่อเห็นสิ่งนี้ ข้าพเจ้าก็คิดถึงหลักการของความไม่เที่ยงและมีความมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะละโลกิยโลกนี้ ที่เนินเขาด้านหลัง ข้าพเจ้าบังเอิญพบนายพรานคนหนึ่งที่กำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ เขาเดินมาหาข้าพเจ้า เมื่อเห็นข้าพเจ้าถือเศษหม้อดินอยู่ เขาจึงถามว่า ‘หม้อดินแตกแล้ว ทำไมยังถือมันอยู่ล่ะ ร่างกายของเจ้าผอมแห้งและดูเขียว เกิดอะไรขึ้น'

“ข้าพเจ้าเล่าเรื่องราวการบำเพ็ญโดยย่อของข้าพเจ้าให้เขาฟัง เขาตอบว่า 'วิเศษมาก ! ขึ้นไปบนเนินเขาแล้วกินอาหารกับพวกเราสักมื้อเถอะ’ ข้าพเจ้าเดินตามเขาขึ้นไปบนเนินเขาซึ่งมีพรานหลายคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นพูดว่า 'เฮ้ เพื่อน เราเห็นว่าเจ้ามีดวงตาที่สวยมาก หากเจ้าใช้วิธีบำเพ็ญพรตกับอะไรบางอย่างในสังคม เจ้าจะได้ขี่ม้าที่มีรูปลักษณ์ดุจสิงโตและมีปศุสัตว์และคนรับใช้ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ในขณะที่เจ้าเพลิดเพลินกับความร่ำรวยมั่งคั่ง จะไม่มีใครกล้าเอาเปรียบเจ้า และเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หรืออย่างน้อยที่สุดเจ้าก็สามารถทำธุรกิจเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและมีชีวิตที่สะดวกสบายได้ ถึงแม้เจ้าจะยังคงโชคร้าย เจ้าก็ไปเป็นคนรับใช้ของใครสักคนก็ได้ เจ้าจะมีอาหารพอกินและมีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น มันจะดีกว่าที่เจ้ามีอยู่ในตอนนี้มาก บางทีก่อนหน้านี้เจ้าอาจไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่จงทำตามคำแนะนำของเราต่อจากนี้ไปและมันจะดีกับเจ้าอย่างแน่นอน'

“ชายชราอีกคนหนึ่งพูดต่อว่า 'พอเถอะ ! หยุดได้แล้ว ! อย่าพูดจาไร้สาระ เขาดูเหมือนผู้บำเพ็ญที่แท้จริง และจะไม่ฟังคนทางโลกอย่างพวกเรา หยุดพูดพล่ามได้แล้ว เฮ้ เสียงของท่านไพเราะมาก โปรดร้องเพลงให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม’

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'เมื่อมองดูเรา พวกเจ้าคิดว่าเราน่าเวทนาที่สุด แต่ในโลกนี้ พวกเจ้าอาจไม่สามารถหาใครที่มีบุญและมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่าเราก็ได้'

“ข้าพเจ้าไปจากพวกนายพรานและเดินทางไปยังจูบาร์ หลังจากมาถึงดิงริแล้ว ข้าพเจ้าก็หยุดพักที่ริมทางและเอนกายนอนพักอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวหลายคนเดินผ่านไป ทุกคนแต่งกายสวยงามเพื่อไปงานชุมนุมธรรม เมื่อเห็นร่างผอมแห้งของข้าพเจ้า หญิงสาวคนหนึ่งก็พูดว่า 'มาดูสิ ! ช่างเป็นคนที่น่าสงสารจริง ๆ ! พวกเราควรอธิษฐานว่าอย่าได้มีร่างกายเช่นนี้ในชาติหน้าเลย’

“หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดว่า 'ช่างเป็นคนที่น่าสงสารจริง ๆ ! ใครก็ตามที่เห็นเขาก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ'

“พวกเธอไม่รู้ว่าข้าพเจ้ากำลังคิดอยู่ในใจว่า 'สรรพชีวิตที่โง่เขลาเหล่านี้น่าสงสารเหลือเกิน !' ข้าพเจ้าไม่สามารถระงับความสงสารอย่างแรงกล้าที่มีต่อพวกเธอได้ ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า 'เฮ้ ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลย และไม่จำเป็นต้องสงสารเราด้วย พูดตามตรง แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานขอให้มีร่างกายเหมือนเรา ก็ยากที่จะได้มันมา เจ้าคิดว่าเราน่าสงสารหรือ เจ้าสงสารเราหรือ เราขอบอกพวกเจ้าว่า ความคิดผิด ๆ จึงจะน่าสงสารจริง ๆ และความโง่เขลาก็น่าสงสารจริง ๆ'

“หญิงสาวคนหนึ่งพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเธอว่า 'เขาคือมิลาเรปะ ! พวกเราเอาแต่มองคนอื่นแต่ไม่มองตัวเองแลย พวกเราพูดจาไม่เหมาะสม ดังนั้นเราขอให้ท่านให้อภัย และมาอธิษฐานกันเถิด'

“พวกเธอสองคนจึงเข้ามาหาข้าพเจ้า ก้มกราบและขออภัย พวกเธอมอบเปลือกหอย 7 ชิ้นให้ข้าพเจ้าเป็นของถวาย หญิงสาวที่เหลือก้มกราบข้าพเจ้าและขอให้ข้าพเจ้าสอนธรรมะให้พวกเธอ

“หลังจากมาถึงดริน ข้าพเจ้าได้สอบถามสภาพแวดล้อมที่จูบาร์และคีปุกอย่างละเอียด และตัดสินใจทำสมาธิในคีปุก นีมา ซง (ป้อมพระอาทิตย์อันรื่นรมย์) ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นสองสามเดือน และการรู้แจ้งของข้าพเจ้ายกระดับอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองดรินมักมอบอาหารให้ข้าพเจ้าเป็นของถวาย บางครั้งก็มีคนมาเยี่ยมข้าพเจ้าไม่น้อย ข้าพเจ้าค่อย ๆ เริ่มรู้สึกว่ามันอาจขัดขวางการทำสมาธิของข้างพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจะไปทำสมาธิบนภูเขาที่ห่างไกลตามที่อาจารย์ได้สั่งสอนไว้ก่อนหน้านี้

“เวลานั้น เปตาหาขนแกะมาได้และทอเป็นผ้าขนสัตว์หนึ่งม้วน เธอนำผ้าขนสัตว์ไปที่ดราการ์ ทาโซ แต่ข้าพเจ้าออกจากที่นั่นไปแล้ว จากนั้นเธอได้ถามคนที่อยู่แถวนั้นเกี่ยวกับข้าพเจ้า มีคนบอกเธอว่า 'มีโยคีคนหนึ่งที่ดูเหมือนแมลงตำแย เขามุ่งหน้าไปทางใต้' เมื่อรู้ว่าเป็นข้าพเจ้า เธอก็เดินทางไปทางใต้เพื่อตามหาข้าพเจ้า ระหว่างทางเธอบังเอิญเห็นลามะบารี โลตซาวะ ซึ่งกำลังจัดการชุมนุมธรรม ที่นั่งของลามะรูปนี้มีเสื่อหลายชั้น และมีร่มขนาดใหญ่ประดับด้วยสายไหมสีสันสดใสห้อยอยู่เหนือศีรษะที่กำลังโบกสะบัดไปตามลม ศิษย์หนุ่มของลามะบางคนกำลังเป่าแตรสังข์ บางคนยุ่งอยู่กับการดื่มไวน์หรือชา การชุมนุมนี้คึกคักและมีผู้เข้าร่วมการชุมชุมเต็มไปหมด เมื่อเห็นเช่นนี้ เปตาก็คิดว่า ‘เมื่อคนอื่นเรียนธรรมะแล้ว เขายังสนุกสนานกับงานรื่นเริงแบบนี้ได้ แต่สิ่งที่พี่ชายของเราเรียนนั้นผิดปกติจริง ๆ นอกจากแสวงหาความทุกข์ให้กับตัวเองแล้ว เขาไม่ได้รับประโยชน์อื่นเลย มิหนำซ้ำยังถูกคนอื่นเยาะเย้ยอีกด้วย แม้แต่คนในครอบครัวก็ต้องเสียหน้า เมื่อเจอพี่ชายครั้งนี้ ฉันจะต้องพูดกับเขาอย่างจริงจังสักครั้ง หวังว่าเขาจะมาเป็นลูกศิษย์ของลามะรูปนี้

“ที่งานชุมนุม เปตาสอบถามที่อยู่ของข้าพเจ้า บางคนบอกเธอว่าข้าพเจ้าอยู่ที่คีปุก เธอเดินทางผ่านดริน และพบข้าพเจ้าที่คีปุก ทันทีที่เธอเห็นข้าพเจ้า เปตาก็พูดว่า ‘พี่ชาย ธรรมะที่พี่กำลังศึกษาอยู่ทำให้ไม่มีอาหารกินและไม่มีเสื้อผ้าใส่ มันน่าอับอายมาก และฉันรู้สึกขายหน้า อีกอย่างหนึ่ง พี่ไม่มีอะไรปกปิดร่างกายส่วนล่าง มันดูน่าเกลียดมาก ตอนนี้โปรดรับผ้าขนสัตว์นี้ไปทำเป็นผ้าคลุมเถอะ !'

“‘ดูคนอื่นที่ศึกษาธรรมะสิ ดูลามะบารี เขามีที่นั่งรองรับด้วยเสื่อหลายชั้น มีร่มคันใหญ่กางบังแดด เขาสวมผ้าไหมและผ้าซาติน และดื่มชาและดื่มไวน์ งานชุมนุมมีคนมากมายเสียงดังอึกทึก เหล่าสานุศิษย์ของเขาเป่าแตรสังข์ ห้อมล้อมด้วยของถวายนับไม่ถ้วน นั่นจึงจะเป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิต ญาติ และมิตรสหายอย่างแท้จริง ทุกคนก็จะพอใจ ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าเขาเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดในบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหมด พี่ลองพยายามไปเป็นศิษย์ของเขาได้ไหม แม้ว่าพี่จะเป็นลามะที่อ่อนอาวุโสที่สุด แต่พี่ก็จะได้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เช่นนั้น พี่ชายของฉัน โปรดคิดถึงธรรมะของท่านและชีวิตของฉันเถิด ฉันเกรงว่าเราสองคนพี่น้องจะอยู่ได้ไม่นาน' พอพูดจบ เธอก็เริ่มร้องไห้สะอื้นเสียงดัง

“ข้าพเจ้าพูดกับเปตาว่า 'อย่าพูดอย่างนั้นอีกเลย เจ้าและคนอื่นอาจคิดว่าการเปลือยเปล่าของพี่เป็นเรื่องน่าอับอาย แต่พี่คิดว่านี่คือร่างกายที่ทุกคนมีและการเปิดเผยร่างกายไม่ใช่เรื่องน่าอาย พี่ก็เป็นเช่นนี้ตอนที่พ่อกับแม่พาเรามายังโลกนี้ ทำไมจึงน่าละอายล่ะ บางคนรู้ว่ามีอาชญากรรมที่เราควรหลีกเลี่ยง แต่ก็ยังคงทำผิดอย่างไร้ยางอายและทำให้พ่อแม่วิตกกังวล พวกเขาขโมยสมบัติจากพระรัตนตรัย เพื่อสนองความต้องการที่เห็นแก่ตัวของพวกเขา พวกเขาใช้วิธีการทุกรูปแบบเพื่อหลอกลวงสรรพชีวิต ทำร้ายตนเองและผู้อื่น เหล่าเทพรังเกียจคนแบบพวกเขา และพฤติกรรมของคนประเภทนี้ช่างน่าละอายอย่างแท้จริง พวกเขามีบาปไม่เพียงแค่ในชาตินี้แต่ในชาติต่อ ๆ ไปด้วย อีกทั้งเจ้าคิดว่าร่างกายที่มาจากพ่อแม่ของเราน่าละอาย แต่เมื่อพ่อแม่ของเราพาเจ้ามาสู่โลกนี้ หน้าอกของเจ้าเองก็ยังไม่มีเต้านมใหญ่สองข้างนี้ ทำไมเจ้าถึงรู้สึกอับอายกับเต้านมสองข้างในตอนนี้ล่ะ’

“เจ้าคิดว่า พี่บำเพ็ญตบะโดยไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้าเพราะพี่หาอาหารหรือเสื้อผ้าไม่ได้ นั่นผิดแล้ว เหตุผลที่พี่ปฏิบัติเช่นนี้ก็เพราะว่า ประการแรก พี่เกรงกลัวความทุกข์ในตรีภูมิ ประการที่ 2 พี่เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดน่ากลัวเหมือนกับการโยนคนเป็น ๆ เข้าไปในกองไฟ ความวุ่นวายในโลกนี้ที่ผู้คนต่อสู้กันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ รวมทั้งโลกธรรม 8 ทำให้พี่ขยะแขยง สำหรับพี่ สิ่งเหล่านี้น่ารังเกียจและทำให้คลื่นไส้เหมือนกลิ่นเหม็นของอาหารที่ผู้ป่วยอาเจียนออกมา เมื่อพี่เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็เหมือนกับเห็นเนื้อของพ่อแม่ตัวเองที่ถูกฆาตกรรม และใจเราก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าสุดจะพรรณนา เหตุผลประการที่ 3 คือท่านอาจารย์มาร์ปะสั่งสอนพี่ให้ละทิ้งโลกธรรม 8 และความวุ่นวาย โดยไม่คำนึงถึงอาหาร เสื้อผ้า และคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น ท่านแนะนำให้พี่อาศัยอยู่ในภูเขาห่างไกลที่ไร้ผู้คนอาศัยอยู่ ละทิ้งความหวังและความคิดทั้งหมดในชีวิตนี้ อุทิศตนเพื่อการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นการบำเพ็ญตบะของพี่จึงเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์อย่างแท้จริง

“ในขณะที่ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ พี่ได้รับประโยชน์ไม่เพียงกับตัวเองเท่านั้น แต่สรรพชีวิตทั้งหลายก็ได้ในระยะยาวด้วย เราอยู่ในโลกนี้และอาจตายได้ทุกเมื่อ แทนที่จะถูกรบกวนด้วยโลกธรรม 8 พี่ขอแสวงหาการหลุดพ้นขั้นสูงสุดดีกว่า การเป็นศิษย์อ่อนอาวุโสของลามะบารีที่เจ้าพูดนั้นไร้สาระจริง ๆ ถ้าพี่ต้องการบรรลุสิ่งใดในสังคมนี้ พี่ก็จะทำได้ไม่น้อยกว่าลามะบารี แต่เพราะพี่ปรารถนาที่จะบรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ พี่จึงเลือกบำเพ็ญตบะ เปตาน้องสาวของพี่ เจ้าควรลืมเรื่องโลกธรรม 8 และศึกษาธรรมให้ดี มาบำเพ็ญเพียรกับพี่ชายของเจ้าในภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะเถอะนะ ในอนาคต ประโยชน์ที่เราและสรรพชีวิตอื่น ๆ ได้รับจะส่องสว่างไปทั่วทุกที่ดุจแสงอาทิตย์’

“เมื่อได้ยินคำพูดของข้าพเจ้า เปตาตอบว่า 'โลกธรรม 8 ที่พี่พูดถึงคือความสุขในโลกมนุษย์นี้ ! เราพี่น้องไม่จำเป็นต้องละทิ้งมัน ! พี่รู้ชัดเจนว่าพี่ไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ลามะบารีมี แต่พี่จงใจพูดจาใหญ่โตมากมายเพื่อปกปิดมัน พี่ต้องการให้ฉันถูกแช่แข็งอยู่บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะโดยไม่มีอาหารกินและไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่หรือ ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น ! ฉันไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าฉันจะไปที่ใด แต่พี่ชาย โปรดอย่าวิ่งไปทั่วเหมือนกวางตื่นจระหนกที่ถูกสุนัขล่าเนื้อไล่ล่าเลย แค่อยู่ที่นี่เถอะ พี่จะได้บำเพ็ญและฉันก็จะหาพี่ได้ง่าย ผู้คนที่นี่ดูเหมือนจะเชื่อในตัวพี่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือให้พี่อยู่ที่นี่ไปนาน ๆ หรืออย่างน้อยโปรดอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน และก่อนอื่นให้นำผ้าขนสัตว์มาทำผ้าปกปิดร่างกายส่วนล่างของพี่ ฉันจะไปแล้วและจะกลับมาในอีกไม่กี่วันนะ’

“ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสัญญากับเปตาว่าจะอยู่ที่นั่นอีกสองสามวัน แล้วเธอก็ออกไปขออาหารในดริน

“หลังจากเปตาออกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็แบ่งผ้าขนสัตว์ออกเป็นสองสามชิ้น จากชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว ข้าพเจ้าทำหมวกขนาดใหญ่ที่คลุมศีรษะได้ทั้งหมด อีกชิ้นหนึ่งทำรองเท้าคู่หนึ่ง ข้าพเจ้านำชิ้นที่ 3 มาทำเป็นปลอกนิ้ว 20 อัน 10 ปลอกสำหรับนิ้วมือ และ 10 ปลอกสำหรับนิ้วเท้า ข้าพเจ้าได้ทำปลอกสำหรับปกปิดองคชาตด้วย

“หลายวันต่อมา เปตากลับมาและถามว่าข้าพเจ้าเย็บเสื้อผ้าแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าบอกว่าเสร็จแล้วและให้เธอดูปลอกที่ทำ

“พอเธอเห็น เธอก็ร้องลั่นว่า 'พี่ชาย ! พี่แทบจะไม่ใช่แม้แต่คนแล้ว ! พี่ไร้ยางอาย ! ฉันพยายามขออาหารมาอย่างยากลำบาก แล้วนำอาหารที่ได้ไปแลกกับผ้าขนสัตว์ แต่พี่เอามันมาทำเป็นเศษผ้า พี่ทำลายมันหมดแล้ว ! บางครั้งพี่ดูยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียรมากจนไม่มีเวลาว่าง พี่ไปหาเวลาที่ไหนมาทำเรื่องล้อเล่นแบบนี้ ฮึ ! พี่ไม่เหมือนคนจริง ๆ’

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'พี่เป็นคนเที่ยงธรรม และพี่เป็นคนที่ทำสิ่งที่มีความหมาย พี่รู้ชัดเจนว่าอะไรน่าละอาย พี่จึงรักษาศีลและคำปฏิญาณอย่างเคร่งครัด ส่วนเจ้า น้องสาวของข้า คิดว่าอวัยวะส่วนลับของพี่ที่ไม่ได้ปิดไว้ดูไม่ดีและเจ้ารู้สึกอับอาย แต่พี่ตัดมันออกไปไม่ได้ ดังนั้นแม้ว่าจะเสียเวลาบำเพ็ญเพียรไปบ้าง พี่ก็ยังอดทนทำปลอกเหล่านี้เพื่อให้เจ้าพอใจ พี่ยังคิดว่าถ้าการเปิดเผยส่วนที่ยื่นออกมาของร่างกายส่วนล่างของพี่น่าอับอาย แล้วนิ้ว เท้า นิ้วเท้า และศีรษะ ทุกสวนที่ยื่นออกมาทั้งหมดก็น่าอับอายถ้าไม่ปกปิดไว้เช่นกัน พี่จึงทำปลอกให้ทุกส่วนที่ยื่นออกมา พี่ไม่ได้ทำให้ผ้าขนสัตว์สูญเปล่าเลย พี่แค่ใช้มันทำปลอกเพื่อปกปิดความอับอาย ที่จริง ดูเหมือนเจ้าจะรู้ดีกว่าพี่ว่าอะไรน่าอับอาย ถ้าอวัยวะส่วนลับของพี่น่าอับอาย แล้วของเจ้าล่ะ แล้วคนที่สะสมทรัพยสมบัติที่น่าอับอายล่ะ’ เมื่อได้ยินคำพูดของข้าพเจ้า เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เธอโกรธมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินปนเทานิด ๆ

“ข้าพเจ้าพูดต่อว่า ‘ผู้คนในโลกนี้ถือว่าสิ่งที่ไม่น่าอับอายเป็นสิ่งที่อับอาย และถือว่าสิ่งที่น่าอับอายเป็นสิ่งธรรมดา พวกเขาทำร้ายและหลอกลวงผู้คน ก่อกรรมและทำบาป และไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอับอาย'

“ใบหน้าของเปตายังคงเป็นสีน้ำเงินปนเทา เธอยื่นอาหารและเนยที่ได้จากการขอทานให้ข้าพเจ้า เธอพูดว่า 'พี่ไม่เคยยอมทำตามสิ่งที่ฉันบอกเลย แต่ฉันก็ปล่อยพี่ไว้ที่นี่แบบนี้ไม่ได้ โปรดกินอาหารนี้เถอะ แล้วฉันจะลงจากภูเขาเพื่อหาอาหารเพิ่ม’ ขณะที่เธอกำลังจะออกไป ข้าพเจ้าก็คิดว่า 'จริงหรือที่ธรรมะจะไม่สามารถช่วยเหลือจิตใจของเปตาได้' ข้าพเจ้าจึงบอกเธอว่า 'ไม่ต้องรีบ เจ้าอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าอาหารนี้จะหมดเถอะนะ ระหว่างที่เจ้าอยู่ที่นี่ แม้เจ้าจะไม่ปฏิบัติธรรม เจ้าก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงการก่อกรรมถ้าลงเขาได้ โปรดอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถอะ’

“เปตาจึงอยู่ต่อ ในช่วงนั้น ข้าพเจ้าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายหลักการของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้เธอฟัง เธอจึงค่อย ๆ เริ่มมีความเข้าใจธรรมะของสายพุทธ อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปบ้าง”

(มีต่อ)