(Minghui.org) หลังจากประทุษร้ายฝ่าหลุนกงมานานกว่า 25 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party, CCP) ก็มุ่งโจมตีทั้งเสินยวิ่นและฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ

โดยพื้นฐานแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่สามารถทนฝ่าหลุนกงหรือเสินยวิ่นได้ เนื่องจากค่านิยมดั้งเดิมที่ฝ่าหลุนกงและเสินยวิ่นส่งเสริมขัดแย้งกับธรรมชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีแต่ความเกลียดชัง ความโหดร้าย และการหลอกลวง แต่การโจมตีเมื่อเร็ว ๆ นี้แตกต่างจากการประทุษร้ายในช่วงเริ่มต้นในบางแง่มุม อดีตผู้นำ เจียง เจ๋อหมิน เริ่มการประทุษร้ายในปี ค.ศ. 1999 เพราะเขาไม่สามารถทนต่อความนิยมของฝ่าหลุนกงได้ แต่ในช่วงหลังนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่การทำลายสหรัฐฯ และแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอํานาจอันดับหนึ่งของโลก แต่ยังพยายามโยนความผิดในการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงไปให้สหรัฐฯ ด้วย

(ต่อจากตอนที่ 1)

เหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าอเมริกาได้ช่วยเหลือและสนับสนุนประชาชนจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ชิง การช่วยเหลือนี้รวมถึงนโยบายประนีประนอมที่สหรัฐฯ ช่วย CCP ในช่วงเวลาวิกฤต 3 ครั้งใหญ่

ครั้งแรกเริ่มต้นด้วยการประชุมจาการ์ตา (Jakarta Conference) ในปี ค.ศ. 1945 การประนีประนอมให้ CCP ครั้งนี้ได้ทําลายอธิปไตยของสาธารณรัฐจีน (Republic of China, ROC) และทําให้พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต (Soviet Communist Party) ได้รับสิทธิและผลประโยชน์มากมาย 2 ปีต่อมา ประธานาธิบดีสหรัฐ แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน ได้ส่งนายพลจอร์จ ซี มาร์แชล ไปไกล่เกลี่ยสงครามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยบีบบังคับให้เจียงไคเช็คยอมร่วมมือกับ CCP ผลจากการรู้เห็นเป็นใจและความคิดที่เป็นเพียงความฝันของสหรัฐฯ ทำให้ CCP สามารถทำลายเศรษฐกิจของ ROP และยึดอำนาจการปกครองจาก ROP ได้

ครั้งที่ 2 เป็นครั้งที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินทางเยือนจีนในปี 1972 และการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ (CCP) และตัดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีน (ROP) ของประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ในปี 1979 ครั้งที่ 3 เริ่มต้นด้วยนโยบายประนีประนอมกับ CCP ของประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 และตามมาด้วยการสนับสนุนให้ CCP เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (World Trade Organization, WTO) ของประธานาธิบดีบิล คลินตัน หลังจากที่ CCP เริ่มประทุษร้ายฝ่าหลุนกงในปี 1999

อาจกล่าวได้ว่า ทุกครั้งที่ CCP อยู่ในช่วงวิกฤต อเมริกาก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือให้ CCP รอดพ้นจากสถานการณ์ความเป็นความตาย ทำให้ CCP เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมา

ปัจจุบันจีนได้กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ CCP โฆษณาชวนเชื่อว่า 100 ปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ CCP ถือกําเนิด และ "ตะวันออก [จีนคอมมิวนิสต์] ขาขึ้น ตะวันตกขาลง" เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแสดงถึงการดูหมิ่นสถานะผู้นำโลกของอเมริกาอย่างเปิดเผย

การตอบแทนบุญคุณด้วยความเป็นปรปักษ์

ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือ CCP อย่างต่อเนื่อง แต่แทนที่ CCP จะขอบคุณ กลับยุยงให้ประชาชนจีนเกิดความเกลียดชังสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และพยายามทุกวิถีทางเพื่อแทรกซึมและทําลายสหรัฐฯ

เมื่อ CCP ต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1947 CCP ก็ได้หลอกลวงสหรัฐฯ ให้เข้าข้างตนในการต่อต้านพรรคก๊กมินตั๋ง โดยตีพิมพ์บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ซินหัวเดลี่ (Xinhua Daily) ของ CCP เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 ว่า "ตั้งแต่อายุยังน้อย เราคิดว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่น่ารัก เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความจริงที่ว่าสหรัฐฯ ไม่เคยยึดครองจีน และไม่เคยเปิดฉากรุกรานจีน ยิ่งกว่านั้น ประชาชนจีนมีความประทับใจสหรัฐฯ เนื่องจากลักษณะของประชาชนที่มีความเป็นประชาธิปไตยและใจเปิดกว้าง"

หลังจาก CCP ใช้ประโยชน์จากนโยบายประนีประนอมของสหรัฐฯ เพื่อยึดอำนาจปกครองในจีนได้สำเร็จ ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1949 เหมาเจ๋อตงได้ประกาศนโยบาย "เกี่ยวกับเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน" ว่าจีนจะเข้าข้างสังคมนิยมและติดตามสหภาพโซเวียต

หนึ่งปีต่อมา ในปี 1950 CCP ส่งทหารไปแทรกแซงในสงครามเกาหลี เพื่อปลุกระดมความเกลียดชังอเมริกา CCP แจกหนังสือเล่มเล็กชื่อ “วิธีการมองอเมริกา (How to View America)” ทั่วประเทศ ซึ่งมีการประกาศว่า "เราเกลียดชังอเมริกาเพราะมันเป็นศัตรูคู่อาฆาตของชาวจีน... เราดูถูกอเมริกาเพราะมันเป็นประเทศจักรวรรดินิยมที่เสื่อมทราม... เราเหยียดหยามอเมริกาเพราะมันเป็นเสือกระดาษที่สามารถเอาชนะได้อย่างสิ้นเชิง"

หนังสือพิมพ์ People's Daily ได้จัดทํา "ฉบับพิเศษเพื่อต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ และช่วยเหลือเกาหลี" โดยมีการตีพิมพ์เกือบ 200 ฉบับในเวลา 4 ปี สหพันธ์วรรณกรรมและศิลปะ (Literary and Art Federation) ได้ระดมปัญญาชนและศิลปินเพื่อผลิตภาพยนตร์ ละคร ศิลปะพื้นบ้าน เพลง บทกวี นวนิยาย ภาพเขียน และสื่ออื่น ๆ เพื่อเผยแพร่ความเกลียดชังและการดูถูกนี้ นอกจากนี้ สถานที่ทํางาน โรงงาน และหมู่บ้านทุกแห่งได้ใช้วิธีต่าง ๆ เช่น กระดานดํา โปสเตอร์ติดผนัง ฟอรัม การประชุมฟ้องร้อง การประชุมประณาม และอื่น ๆ เพื่อทำการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง

การรณรงค์เหล่านี้ได้เปลี่ยนการรับรู้ของประชาชนจีนที่มีต่ออเมริกาอย่างสิ้นเชิง เดิมประชาชนจีนเคยชอบอเมริกามาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐจีน (ROC) แต่การหล่อหลอมนี้ทำให้ประชาชนจีนหลายชั่วอายุคนรู้สึกชาตินิยมและมีความเกลียดชังและต่อต้านอเมริกาอย่างลึกซึ้ง การล้างสมองนี้ลึกซึ้งมากจนเมื่อประธานาธิบดีนิกสันของสหรัฐฯ ไปเยือนจีนในปี 1972 และจับมือกับเหมาเจ๋อตง คนจีนจำนวนมากรู้สึกสับสน ตกตะลึง ยอมรับไม่ได้ และสะเทือนใจ

50 กว่าปีที่ผ่านมา ประชาชนจีนถูกโฆษณาชวนเชื่อของ CCP หลอกลวงให้เกลียดชังอเมริกา พวกเขาคุ้นเคยและพูดถึง "ความชั่วร้าย" และ "ความเสื่อมทราม" ในอเมริกาอย่างสนุกสนาน CCP ใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์สำคัญระหว่างประเทศ เช่น เครื่องบินจีนชนกับเครื่องบินสหรัฐฯ การวางระเบิดสถานทูตยูโกสลาเวีย และวิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวัน 4 ครั้ง ในการปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมของประชาชนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองที่สกปรก เช่น การเบี่ยงเบนความสนใจจากความขัดแย้งภายในประเทศและกดดันอเมริกา CCP ยังสร้าง "กลุ่มต่อต้านจีนในต่างประเทศ" ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการควบคุมความมั่นคงภายในประเทศและปราบปรามประชาชนด้วย

หลังจากที่ CCP เข้าร่วม WTO CCP ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคํามั่นสัญญาทางการค้าต่างประเทศ 74 ข้อที่ให้ไว้ แต่กลับทํากําไรมหาศาลด้วยการใช้ประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์ และใช้เวลาเพียง 10 ปีในการก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก CCP ใช้วิธีการค้าที่ไม่เป็นธรรมในการสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง เช่น การให้เงินอุดหนุนการส่งออก การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้ได้ประโยชน์มหาศาลจากสหรัฐฯ ในช่วงปี 2000 ถึง 2016 อุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ เติบโตไม่ถึง 9% อุตสาหกรรมการผลิตที่ลดลงทำให้ตำแหน่งงานหายไปเกือบ 5 ล้านตําแหน่งในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งทำให้ CCP ได้รับประโยชน์อย่างมาก

ในปี 2020 เนื่องจาก CCP ปกปิดการระบาดของโควิด ทำให้โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ในสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.1 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจํานวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 และเทียบเท่าจํานวนผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองอเมริกันรวมกับผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมกัน ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product, GDP) ที่แท้จริงของสหรัฐฯ หดตัว 3.5% ในปี 2020 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปีนับตั้งแต่ปี 1946 CCP กล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ เป็นผู้นำไวรัสมายังอู่ฮั่นเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และปลุกระดมให้ประชาชนจีนรู้สึกเกลียดชังสหรัฐฯ อีกครั้ง

ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา CCP ได้เปิดฉากสงครามไร้ขีดจำกัดแบบเงียบ ๆ กับอเมริกา เพื่อขยายอิทธิพลไปประเทศอื่น ๆ โดยการลงทุนในโครงการริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road)" ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าแผนมาร์แชลล์ที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือยุโรปหลายเท่า เพื่อดึงดูดประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาเป็นพันธมิตรต่อต้านสหรัฐฯ นอกจากนี้ CCP ได้ใช้ “สถาบันขงจื๊อ (Confucius Institutes) และโครงการต่าง ๆ เช่น "แผนหมื่นคน (Thousand Talents Plan)" และ "นักวิชาการแยงซี (Yangtze River Scholars)" เพื่อแทรกซึมสหรัฐฯ ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร วัฒนธรรม การศึกษา และการทูต

CCP เริ่มใช้สงครามในรูปแบบของสงครามทางความคิดเห็นสาธารณะ สงครามข้อมูล สงครามทางกฎหมาย และสงครามไซเบอร์ เพื่อโจมตีสหรัฐอเมริกา CCP ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Tiktok, YouTube และ Facebook เพื่อทำสงครามด้านการรับรู้กับสหรัฐฯ และก่อให้เกิดความแตกแยกภายในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่ CCP เคยใช้ “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” เป็นข้ออ้างในการจัดการกับเจียงไคเช็คและดึงดูดเยาวชนรักชาติของจีนให้หันมาเข้าข้างลัทธิคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน CCP ส่งออกอุดมการณ์ของตนไปยังประชาชนในโลกเสรี ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสหรัฐฯ เพื่อเผยแพร่ความคิดเห็นของ CCP และสร้างความแตกแยกในสหรัฐฯ และสนับสนุนกลุ่มผู้สนับสนุน CCP ที่อยู่ในสหรัฐฯ

ความเป็นปรปักษ์ของชาวจีนที่มีต่อชาวอเมริกันฝังลึกในจิตใจของพวกเขา เพราะ CCP ปลูกฝังอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ให้ประชาชนเริ่มตั้งแต่วัยเด็กในโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัย ในที่ทำงาน วัยกลางคน วัยชรา จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แม้แต่ผู้ที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาก็ยังหลีกเลี่ยง YouTube, Facebook และ TikTok ไม่ได้ แม้ผู้ที่ไม่ใช้โซเชียลมีเดียก็มีแนวโน้มที่จะดูสื่อกระแสหลักของตะวันตกฉบับภาษาจีน (รวมถึง BBC) ซึ่งเผยแพร่อุดมการณ์ของ CCP อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน CCP ยังควบคุมองค์กรและพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (United Nations, UN), กลุ่มประเทศ BRICS, ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund, IMF) ให้รับใช้ CCP โดยมุ่งขยายอิทธิพลของ CCP ในเวทีโลก และลดบทบาทผู้นำและอำนาจของสหรัฐฯ ในประชาคมระหว่างประเทศ ชาวยุโรปหลายคนมีความใกล้ชิดกับตลาดจีน และรู้สึกดูถูกและไม่ชอบสหรัฐอเมริกาและชาวอเมริกัน เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน

ความเนรคุณอย่างสิ้นเชิงและการตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชังเช่นนี้ มีเพียง CCP เท่านั้นที่ทําได้และทำด้วยความภาคภูมิด้วย โดยอ้าง "ชุมชนที่มีชะตากรรมร่วมกันของมนุษยชาติ" เพื่อปกปิดและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ที่อันตรายคือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจของจีนเติบโตขึ้น จำนวนคนทั่วโลกที่ยอมรับ CCP และสนับสนุนแนวทางของ CCP ก็เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายคนเหล่านี้จะพบว่าตนเองถูก CCP ทำร้าย และเห็นว่าคำพูดและการกระทำที่สนับสนุน CCP ของพวกเขาสร้างผลกระทบด้านลบต่อสังคมของประเทศของตนเอง

(มีต่อ)