(Minghui.org) หลังจากประทุษร้ายฝ่าหลุนกงมานานกว่า 25 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Community Party, CCP) ก็มุ่งโจมตีทั้งเสินยวิ่นและฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ

โดยพื้นฐานแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่สามารถทนฝ่าหลุนกงหรือเสินยวิ่นได้ เนื่องจากค่านิยมดั้งเดิมที่ฝ่าหลุนกงและเสินยวิ่นส่งเสริมขัดแย้งกับธรรมชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีแต่ความเกลียดชัง ความโหดร้าย และการหลอกลวง แต่การโจมตีเมื่อเร็ว ๆ นี้แตกต่างจากการประทุษร้ายในช่วงเริ่มต้นในบางแง่มุม อดีตผู้นำ เจียง เจ๋อหมิน เริ่มการประทุษร้ายในปี ค.ศ. 1999 เพราะเขาไม่สามารถทนต่อความนิยมของฝ่าหลุนกงได้ แต่ในช่วงหลังนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่การทำลายสหรัฐฯ และแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอํานาจอันดับหนึ่งของโลก แต่ยังพยายามโยนความผิดในการประทุษร้ายฝ่าหลุนกงไปให้สหรัฐฯ ด้วย

พรรคคอมมิวนิสต์จีนตีสองหน้า

พรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อต้านและเกลียดชังสหรัฐฯ ในฐานะผู้นําของโลกเสรีมาอย่างยาวนาน CCP ได้เผยแพร่บทความหลอกลวงไปทั่วประเทศจีน เช่น "ชนชั้นกลางชาวอเมริกันไม่ดีเท่าแรงงานข้ามชาติชาวจีน" "การใช้ชีวิตด้วยเงิน 2,000 หยวนในประเทศจีนดีกว่าการใช้ชีวิตด้วยเงิน 3,000 ดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา" และ "อเมริกาเน่าเฟะถึงแก่น" ซึ่งเป็นการปลูกฝังความเกลียดชังสหรัฐฯ ในหมู่ชาวจีน และบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสหรัฐฯ เพื่อลดคุณค่าและใส่ร้ายสหรัฐฯ และประชาชนอเมริกันอย่างหนัก

ในขณะเดียวกัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้แนวคิดต่อต้านอเมริกาเพื่อแสดงถึงความรักชาติและเผยแพร่แนวคิดที่ว่า "สงครามระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" เพื่อล้างสมองคนจีนให้เชื่อว่าสหรัฐฯ "จะต่อต้านจีนเสมอ" และสหรัฐฯ "จะไม่มีวันล้มเลิกความตั้งใจที่จะทําลายเรา" ความเกลียดชังที่เกิดจากการปลุกปั่นเหล่านี้นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรง เช่น อาจารย์ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล 4 คน ซึ่งทำงานในประเทศจีนถูกชายชาวจีนคนหนึ่งแทงที่สวนสาธารณะในเมืองจี๋หลิน เหตุการณ์ร้ายแรงนี้ถูกประชาคมนานาชาติประณาม แต่เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพูดแบบขอไปทีว่าเป็น "อุบัติเหตุ"

อย่างไรก็ตาม แนวคิดต่อต้านอเมริกาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสองด้าน คือ ความเกลียดชังที่หยั่งรากลึก และการแสดงให้เห็นถึง "ความรัก" ที่มีเจตนาแอบแฝง

หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เริ่มแสดงท่าทีว่า "รัก" สหรัฐอเมริกาอย่างเอิกเกริกทันที พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จับกุมและตัดสินโทษ "เสี่ยวเฟินหง (little pinks)" 12 คน (กลุ่มชาตินิยมจีนวัยหนุ่มสาวที่โพสต์เนื้อหาสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทางออนไลน์) ที่เผยแพร่ข่าวลือว่าสวนสัตว์ของอเมริกาทารุณแพนด้ายักษ์ และลบความคิดเห็นต่อต้านอเมริกาบนบัญชีเวยป๋อ (Weibo) ของสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศจีนด้วย สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังเปิดตัวแคมเพนเพื่อ "บอกเล่าเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างสหรัฐฯ-จีน" ด้วย

พรรคคอมมิวนิสต์จีนเรียกกลยุทธ์นี้ว่า "สองมือของการปฏิวัติ" มือข้างหนึ่งแข็งกร้าว มืออีกข้างหนึ่งอ่อนโยน รัฐบาลจีนแสดงท่าทีหนึ่งต่อสาธารณะ แต่กลับทําสิ่งที่ตรงกันข้ามลับหลัง เมื่อการทูตแบบ “นักรบหมาป่า” ต้องเจอกับกําแพงเหล็กอย่างทรัมป์ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เริ่มแสร้งทําเป็นประเทศที่เป็นมิตรโดยเริ่มใช้การหลอกลวงเชิงกลยุทธ์แทน

ในเรื่อง "ความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับจีน" ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ช่วยเหลือจีนหลายครั้งด้วยความปรารถนาดี แต่มีตัวอย่างน้อยมากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นมิตรกับสหรัฐฯ แทนที่จะรู้สึกขอบคุณ พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับตอบแทนสหรัฐฯ ด้วยความเป็นปรปักษ์อย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้เข้าใจประวัติศาสตร์และประเมินสถานการณ์ที่เป็นจริงได้อย่างถูกต้อง จึงขอทบทวนว่าสหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือประเทศจีนอย่างไรบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ความช่วยเหลือในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐฯ ทำให้กับจีน

ตําราเรียนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีแต่คำโกหกโดยบรรยายว่าประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เป็นประวัติศาสตร์ที่จีนถูกรุกรานโดยจักรวรรดินิยม ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เลวร้ายที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดามหาอํานาจ สหรัฐอเมริกาสร้างความเสียหายให้กับจีนน้อยที่สุด ขณะที่จีนได้รับประโยชน์อย่างมากจากความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ

1. ประเทศคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 กับราชวงศ์ชิง (รัชสมัยเฉียนหลง)

เรือพาณิชย์ของอเมริกาลําแรกที่ไปยังประเทศจีนชื่อจักรพรรดินีแห่งประเทศจีน (Empress of China) ซึ่งไปถึงประเทศจีนในปี ค.ศ. 1784 ได้เปิดประตูการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ชาวอเมริกันปฏิบัติตามกฎหมายของจีนมากกว่าประเทศอื่น ๆ และในเวลาไม่นาน สหรัฐฯ ก็กลายเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 กับจีน รองจากสหราชอาณาจักร ชาวจีนได้รับทองคําและเงินจํานวนมากจากการค้าขายนี้

2. สนธิสัญญาเสมอภาคกับราชวงศ์ชิง (รัชสมัยถงจื้อ)

ในปี ค.ศ. 1868 สหรัฐฯ และจีนได้ลงนามในสนธิสัญญาเบอร์ลินเกม เบอร์ลินเกมเป็นทูตที่ประธานาธิบดีลินคอล์นส่งไปจีน เขาเป็นคนร่าเริงและเป็นมิตรกับจีน ในเวลานั้นมีชาวจีนจํานวนมากที่ทํางานในสหรัฐฯ สหรัฐฯ จึงกระตุ้นให้จีนส่งกงสุลไปยังสหรัฐฯ ราชวงศ์ชิงแต่งตั้งเบอร์ลินเกมให้เป็นทูตพิเศษ เพื่อเป็นตัวแทนของจีนในการเจรจากับประเทศต่าง ๆ ประเทศแรกที่เบอร์ลินเกมไปเจรจาคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขากล่าวสุนทรพจน์ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมจีนและชื่นชมความรักสันติของจีน เขาเจรจากับสหรัฐฯ ในนามของรัฐบาลจีนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจีนและลงนามในสนธิสัญญาเบอร์ลินเกม สนธิสัญญานี้เป็นสนธิสัญญาเสมอภาคฉบับแรกที่จีนลงนามกับต่างชาติหลังจากสงครามฝิ่น

3. หลักการประตูเปิดในปีซินโฉ่ว

ในปี ค.ศ. 1901 สหรัฐฯ ได้เสนอหลักการประตูเปิด โดยมุ่งเป้าไปที่ประเทศจีนเป็นหลัก (รัชสมัยกวางซวี่ของราชวงศ์ชิง) ในเวลานั้น รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ และมหาอํานาจอื่น ๆ มีอิทธิพลในประเทศจีน หลักการประตูเปิดที่สหรัฐฯ เสนอ มีเป้าหมายเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งอธิปไตยของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การป้องกันไม่ให้รัสเซียรุกล้ําจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือและยับยั้งการแบ่งแยกดินแดนของจีนโดยมหาอํานาจ

4. โครงการทุนการศึกษาจากเงินชดเชยกบฏนักมวย

ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาซินโฉ่ว (Boxer Protocol) ราชวงศ์ชิงตกลงจ่ายค่าปรับให้กับมหาอำนาจตะวันตกในปี ค.ศ. 1901 สหรัฐฯ ได้รับเงิน 7.32% หรือประมาณ 30 ล้านตำลึงเงิน สหรัฐฯ ส่งเงินคืนมากกว่า 10 ล้านตำลึงเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษา ซึ่งรวมถึงการส่งนักเรียนจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา และสร้างวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งต่อมากลายเป็นมหาวิทยาลัยชิงหวา

ในปี ค.ศ. 1924 (สาธารณรัฐจีน (Republic of China, ROC) สมัยประธานาธิบดี เฉา คุน, หวง ฝู และ ต้วน ฉีรุ่ย) สหรัฐฯ คืนเงินให้อีก 12 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนนำไปใช้ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยชิงหวาส่วนหนึ่งและสร้างห้องสมุดใหม่ของหอสมุดแห่งชาติปักกิ่ง (หนึ่งในห้องสมุดที่ทันสมัยที่สุดในตะวันออกไกลในขณะนั้น) ซึ่งเป็นต้นแบบของหอสมุดแห่งชาติจีนสาขาหนังสือโบราณ

ในปี ค.ศ. 1929 จีนใช้ทุนการศึกษาจากเงินชดเชยนี้เพื่อส่งนักเรียนไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา 47 คน หลังจากสําเร็จการศึกษา บัณฑิตเหล่านี้ได้กลับไปประเทศจีน ในกลุ่มนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ต่อมากลายเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ จีนยังใช้กองทุนเงินชดเชยที่ได้รับคืนมาเพื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัยเหยียนจิง (Yenching University) และโรงพยาบาลวิทยาลัยปักกิ่งเซียเหอ (Peking Union Medical College Hospital) ด้วย

5. ฝูงบินพยัคฆ์ (Flying Tigers) และเส้นทาง "ฮัมพ์ (Hump)"

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 นายพล Claire Lee Chennault แห่งสหรัฐฯ ขอให้นักบินทหารผ่านศึกจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครอเมริกันที่ 1 ("ฝูงบินพยัคฆ์") เพื่อช่วยจีนในการต่อสู้กับญี่ปุ่น ในขณะนั้น เจียงไคเช็คดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน (ROC)

เพื่อทําลายการปิดล้อมวัสดุทางยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น กองบัญชาการขนส่งทางอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Army Air Force Air Transport Command, ATC) และบริษัทการบินแห่งชาติจีน (China National Aviation Corporation, CNAC) ได้เริ่มบินเส้นทาง "ฮัมพ์" ข้ามเทือกเขาหิมาลัย

เนื่องจากความยากลําบากและความเสี่ยงในการบินผ่านภูมิประเทศที่สูง เส้นทางนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เส้นทางมรณะ (Death Route)" ตามข้อมูลที่เป็นทางการของสหรัฐฯ นักบินและลูกเรือของสหรัฐฯ ทั้งหมด 1,579 คนเสียชีวิตหรือสูญหาย และสหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบิน 468 ลําในเส้นทาง "ฮัมพ์" ฝูงบินพยัคฆ์มีบทบาทสำคัญยิ่งในชัยชนะของจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นของตน

6. การยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียม

ในปี ค.ศ. 1943 สหรัฐฯ เป็นผู้นําในการยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียมทั้งหมดที่ลงนามกับจีนตั้งแต่สงครามฝิ่น เพื่อสนับสนุนการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น จากการนำของสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นต่างก็ปฏิบัติตามและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียมเช่นกัน การยกเลิกสนธิสัญญาดังกล่าวส่งผลให้ ‘เขตเช่าของชาวต่างชาติ (foreign concessions)’ และ ‘สิทธิการพิจารณาคดีโดยกงสุล (consular jurisdiction)’ ในประเทศจีนหายไปด้วย ทำให้จีน (สาธารณรัฐจีน (ROC) ในขณะนั้น) ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่เท่าเทียมของประชาคมนานาชาติ

7. การไกล่เกลี่ยของมาร์แชล (Marshall Mediation) และหลักการของทรูแมน (Truman Doctrine)

ที่การประชุมยัลตา (Yalta Conference) ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 สหรัฐฯ มีนโยบายประนีประนอมต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ทำให้สาธารณรัฐจีน (ROC) สูญเสียอธิปไตย พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต (สหภาพโซเวียต) ได้รับสิทธิพิเศษมากมายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและเป็นรากฐานของการก่อกบฏของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ตั้งแต่ปลายปี 1945 ถึง 1946 ประธานาธิบดีทรูแมนส่งนายพลจอร์จ มาร์แชล ไปไกล่เกลี่ยสงครามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

สหรัฐฯ ถึงขั้นตัดการส่งอาวุธให้กองทัพก๊กมินตั๋ง และบังคับให้เจียงไคเช็คจัดตั้งรัฐบาลผสมประชาธิปไตยกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนแสร้งทําเป็นตกลงที่จะเจรจาสันติภาพ แต่กลับทำลายการคมนาคมอย่างลับ ๆ โจมตีกองทัพก๊กมินตั๋ง และถ่วงเวลาการเจรจา การไกล่เกลี่ยของมาร์แชลจึงล้มเหลวในที่สุด แต่ความพยายามนี้ทําให้กองทัพก๊กมินตั๋งสูญเสียโอกาสในการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์จีน และทำให้เศรษฐกิจของสาธารณรัฐจีน (ROC) ถูกทำลาย และพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) รอดพ้นจากการถูกปราบปราม

ในปี ค.ศ. 1947 สหรัฐฯ ได้กําหนดหลักการทรูแมนเพื่อต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก แต่กลยุทธ์นี้กลับจงใจปล่อย CCP ตั้งแต่เริ่มสงครามแปซิฟิก บางคนในรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น โจเซฟ สติลเวลล์, จอร์จ มาร์แชล, ประธานาธิบดีทรูแมน และคนอื่น ๆ มีความหวังใน CCP และผลักดันนโยบายที่ขัดขวาง ROC แต่สนับสนุน CCP และทำให้ CCP ยึดอำนาจจาก ROC ได้สำเร็จ

8. สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ในปี ค.ศ. 1945 (สมัยสาธารณรัฐจีน (ROC)) สหรัฐอเมริกาใช้ความพยายามและการผลักดันให้ตัวแทนของCCP ต่ง ปี้อู่ เข้าร่วมคณะผู้แทนจีนในการประชุมผู้ก่อตั้งสหประชาชาติในซานฟรานซิสโกและลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติร่วมกับตัวแทนอื่น ๆ สหรัฐฯ มีส่วนสําคัญในการทําให้จีน (สาธารณรัฐจีน (ROC)) ได้เป็นหนึ่งในประเทศผู้ก่อตั้งและเป็นสมาชิกถาวร 5 ประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1971 (สมัยจีนคอมมิวนิสต์) เฮนรี คิสซิงเจอร์ ผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้านกิจการความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินทางเยือนจีนอย่างลับ ๆ และพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล หลังจากนั้น สหรัฐฯ ก็ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China, PRC) (หรือจีนคอมมิวนิสต์) ให้ได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1971 สหประชาชาติได้ผ่านมติที่ 2758 ซึ่งยอมรับว่าตัวแทนของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของจีนในสหประชาชาติ และยอมรับว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง

9. การเยือนจีนของนิกสันและการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนของคาร์เตอร์

ตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ประธานาธิบดีนิกสันของสหรัฐฯ เดินทางเยือนจีนและได้พบกับเหมาเจ๋อตงที่จงหนานไห่ (ที่ตั้งของศูนย์กลางการบริหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) และได้พูดคุยกับโจวเอินไหลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ด้วย การเยือนครั้งนี้เรียกว่า "สัปดาห์ที่เปลี่ยนโลก" ในเวลาต่อมา ซึ่งเปิดประตูสู่นโยบายประนีประนอมครั้งที่ 2 ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ก่อนสิ้นสุดการเยือน ทั้งสองประเทศได้ลงนามในแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Communique) และสหรัฐฯ เริ่มถอนทหารออกจากไต้หวัน

ในปี ค.ศ. 1977 คาร์เตอร์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 สหรัฐฯ ได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเต็มรูปแบบกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ขณะนั้นการสานสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ผ่านไป 7 ปีแล้วนับตั้งแต่การเยือนจีนอย่างลับ ๆ ของคิสซิงเจอร์

ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังจะเข้าสู่ช่วงฮันนีมูนในไม่ช้า พันธมิตรที่สําคัญของสหรัฐฯ รวมถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) ได้ยุติความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวันอย่างต่อเนื่อง และหันมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประชาคมนานาชาติค่อย ๆ ยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ถูกผลักออกจากประชาคมนานาชาติ

10. นโยบายประนีประนอมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนของประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช

หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 รัฐบาลของจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ได้เปิดทางให้กับ CCP หลายครั้ง เช่น การอนุมัติคําสั่งยกเว้นพิเศษเพื่ออนุญาตให้บริษัทโบอิ้งขายเครื่องบินพาณิชย์ 4 ลําให้กับจีน ผ่อนคลายการคว่ำบาตรทางทหารต่อจีน อนุญาตให้เจ้าหน้าที่จีนกลับไปยังสหรัฐฯ และดำเนินโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ “Peace Pearl” ต่อ เพื่อพัฒนาศักยภาพของเครื่องบินขับไล่จีน

ในช่วง 6 เดือน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมาย 2 ฉบับถึงเติ้งเสี่ยวผิง และส่งทูตพิเศษไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจา โดยเน้นย้ําว่าสหรัฐฯ ยินดีที่จะร่วมมือกับ CCP เพื่อช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ที่จริงสหรัฐฯ ได้ช่วยให้ CCP ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนั้น

11. คลินตันช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1999 เจียงเจ๋อหมิน อดีตผู้นําพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เริ่มการประทุษร้ายผู้ฝึกฝ่าหลุนกงหลายสิบล้านคน ผู้ฝึกทั่วประเทศไม่สามารถหาทางอุทธรณ์ต่อรัฐบาลได้ จึงเดินทางไปที่กรุงปักกิ่งเพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับฝ่าหลุนกง ส่งผลให้ผู้ฝึกจํานวนมากถูกจับกุมและถูกกักตัว พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังวางแผนที่จะตัดสินจําคุกสมาชิกหลายคนของอดีตสมาคมวิจัยฝ่าหลุนกงปักกิ่ง (Beijing Falun Gong Research Association) ในเดือนตุลาคม ในเดือนตุลาคมของปีนั้น ประธานาธิบดีคลินตันได้โทรหาเจียง เจ๋อหมิน 2 ครั้ง โดยหวังว่าจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (World Trade Organization, WTO) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000 คลินตันกล่าวสุนทรพจน์โดยแยกประเด็นการค้าออกจากสิทธิมนุษยชน และกล่าวว่าการเข้าร่วม WTO ของจีนจะนํามาซึ่งเสรีภาพทางเศรษฐกิจและประชาชาชนจะได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น คลินตันจัดตั้ง "ห้องจีน (China Room)" ในทําเนียบขาวเพื่อโน้มน้าวสมาชิกสภาคองเกรสที่ต่อต้านจีน ในเดือนพฤษภาคม คลินตันได้เชิญอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์และฟอร์ด และอดีตนักการเมืองหลายสิบคนไปที่ทําเนียบขาวเพื่อผลักดันให้สภาคองเกรสอนุมัติสิทธิพิเศษทางการค้าถาวรให้กับจีน และสร้างกระแสสนับสนุนให้จีนเข้าร่วม WTO

ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ จีนคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ WTO อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2001 CCP ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของประชาคมการค้าของโลกเสรี นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทําให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และสนับสนุนความทะเยอทะยานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการครองโลก

(มีต่อ)