เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2025 ผู้สื่อข่าวพิเศษของหมิงฮุ่ยได้ไปเยี่ยมชมบางองค์กรที่อยู่ตอนเหนือของรัฐนิวยอร์กที่ก่อตั้งโดยผู้ฝึกฝ่าหลุนกง รวมถึงวัดหลงเฉวียนและเสินยวิ่น ในระหว่างการเยี่ยมชม เธอยังได้พบกับอาจารย์หลี่หงจื้อซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งฝ่าหลุนกงและผู้อํานวยการฝ่ายศิลป์ของ Shen Yun Performing Arts ด้วย ในวัย 73 ปี อาจารย์หลี่ดูผอมลงกว่าปีก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัด และท่านดูเหมือนคนอายุประมาณ 50 ปี สายตาของท่านเปี่ยมด้วยความอบอุ่น มั่นคง และสงบสุข

I. อาสาสมัคร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อบางแห่งได้กล่าวหาอาจารย์หลี่ในลักษณะที่ดูเหมือนตั้งใจจะปรับเนื้อหาให้เข้ากับความรู้สึกอ่อนไหวของชาวจีน โดยเน้นย้ําข้อกล่าวหาว่าเสินยวิ่นและอาจารย์ "ใช้ประโยชน์" จาก "ความศรัทธาทางศาสนา" และแรงงานราคาถูกของสานุศิษย์ "เพื่อสร้างทรัพย์สิน 266 ล้านดอลลาร์สหรัฐ" เมื่อถามอาจารย์หลี่เรื่องนี้ ท่านตอบว่า ก่อนสื่อรายงาน ท่านไม่ทราบรายละเอียดทางการเงินของเสินยวิ่น และท่านเคยกังวลว่าบริษัทศิลปะการแสดงนี้จะสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้หรือไม่

สำหรับผู้ฝึกฝ่าหลุนกงที่ต้องออกจากบ้านเกิดและสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย หลบหนีออกจากประเทศจีนและตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ พวกเขาไม่มีองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในอเมริกา ในขณะที่องค์กรไม่แสวงหาผลกําไรและกลุ่มศาสนาอื่น ๆ อาจได้รับเงินทุนจากรัฐบาลหรือการบริจาคขององค์กร แต่ฝ่าหลุนกงไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในลักษณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากทางตะวันตกมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้วิธีการต่าง ๆ อยู่เบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศตะวันตกพูดถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับฝ่าหลุนกง ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่กลุ่มอื่น ๆ มักได้รับเงินทุนจากรัฐบาล แต่โครงการที่ฝ่าหลุนกงดำเนินการต้องพึ่งพาทรัพยากรของตนเองเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ดํารงอยู่ได้

ความสําเร็จของ Shen Yun Performing Arts เป็นที่ยอมรับทั่วโลก แต่ความยากลำบากและความจริงเบื้องหลังความสําเร็จนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงหลายคนในอเมริกาเหนือ ด้วยความไว้วางใจ ส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกว่าจําเป็นต้องรู้รายละเอียด ผู้ฝึกที่ฝึกมานานแล้วตระหนักว่าอาจารย์หลี่มาเพื่อถ่ายทอดคําสอน แต่ต้องรับภาระหนักในฐานะผู้อํานวยการฝ่ายศิลป์ของเสินยวิ่นด้วย ความยากลำบากเบื้องหลังงานทั้งสองก็มหาศาล ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกที่ฝึกมานานบางคนจึงช่วยรับผิดชอบในเรื่องการบริหารและการเงินของบริษัท โดยพยายามแก้ปัญหาที่มีด้วยตัวเอง และมองว่าหน้าที่เหล่านี้เป็นส่วนสําคัญของการยกระดับในการบำเพ็ญของพวกเขา

ในระหว่างการพบกันในวันที่ 3 มกราคม อาจารย์หลี่ยิ้มและกล่าวว่าท่านไม่ได้ยุ่งเรื่องการบริหาร และผู้ฝึกที่รับผิดชอบด้านการบริหารและการเงินก็ไม่ได้รายงานต่อท่าน นักบัญชีคนหนึ่งของ Shen Yun Performing Arts ยืนยันว่า "เรามีกฎระเบียบและขั้นตอนทางการเงินที่เราปฏิบัติตาม" และเสริมว่าทุกคนทํางานอย่างหนักเพื่อทําหน้าที่ของตนให้สําเร็จ หลังจากทั้งหมดนี้ พวกเขาเชื่อว่า อาจารย์อยู่ที่นี่เพื่อสอนและแนะนําผู้ฝึกในการบำเพ็ญไม่ใช่เพื่อทําหน้าที่เป็นเจ้านายของพวกเขา

จากการสังเกตของผู้ฝึก เมื่ออาจารย์เห็นปัญหาการบําเพ็ญของผู้ฝึกในโครงการต่าง ๆ ท่านจะชี้ให้เห็นเฉพาะเมื่อท่านรู้สึกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับของผู้ฝึก และเมื่อมีคนถามคําถาม ท่านจะตอบด้วยความเมตตาและเอื้ออาทร อาจารย์ใส่ใจผู้ฝึกในทุกโครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดูแลการบำเพ็ญของพวกเขา

อาจารย์ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ จากหน่วยงานหรือโครงการใด ๆ ท่านพอใจที่จะไม่รับรู้ว่าแต่ละโครงการดําเนินการอย่างไร ท่านอธิบายว่า "รวมถึง Minghui.org, The Epoch Times, NTD Television และ Ganjing World การดําเนินงาน บุคลากร และการเงินของพวกเขา ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ผมจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาทํางานกันอย่างไร ผมต้องปล่อยให้พวกเขาเดินบนเส้นทางของตัวเอง นั่นคือเส้นทางการบำเพ็ญของพวกเขา ถ้าผมเข้าไปพูดหรือยุ่งเกี่ยวอยู่ตลอด ก็เหมือนกับการรื้อสะพานและเส้นทางของพวกเขา ดังนั้นผมจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย ผมเน้นที่การบำเพ็ญของผู้ฝึกเท่านั้น"

สําหรับการเป็นอาสาสมัครในโครงการเสินยวิ่นและโครงการอื่น ๆ อาจารย์อธิบายว่านอกเหนือจากการดูแลเรื่องการบำเพ็ญของผู้ฝึกแล้ว ท่านยังช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายและช่วยพัฒนาด้านเทคนิคของพวกเขาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย "แต่ไม่มีใครให้เงินผมสักบาท ผมไม่ได้เบิกค่าใช้จ่ายใด ๆ" ท่านกล่าว

ผู้สื่อข่าวยังได้สัมภาษณ์บุคลากรจากโครงการอื่น ๆ อีกหลายโครงการ CFO ของ Shen Yun Creations ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอศิลปะ และผู้จัดการทั่วไปของ Shen Yun Dancer ซึ่งเป็นบริษัทเสื้อผ้า ทั้งสองคนต่างก็ยืนยันว่าพวกเขาจัดการเรื่องการดําเนินงานและการเงินกันเอง "อาจารย์หลี่ไม่ได้ดูแลเรื่องเหล่านี้ และเราก็ไม่ได้รายงานให้ท่านทราบ" พวกเขาพูด

เสื้อแจ็กเก็ตแบบใส่ได้ทั้งสองด้านสีน้ําเงินและสีเหลืองที่เพิ่งผลิตเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่มีคําว่า "ฝ่าหลุนต้าฝ่า" ได้รับการออกแบบโดยอาจารย์หลี่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เสื้อผ้าเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาอย่างรอบคอบเพื่อให้สะดวกสำหรับการนั่งสมาธิและกิจกรรมกลางแจ้งโดยให้ความอบอุ่น กันน้ํา และมีซิปที่สามารถรูดเปิดได้จากทั้งด้านบนและด้านล่าง คุณภาพของเสื้อผ้าเหล่านี้ดีมากเมื่อเทียบกับราคา เมื่อถามว่าทำไมจึงตั้งราคาต่ํา ผู้จัดการทั่วไปของ Shen Yun Dancer อธิบายว่า "แจ็กเก็ตทั้งสองรุ่นนี้ขายให้กับผู้ฝึกเท่านั้น และอาจารย์หลี่หวังว่าเราจะตั้งราคาให้ต่ําที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" ในการตอบกลับ อาจารย์ยิ้มและเสริมว่า "ผมเคยพูดอย่างนั้น ถ้าเป็นไปได้ ผมหวังว่าจะให้ผู้ฝึกฟรี"

แนวคิดเรื่อง "ให้ผู้ฝึกฟรี" เป็นคำที่คุ้นเคยมาก การกําหนดราคาและการขายหนังสือต้าฝ่า อาจารย์ก็เคยพูดวลีนี้หลายครั้งเช่นกัน ในส่วนของนักเรียนที่โรงเรียนเฟยเทียน ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าหนังสือ ค่าเสื้อผ้า และค่าเดินทาง ก็ให้ฟรี ซึ่งเทียบเท่าทุนการศึกษาที่โรงเรียนมอบให้กับนักเรียนแต่ละคนประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยผู้ปกครองจ่ายเฉพาะค่าเรียนพิเศษนอกโรงเรียนเท่านั้น

II. วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเจตจํานงที่แน่วแน่

ในสายตาของคุณ อาจารย์หลี่เป็นคนแบบไหน

ที่วัดหลงเฉวียน เราได้พบกับผู้ฝึกคนหนึ่งที่ทํางานใกล้ชิดอาจารย์มา 20 ปี เมื่อถามว่าอาจารย์เป็นคนแบบไหนในการใช้ชีวิตประจําวัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ผู้ฝึกคนนี้ก็ตอบอย่างช้า ๆ ว่า "อาจารย์มีเจตจำนงที่แน่วแน่เหนือธรรมดา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมีเป้าหมายที่ชัดเจน”

ผู้ฝึกคนนี้เล่าว่าไม่ว่าจะอยู่ที่วัดหลงเฉวียนหรือขณะเดินทาง ในตอนเช้าอาจารย์จะซักเสื้อผ้าของตัวเอง ไม่รับประทานอาหารเช้าหรือแค่ดื่มน้ําและกาแฟเล็กน้อย สําหรับมื้อกลางวัน ท่านรับประทานอาหารง่าย ๆ ที่โรงอาหารของวัดหลงเฉวียน และสําหรับมื้อเย็น มักจะเป็นซุปแป้งก้อนหรือข้าวเย็นแช่น้ําร้อนกับผักดอง

ผู้ฝึกอีกคนหนึ่งเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากอาหารมื้อเช้าครั้งหนึ่ง เมื่อเธอต้มไข่จำนวนหนึ่งและนําไปให้อาจารย์โดยหวังว่าอาจารย์จะเลือกฟองที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุด อาจารย์มองดูแล้วเลือกไข่ที่เปลือกแตกมากที่สุดแทน แล้วพูดว่า "ผมเอาอันนี้ก็พอแล้ว"

ผู้ฝึกอีกคนหนึ่งไม่ลืมช่วงเวลาที่อาจารย์พาพวกเขาไปรับประทานบุฟเฟต์ ตอนที่ไปตักอาหาร เขารู้สึกดีใจและอยากรีบตักอาหารให้เสร็จเร็ว ๆ แล้วรีบไปนั่งที่โต๊ะเหมือนคนอื่น ๆ แต่เมื่อเขามองหาอาจารย์ เขาเห็นอาจารย์ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเงียบ ๆ รอให้ทุกคนตักอาหารเสร็จก่อนแล้วท่านค่อยเข้ามาตักอาหาร "มือของผมหยุดชั่วขณะ รู้สึกว่าศิษย์ไม่ควรตักอาหารก่อนอาจารย์ แต่อาจารย์พยักหน้าเบา ๆ ส่งสัญญาณให้ผมตักอาหารก่อน"

เมื่อพูดถึงอาจารย์มี "เป้าหมายที่ชัดเจนและมีเจตจํานงที่แน่วแน่เหนือธรรมดา" ผู้ฝึกที่ทำงานใกล้ชิดกับท่านมา 20 ปีเล่าว่า "เมื่ออาจารย์ตั้งเป้าหมายแล้ว อาจารย์จะทำต่อไปเรื่อย ๆ แม้จะมีอุปสรรค ท่านก็ไม่ใส่ใจ ท่านไม่คิดเรื่องเงิน ท่านแค่ทําในสิ่งที่ต้องทํา" เขาพูดต่อว่า "การเห็นอาจารย์ทำเช่นนั้นทุกวัน เราอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เราก็ตระหนักว่ามันอัศจรรย์มาก ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร อาจารย์ก็ทําในสิ่งที่ต้องทําได้สําเร็จ ไม่เหมือนพวกเรา ที่มักจะยอมแพ้เมื่อเจอความยากลำบาก"

ผู้ฝึกพูดต่อว่า "มีหลายเรื่องที่เราคิดว่าทําไม่ได้ แต่อาจารย์ไม่สนใจ ท่านยังคงมุ่งหน้าทำในทิศทางนั้นจนกระทั่งสำเร็จในที่สุด ดังนั้นสําหรับผม มันคือเจตจํานงที่แน่วแน่และความตั้งใจของท่าน"

"ในมุมมองของผม 'ยาก' ไม่มีอยู่ในความคิดของอาจารย์ เราอาจมองว่าเรื่องนี้ยากหรือท้าทายมาก และคิดว่าความยากเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่สําหรับอาจารย์ ความยากลำบากไม่สามารถขัดขวางท่านได้"

ผู้ฝึกที่เคยทํางานในไซต์ก่อสร้างที่วัดหลงเฉวียนทราบว่าอาจารย์ทํางานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่ยากลําบากที่สุดหรือใช้แรงงานหนักที่สุด อาจารย์ก็จะอยู่ที่นั่น เมื่อยกไม้ซุง ท่านจะเลือกปลายที่หนักกว่า ท่านมักทําความสะอาดเศษขยะที่ไซต์ก่อสร้างเองและมักเร็วกว่าใคร ถ้าคนอื่นเข้าไปช้าหน่อย อาจารย์ก็จัดการเสร็จแล้ว ท่านมักทําความสะอาดก่อนที่คนอื่นจะไปถึง บ่อน้ำสกปรกที่ไม่มีใครอยากทำความสะอาด อาจารย์ไม่พูดอะไรแต่ลงมือทำทันที เมื่อมีก้อนหินก้อนเล็ก ๆ บนถนน อาจารย์ก็จะหยิบขึ้นมาแล้วโยนไว้ข้างทาง เพื่อป้องกันไม่ให้ล้อรถทับและทำลายพื้นผิวถนน ตะปูบนไซต์ก่อสร้างหรือบนถนน อาจารย์ก็จะเก็บมันขึ้นมา แยกประเภท และส่งให้คลังเก็บของ อาจารย์ให้คำแนะนําด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะของเสินยวิ่น การออกแบบเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉาก ท่านสอนเทคนิคการร้อง ดูแลการสร้างรายการใหม่ และตรวจสอบคุณภาพงาน ท่ามกลางตารางงานที่ยุ่งและระหว่างการเดินทาง อาจารย์ยังหาเวลาหยิบแฟ้มกระดาษธรรมดา ๆ ออกมาเขียนเนื้อเพลงและแต่งเพลงด้วย

ท่านได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าท่านเป็นผู้นําทุกคนในการบำเพ็ญ ท่านต้องเป็นตัวอย่างที่ดี มีบทเรียนทางประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับอันตรายเรื่องเงิน ท่านจึงไม่เคยรับเงิน ท่านเป็นตัวอย่างและสอนทุกคนให้ประหยัด ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องซื้ออุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการซ้อมและการแสดง เช่น ระบบไฟและวัสดุอุปกรณ์บนเวที อาจารย์จะบอกผู้ฝึกเสมอว่า "ต้องหาที่ลดราคา"

ในการสัมภาษณ์ อาจารย์อธิบายเพิ่มเติมว่า "เพราะมีเรื่องต้องทํามากมาย ผมจึงมักจะอยู่ในหอพักที่วัดหลงเฉวียน ผมต้องการให้ที่นี่เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกและเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสําหรับเด็ก ๆ" (หมายถึงศิลปินวัยเยาว์ที่เสินยวิ่นและนักเรียนที่โรงเรียนเฟยเทียน) ผมบอกพ่อแม่ของพวกเขาว่า 'ผมจะคืนลูกที่ดีที่สุดให้กับพวกคุณ นี่คือสิ่งที่ผมมุ่งมั่นที่จะทำ'"

III. พยายามดูแลทุกคน

เมื่อวัดหลงเฉวียนก่อตั้งขึ้นในปี 2000 ที่นั่นไม่มีอะไร มีเพียงป่าเขาธรรมชาติ ทะเลสาบในขณะนั้นไม่งดงามและไม่ใสสะอาด และมีบ้านไม้เก่า ๆ บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียวที่มีสามห้องนอนที่เรียบง่าย หนึ่งห้องนั่งเล่น และไม่มีที่จอดรถ ในวันที่ฝนตกหรือหิมะตก ทางเดินในป่าจะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อที่เต็มไปด้วยโคลนและยากต่อการสัญจร ผู้ฝึกที่เป็นอาสาสมัครที่วัดหลงเฉวียนในตอนนั้นต่างก็เต็มใจที่จะออกแรงและออกเงินของตน เพราะทุกคนเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของความจริง-ความเเมตตา-ความอดทน พวกเขายินดีที่จะยืนหยัดเคียงข้างอาจารย์ ซึ่งแม้จะถ่ายทอดฝ่าหลุนต้าฝ่าเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ แต่กลับถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนประทุษร้าย

พรรคคอมมิวนิสต์จีนแพร่ข่าวลือโดยอ้างว่าอาจารย์มีบ้านหลายหลังรวมถึงคฤหาสน์หรู รถยนต์หรูหลายคัน และเรือยอช์ตหลายลำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็พบว่าอาจารย์ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถยนต์ และไม่ได้รับเงินเดือนจากโครงการใด ๆ เลย เงินบริจาคที่ผู้ฝึกนำมาให้อาจารย์ ท่านก็มอบให้วัดหลงเฉวียนทั้งหมด ท่านกล่าวว่า "ผมไม่ต้องการเงิน ผมจะเอาเงินไปทําอะไร ผมคิดว่าไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ก็จะมีคนเลี้ยงผม ผมจะเอาเงินไปทําอะไร ผมรู้ว่าผมจะไม่มีวันอด"

ในระหว่างการสัมภาษณ์ อาจารย์ยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ตลอด สงบและสบายใจ ทําให้ฉันซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์นึกถึงคําสอนของอาจารย์ที่ว่า "ไม่โทษ ไม่โกรธ ไม่อาฆาตแค้น ทนทุกข์ด้วยความยินดี” "

ในช่วง 19 ปีที่ผ่านมา โรงเรียนเฟยเทียนและเสินยวิ่นได้พัฒนาเป็นสถาบันที่มีชีวิตชีวาที่มีห้องเรียนวิชาการ สตูดิโอเต้นรํา โรงอาหาร โรงละคร สํานักงาน ห้องสมุด หอแสดงคอนเสิร์ต และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจต่าง ๆ ทั้งหมดนี้สร้างด้วยอิฐที่ผู้ฝึกก่อขึ้นมาทีละก้อนด้วยการแนะนำของอาจารย์ สําหรับผู้ฝึกฝ่าหลุนกงหลายคน กระบวนการนี้ไม่เพียงเป็นการเอาชนะความยากลําบากและกําจัดกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำตามคำปฏิญาณที่พวกเขาเคยให้ไว้ก่อนที่จะมายังโลกด้วย

คณะศิลปะการแสดงเสินยวิ่นคณะแรกก่อตั้งขึ้นอย่างไร อาจารย์เล่าว่า "ในตอนแรก เรารวบรวมผู้ฝึกมากลุ่มหนึ่ง และนําคนหนุ่มสาวที่มีความสูงแตกต่างกันและไม่ค่อยรู้เรื่องการเต้นรําเข้ามา ค่อย ๆ ทำไปทีละก้าว พัฒนาไปทีละขั้นตอน แต่ในตอนนั้นไม่มีเงินเลย ทุกอย่างที่จำเป็นต้องดำเนินการ ผู้เข้าร่วมต้องจ่ายเงินเอง ครูทุกคนซื้อสิ่งที่ขาดด้วยเงินของตนเอง ผมก็ไม่ต่างกัน ทุกอย่างที่คิดได้ก็ต้องจ่ายเงินเอง ทุกคนทุ่มเทอย่างเต็มที่" "จนเริ่มมีการแสดงจึงเริ่มมีรายได้ เราก้าวมาแบบนี้ ทีละนิดทีละหน่อย" อาจารย์กล่าว

ฉันซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์จําได้ว่าตอนที่มีสตูดิโอเต้นรําเพียงห้องเดียว อาจารย์อยู่ที่นั่นเพื่อสอนนักเรียนเต้นรําฝึกตีลังกา ผู้ฝึกที่อยู่วัดหลงเฉวียนมาเป็นเวลานานจําตอนที่นักเรียนเรียนเต้นรําชนเผ่าแมนจูครั้งแรกได้ พวกเขาไม่เคยเห็นรองเท้าพื้นสูงแบบแมนจูมาก่อน อาจารย์จึงสวมและปรับรองเท้าให้นักเรียนแต่ละคนด้วยตัวท่านเอง

เมื่อเห็นของขวัญที่นักเรียนทำด้วยมือและมอบให้อาจารย์ด้วยความรัก ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่วัดหลงเฉวียน ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่ออกไปแล้วร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการใส่ร้ายฝ่าหลุนกงและเสินยวิ่น สำหรับเรื่องนี้ อาจารย์อธิบายว่าคนหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ได้มาที่เสินยวิ่นด้วยตัวเอง แต่ถูกพ่อแม่บังคับให้มา และในกรณีเช่นนี้พวกเขามักทําได้ไม่ดีนัก ในทางตรงกันข้าม คนหนุ่มสาวที่พูดว่า "ฉันต้องการบำเพ็ญในต้าฝ่า" และ "ฉันต้องการช่วยอาจารย์ในการเจิ้งฝ่า" พวกเขาจะแสดงออกได้ดีมาก

ผู้อ่านที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์จีนในศตวรรษที่ผ่านมาน่าจะทราบดีว่า ในหมู่พ่อแม่ที่เติบโตในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ การบังคับให้ลูก ๆ ทำตามความต้องการของตัวเองหรือทำตามความฝันที่ตัวเองยังทำไม่สำเร็จเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป ลักษณะนิสัยนี้เกิดจากการปลูกฝังวัฒนธรรมพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเข้มงวดในพ่อแม่หลายรุ่น ซึ่งไม่ให้ความสำคัญกับครอบครัว และไม่เคารพความปรารถนาส่วนบุคคล เพลง "พ่อและแม่ไม่เป็นที่รักเท่าประธานเหมา" แต่งขึ้นในปี 1966 และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศจีน แม้ว่าภายหลังเพลงนี้ถูกห้ามเนื่องจากผู้แต่งเพลงถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายต่อต้านพรรคของหลินเปียว แต่วลี "พ่อและแม่เป็นที่รัก แต่ที่รักมากกว่าคือประธานเหมา" และ "พ่อและแม่ไม่เทียบเท่าพรรคคอมมิวนิสต์" ถูกฝังลึกอยู่ในความคิดของคนจีนหลายรุ่น โดยแทนที่ความรักในครอบครัวด้วยความจงรักภักดีต่อพรรค และคนจีนหลายรุ่นเคยชินกับการบังคับตัวเองให้รับความคิดของพรรค และบังคับให้ลูกทำตามความต้องการของตนเอง

จากการแพร่กระจายของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก ทำให้มีคนรับแนวคิดนี้มากขึ้น การบังคับคนอื่นและไม่เข้าใจการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกตามปกติจึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยขึ้น ผู้ฝึกบางคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงแนวคิดนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของวัฒนธรรมพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ฝังรากลึก รวมถึงสภาวะการบำเพ็ญส่วนบุคคลด้วย

เป็นเวลา 10 ปีกว่าแล้วที่อาจารย์ได้มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักเรียนที่วัดหลงเฉวียน ตั้งแต่การดูแลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารให้พวกเขา (มากกว่าที่ท่านสามารถให้ลูกสาวของท่านเองขณะที่เธออยู่ในวัยของนักเรียนเหล่านี้) ไปจนถึงทำขนมให้และแจกให้พวกเขาในเวลากลางคืนด้วยความเป็นห่วงว่าพวกเขาฝึกหนักและกำลังเติบโต ทำให้หิวในเวลากลางคืน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาจารย์ยิ้มและอธิบายว่า "เพราะเด็ก ๆ ยังเล็ก ผมจึงต้องดูแลพวกเขาเหมือนเป็นพ่อแม่ของพวกเขา"

ผู้ฝึกที่วัดหลงเฉวียนบอกว่ามีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่อาจารย์ทําในแต่ละวัน ทุกคนมีเรื่องราวของตนเอง เล่าได้ไม่หมด

ชุมชนขนาดใหญ่ไม่เหมือนครอบครัวเล็ก ๆ ชุมชนขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นหลายเท่าตามจำนวนคน ค่าใช้จ่ายที่วัดหลงเฉวียนมหาศาล เช่น ค่าเชื้อเพลิงสำหรับทำความร้อนและค่าไฟฟ้ารายเดือน ค่าเครื่องปรับอากาศ และค่าอาหารในแต่ละวันสําหรับคนจํานวนมาก และโรงเรียนก็ให้ทุนการศึกษาเต็มจํานวนกับนักเรียน สิ่งเหล่านี้เป็นภาระทางการเงินมหาศาล

อาจารย์ไม่เพียงใส่ใจนักเรียนเท่านั้น แต่ยังห่วงใยคนที่จบการศึกษาแล้วด้วย เพราะการหางานของคนที่จบทางด้านศิลปะจะยากกว่าคนที่จบทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ การหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพและสร้างอาชีพสำหรับอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นักศึกษาที่ยังคงอยู่ที่เฟยเทียนเพื่อเป็นอาจารย์หรือประกอบอาชีพในฐานะนักแสดงมืออาชีพของเสินยวิ่นต้องได้รับเงินเดือนเพื่อเลี้ยงดูตนเอง ทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินสนับสนุนจํานวนมาก

เป็นที่ชัดเจนว่าในฐานะผู้อํานวยการฝ่ายศิลป์ของเสินยวิ่น อาจารย์ให้ความสําคัญกับพรสวรรค์ และที่สําคัญกว่านั้นคือในฐานะอาจารย์ของฝ่าหลุนต้าฝ่า อาจารย์หวังว่านักเรียนของท่านจะเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญได้ดีและบรรลุเป้าหมาย

IV. การถ่ายทอดฝ่า

วันนี้ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงทุกคนเข้าใจว่าคําสอนที่อาจารย์ถ่ายทอดให้เราคือหลักการที่ลึกซึ้งของจักรวาล—ความจริง-ความเเมตตา-ความอดทน ดังนั้นในประเทศจีนที่ปกครองโดยคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นสังคมที่ต่อต้านเทวนิยมและความเชื่อทางศาสนาอย่างแข็งขัน ทั้งยังควบคุมความคิด การกระทํา และเศรษฐกิจของทุกคนทุกแง่มุมอย่างเข้มงวดโดยไม่คํานึงถึงอายุหรือเพศ ในสังคมที่มีลักษณะเผด็จการที่นั่น ฝ่าหลุนต้าฝ่าสามารถเข้าถึงสาธารณชนได้อย่างไร

ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ถึงปลายทศวรรษ 1990 ประเทศจีนมีกระแส "ความนิยมชี่กง" และมีผู้สนใจชี่กงหลายสิบล้านคน ประโยชน์ต่อสุขภาพที่เห็นได้ชัดเจนของชี่กงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการรักษาโรคและเสริมสร้างสุขภาพร่างกายจุดประกายความสนใจอย่างกว้างขวาง จึงนำไปสู่การให้ความสำคัญกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างการมนุษย์และการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับจิตใจ เมื่อเวลาผ่านไป การวิจัยและการทดลองในสาขาเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสนใจที่เพิ่มขึ้น แต่หลายคนที่ต้องการค้นคว้าความลึกลับของร่างกายมนุษย์ ชีวิต และจักรวาล กลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถหาคำตอบที่ดีกว่าและน่าเชื่อถือ

ในปี 1992 อาจารย์หลี่เริ่มเผยแพร่คําสอนของฝ่าหลุนต้าฝ่าสู่สาธารณชนด้วยโอกาสที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ อาจารย์หวนนึก "ตอนแรก ที่ฉางชุน ผู้คนพูดถึงชี่กง ผมฟังและพูดสองสามคำ พอผมพูด พวกเขาก็ทึ่ง และพูดว่า 'ว้าว ! ฉันสนใจสิ่งที่คุณพูด—คุณช่วยบอกเราเพิ่มอีกหน่อย !' เนื่องจากผมรู้เรื่องที่พวกเขาถาม จึงไม่ยากที่จะพูดเพิ่มเติม หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดว่า 'ว้าว ! คุณช่วยจัดชั้นเรียนให้เราได้ไหม'"

ท่านเล่าต่อว่า "คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ฝึกชี่กงมานานแล้ว พวกเขาพูดโดยไม่ลังเลว่า "ฉันจะจัดสถานที่ให้คุณ !" พวกเขาจัดเตรียมรายละเอียดต่าง ๆ และเร่งว่า 'อาจารย์หลี่ รีบมาบรรยายให้พวกเราฟังหน่อย !' บางคนอยากฟังมากและคะยั้นคะยอให้ผมสอนพวกเขา ในที่สุดผมก็ไปบรรยายให้พวกเขาฟังที่โรงเรียนมัธยมฉางชุนหมายเลข 5"

ความแตกต่างจากการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมคือผู้ที่ชื่นชอบชี่กงคุ้นเคยกับการบรรยายที่ปรมาจารย์ชี่กงจะแสดงให้เห็นถึงผลการรักษาของชี่กงในระหว่างการบรรยายของเขาด้วย พวกเขาจึงคาดว่าอาจารย์หลี่จะสอนแบบเดียวกัน ที่จริงอาจารย์มาเพื่อถ่ายทอดคำสอนของต้าฝ่า อาจารย์หวนนึก "มันควรจะเป็นการบรรยาย แต่พวกเขาพาผู้ป่วยมาด้วย เพราะการบรรยายชี่กงอื่น ๆ ทำแบบนี้ พอผมเริ่ม ผู้ป่วยเหล่านี้ก็ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แล้วผมจะทําอย่างไร ผมจะบรรยายในขณะที่พวกเขาร้องโอดครวญได้อย่างไร บางคนมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ด้วย ผมจึงเดินไปช่วยพวกเขา ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที พวกเขาทุกคนก็ลุกขึ้นยืน ผมอยู่บนเวที—ห้องบรรยายเป็นแบบขั้นบันได—ผมพูดว่า 'ฟัง ! เดิน !' แล้วพวกเขาทุกคนก็เริ่มเดิน บางคนลุกจากเตียงไม่ได้หรือเป็นอัมพาตและก่อนหน้านี้ลุกขึ้นยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ จากนั้นผมก็พูดว่า 'วิ่ง !' แล้วพวกเขาก็เริ่มวิ่ง หลังจากนั้นผมพูดว่า 'เอาล่ะ ตอนนี้เราเริ่มการบรรยายได้แล้ว' ตอนนั้นพวกเขาเข้าใจทันที บางคนพูดออกมาว่า 'ว้าว แม้แต่ปรมาจารย์ชี่กงผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ทรงพลังขนาดนี้ !' และนั่นคือตอนที่ผมเริ่มสอน หลังจากนั้นพวกเขาก็ถามคําถามและผมก็ตอบคําถามให้พวกเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่สามารถหยุดได้แล้ว"

คนที่เป็นอัมพาตหรือป่วยหนักต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากขนาดไหนในการรักษา ผู้ที่คุ้นเคยกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้ามิลาเรปาน่าจะพอเข้าใจในเรื่องนี้ได้บ้าง อาจารย์หลี่ทำให้คนเหล่านั้นฟื้นฟูสุขภาพและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในทันที แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อาจารย์กลับเล่าด้วยความสงบเงียบ

ในวงการบำเพ็ญ เชื่อกันว่ามนุษย์ในปัจจุบันล้วนมาจากชีวิตในระดับชั้นสูงกลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นเมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงความลับของสวรรค์ สิ่งที่ซ่อนลึกในใจมานานของหลายคนจึงถูกปลุกขึ้นมา หลังจากสอนแล้ว อาจารย์พูดว่า "ผมพูดสิ่งที่คุณจําเป็นต้องรู้แล้ว ตอนนี้เริ่มฝึกพลังกันเถอะ" ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบชี่กงบางคนจึงเริ่มฝึกฝ่าหลุนกง จากจุดนั้นเป็นต้นมา อาจารย์ก็ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็น "ปรมาจารย์ชี่กง" หรือ "อาจารย์หลี่" ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เรียกครูสอนชี่กง

แม้ว่าอาจารย์ผู้ถ่ายทอดต้าฝ่าด้วยหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ชี่กง ท่านก็ไม่ได้สนใจชื่อที่คนเรียกหรือสถานภาพ ความสนใจเพียงอย่างเดียวของท่านคือเพื่อประโยชน์ต่อสรรพชีวิต ดังที่ท่านพูดเมื่อนานมาแล้วว่า "คนจะเรียกข้าพเจ้าว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น ท่านเรียกชื่อของข้าพเจ้า เรียกข้าพเจ้าว่าอาจารย์ อะไรก็ได้” (“บรรยายธรรม ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยนานาชาติอเมริกาฝั่งตะวันตก” รวมการบรรยายธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ 7)

เรื่องราวมากมายหลังจากนั้นส่วนใหญ่น่าจะทราบกันแล้ว บทความระลึกถึงอาจารย์มากมายมีอยู่บนเว็บไซต์ Minghui ซึ่งจัดอยู่ภายใต้หมวดหมู่ "การระลึกถึงพระคุณของอาจารย์" ผู้ที่สนใจสามารถหาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเหล่านี้

ความประหยัดเป็นธรรมชาติของอาจารย์ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ท่านก็ไม่ยอมให้เงินมาเป็นข้อจำกัด

ระหว่างปี 1992 ถึงสิ้นปี 1994 เมื่ออาจารย์จัดชั้นเรียนแบบสอนสดในห้องในประเทศจีน แต่ละคอร์สใช้เวลาเฉลี่ย 9 วันและมีค่าใช้จ่าย 50 หยวน (พร้อมส่วนลด 50% สําหรับผู้ฝึกเก่า) หรือประมาณ 8 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ครอบคลุมค่าเดินทางด้วยรถไฟ ค่าอาหาร และค่าพิมพ์เอกสาร เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนชี่กงในเวลานั้นแล้ว ราคานี้ต่ํามาก จนทำให้อาจารย์ชี่กงอื่นไม่พอใจ รู้สึกว่าเป็นการตัดราคา แต่อาจารย์ยังคงตั้งราคานี้เพราะเห็นใจนักเรียน พยายามประหยัดเงินให้พวกเขา

เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อาจารย์จะเลือกนั่งรถไฟแบบที่นั่งแข็งในการเดินทางไกล และแทบไม่เคยใช้ที่นอนเลย ยกเว้นในบางโอกาส แต่อาจารย์สังเกตว่า แปลกที่แม้รถไฟจะเต็มและท่านซื้อตั๋วแบบนั่ง แต่ที่นั่งข้าง ๆ ของท่านมักจะว่าง ทําให้ท่านสามารถนอนพักผ่อนได้ อาหารของท่านคือบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปเป็นหลัก บางครั้งก็รับประทานบะหมี่น้ำที่ร้านข้างทางเพื่อเปลี่ยนบ้าง ที่พักก็เป็นโรงแรมที่เรียบง่ายราคาถูกเสมอ ทีมงานมักนําบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปติดตัวไปด้วย พร้อมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการฝึกที่พิมพ์ไว้ล่วงหน้าใส่ในถุงธรรมดา ๆ ในช่วง 2 ปี อาจารย์ได้จัดชั้นเรียนโดยสอนสดในห้อง 54 คอร์ส เจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปด้วยถึงกับเบื่อบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปจนแทบจะกินไม่ลงอีกต่อไป แต่สำหรับผู้ที่เข้าฟังการบรรยาย พวกเขารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่ได้รับจากอาจารย์จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

แม้การจัดชั้นเรียนเพื่อสอนฝ่าในช่วง 2 ปีนั้นจะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย แต่อาจารย์ก็ให้ความสำคัญกับการทำสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

เมื่อถึงเวลาที่จะเริ่มจัดพิมพ์หนังสือต้าฝ่า ไม่มีเงินจะทำได้อย่างไร ผู้ฝึกคนหนึ่งจากปักกิ่งซึ่งมีรายได้จากธุรกิจของตัวเองให้อาจารย์ยืมเงินหลายพันหยวน เมื่อร้านหนังสือเริ่มจำหน่ายหนังสือฝ่าหลุนกง (China Falun Gong) ผู้ฝึกเกรงว่าอาจารย์จะไม่สามารถคืนเงินได้ อาจารย์จึงรีบคืนเงินด้วยรายได้จากการขายหนังสือ ต่อมาหลังจากเอาชนะความยากลำบากมากมาย ก็ได้จัดพิมพ์หนังสือจ้วนฝ่าหลุน

อาจารย์เล่าระหว่างการสัมภาษณ์ของเราว่าหนึ่งในผู้ฝึกที่ช่วยท่านในการจัดชั้นเรียนแบบสอนสดเป็นนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางครั้งอาจารย์ไม่มีเงินทุนสําหรับค่าเดินทาง ผู้ฝึกคนนี้จะออกค่าเดินทางให้ ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับอาจารย์ว่า "อาจารย์ดูสิ ปรมาจารย์ชี่กงคนอื่น ๆ หาเงินได้หลายหมื่นหรือหลายแสนหยวน แต่อาจารย์ไม่มีแม้แต่ค่าที่พักในโรงแรม" ในเวลานั้นเงินหลายหมื่นหยวนเป็นจํานวนเงินที่มาก ในช่วงหลายปีนั้น อาจารย์สามารถทำงานต่อไปได้ก็ด้วยการสนับสนุนของผู้ฝึกคนนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อาจารย์หัวเราะอย่างจริงใจและพูดว่า "สิ่งที่ต้องทําก็ต้องทำให้สําเร็จ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน—และสามารถทําได้"

กลับไปที่เรื่องการถ่ายทอดฝ่าในประเทศจีน แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ฝ่าหลุนกงก็มีอิทธิพลมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน บางคนจึงเริ่มวางแผนต่อต้านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาสืบสวนอย่างลับ ๆ พวกเขาพบว่าอาจารย์ไม่มีเงินและไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง แล้วพวกเขาจะโจมตีอาจารย์ได้อย่างไร ในเวลานั้น อาจารย์มีอิทธิพลอย่างมากทั่วประเทศจีนแล้ว และความวุ่นวายของการปฏิวัติวัฒนธรรมก็สิ้นสุดแล้ว แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่ฉาวโฉ่ในเรื่องใส่ร้ายผู้คนก็ยังต้องหาข้ออ้างในการลงมือ

อาจารย์เล่าว่า "ในปี 1996 ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งการ แต่ผู้อํานวยการที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งจากกระทรวงพาณิชย์เชิญผมไปรับประทานอาหารเย็น ในเวลานั้นคนที่เชิญผมไปรับประทานอาหารมักหวังว่าจะให้รักษาโรค ผมก็เลยไป หลังจากที่เรานั่งลง เจ้าหน้าที่ก็พูดกับผมตรง ๆ ว่า 'อาจารย์หลี่ คุณมีอิทธิพลในประเทศจีนมากเกินไป คุณต้องออกจากประเทศ' เธอพูดตรงไปตรงมาอย่างชัดแจ้ง เมื่อผมได้ยินเช่นนั้น ผมก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเจียงโกรธมาก ถนนฉางอันทั้งสองฝั่งมีคนฝึกฝ่าหลุนกงเต็มไปหมด ผมจึงตอบว่า 'ตกลง ผมจะไปต่างประเทศ'"

ในประเทศจีน ทุกศาสนาก็เผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน ถ้าไม่จัดตั้งสาขาของพรรคหรือไม่ยอมรับว่า "ผลประโยชน์ของพรรคอยู่เหนือสิ่งใด" พรรคก็จะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หาโอกาสเล่นงานคุณ บางครั้งก็ถึงจุดที่ทําให้คุณไม่มีที่ยืน แม้ว่าฝ่าหลุนกงด้วยหลักการของความจริง-ความเเมตตา-ความอดทน จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและยกระดับมาตรฐานทางศีลธรรมให้ชาวจีนหลายล้านคน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของรัฐจำนวนมาก อาจารย์หลี่ก็ยังคงถูกบังคับให้ออกนอกประเทศจีน

ในปี 1997 อาจารย์ได้รับวีซ่าอเมริกันสําหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษและย้ายไปสหรัฐอเมริกา ในปี 1998 หลังจากที่ท่านไปจัดการเรื่องบางอย่างในประเทศจีนอยู่พักหนึ่ง ท่านก็กลับมาที่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ท่านและครอบครัวมีเงินเพียงเล็กน้อยและไม่มีที่พัก ตอนแรกท่านต้องการไปซานฟรานซิสโก แต่ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงที่นั่นบอกว่าพวกเขาหาที่พักไม่ได้ อาจารย์และครอบครัวจึงได้รับเชิญให้ไปที่แอตแลนตาโดยพักในอะพาร์ตเมนต์ที่คับแคบร่วมกับผู้ฝึกอีกคนหนึ่ง เมื่อไม่สามารถดำรงชีวิตที่นั่นได้ อาจารย์และครอบครัวจึงย้ายไปนิวยอร์ก ในที่สุดอาจารย์ก็อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์สตูดิโอเล็ก ๆ ที่ผู้ฝึกเช่าคนหนึ่งเช่าไว้ในย่านแมนฮัตตันตอนบน ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็แพร่ข่าวลือที่เป็นเท็จว่าอาคารนั้นเป็น "อาคารของหลี่หงจื้อ" หลังจากการประทุษร้ายเริ่มขึ้นในปี 1999

เมื่อมองธรรมเนียมประเพณีของการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมของทั้งตะวันออกและตะวันตก เป็นธรรมดาที่ผู้ถ่ายทอดธรรมะจะได้รับการบริจาคหรือการสนับสนุนจากศิษย์ของตน แต่อาจารย์ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากศิษย์ อาจารย์เพียงต้องการให้เรามีใจที่มุ่งมั่นในการบำเพ็ญ ท่านไม่ต้องการเงินจากศิษย์เลย แต่กลับมอบสุขภาพที่ดีให้กับเราและช่วยให้เราไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาโรค

อาจารย์ควรมีชีวิตที่สะดวกสบายกว่านี้มาก และไม่ยากที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพกว่านี้ แต่เป้าหมายของอาจารย์สูงส่งกว่านั้น ทําไมอาจารย์ถ่ายทอดต้าฝ่า ทำไมอาจารย์แนะนําผู้ฝึกในการบำเพ็ญอย่างไม่ย่อท้อ ทําไมอาจารย์จึงเป็นผู้อํานวยการฝ่ายศิลป์ของเสินยวิ่น ทําไมอาจารย์จึงอาสาช่วยในโครงการที่ผู้ฝึกดำเนินการ ศิษย์ที่บำเพ็ญจริงทุกคนทราบคําตอบสําหรับคําถามเหล่านี้

ทุกวันนี้แม้แต่คนที่ไม่ได้บำเพ็ญก็ทราบว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าแตกต่างจากการฝึกชี่กงอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง การฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่ใช่เพื่อรักษาโรค หรือเพื่อหาเงิน หรือเพื่อสร้างภาพว่าเคร่งศาสนา ฝ่าหลุนต้าฝ่าคือเส้นทางการบำเพ็ญตนในสายพุทธอย่างแท้จริง โดยสอนหลักการของความจริง-ความเเมตตา-ความอดทน และหวนกลับคืนสู่ดั้งเดิมแท้จริง

ฝ่าหลุนกงอดทนต่อการประทุษร้ายมานานกว่า 1 ใน 4 ของศตวรรษแล้ว แต่หลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนยังคงยืนหยัดไม่สั่นคลอน ส่องสว่างใจของผู้ฝึก และเสริมสร้างความคิดถูกต้องของผู้ที่เชื่อ ความอุตสาหะและความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝ่าหลุนกงมีรากฐานมาจากความเชื่อที่แน่วแน่ในคําสอนเหล่านี้ มาจากรากฐานทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง และมาจากคําสอนและแบบอย่างของอาจารย์หลี่หงจื้อ