(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 3)

“ท่านอาจารย์มาหาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า 'ตอนนี้เจ้าสามารถร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บได้แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าข้าวสาลีที่บ้านเกิดของเจ้าสุกหรือยัง ตอนนี้สูงแค่ไหนแล้ว’ ข้าพเจ้าคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า 'มันคงสูงพอที่จะซ่อนนกเขาไว้ได้เท่านั้น'

“สองสัปดาห์ผ่านไป ท่านอาจารย์ถามข้าพเจ้าอีกครั้ง ข้าพเจ้าพูดว่า 'มันสูงประมาณต้นหญ้า รีด คานารี ที่ยังอ่อนอยู่' ท่านพูดว่า 'อืม มันยังเร็วเกินไปหน่อย'

“หลังจากนั้นพักหนึ่ง ท่านก็ถามอีกครั้ง และข้าพเจ้าก็ตอบว่า 'ตอนนี้ต้นข้าวกำลังออกรวงแล้ว' ท่านอาจารย์พูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ถึงเวลาออกไปร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บแล้ว” ท่านส่งลูกศิษย์อีกคนหนึ่งไปกับข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนที่เคยไปบ้านเกิดของข้าพเจ้าก่อนหน้านี้เพื่อยืนยันสถานการณ์ของข้าพเจ้า เราปลอมตัวเป็นพระธุดงค์ 2 รูป และเริ่มเดินทาง

“พืชผลเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษในปีนั้น ผู้สูงอายุหลายคนพูดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นพืชผลที่ดีเช่นนี้มาก่อน ชาวบ้านเห็นพ้องกันว่า ไม่ควรมีใครเริ่มเก็บเกี่ยวก่อนที่ทุกคนจะเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ด้วยกัน ข้าพเจ้ารอจนกระทั่งหนึ่งหรือสองวันก่อนการเก็บเกี่ยว และสร้างแท่นบูชาขึ้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำในหมู่บ้าน หลังจากเตรียมวัสดุต่าง ๆ สำหรับการร่ายคาถาครบแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มร่ายคาถา และตะโกนบทสวดอาคมออกมาดัง ๆ ตอนนั้นท้องฟ้าแจ่มใส ปลอดโปร่งไม่มีเมฆสุดลูกหูลูกตาเป็นระยะทางหลายพันไมล์ ข้าพเจ้าเรียกชื่อของเทพผู้พิทักษ์ออกมาดัง ๆ และเริ่มเล่าว่าชาวบ้านปฏิบัติไม่ดีต่อครอบครัวของข้าพเจ้าอย่างไร จากนั้นข้าพเจ้าก็ร้องไห้อย่างหนักขณะทุบอกของตัวเองและกระชากเสื้อผ้าอย่างเศร้าโศก

“มันเหลือเชื่อจริง ๆ ทันใดนั้นเมฆดำก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ภายในพริบตา เมฆเหล่านั้นก็ก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ที่เข้มข้น ฟ้าแลบแปลบปลาบและเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ลูกเห็บก้อนใหญ่กระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า ระลอกแล้วระลอกเล่า กระแทกใส่พืชผลที่ชาวบ้านกำลังจะเก็บเกี่ยวจนไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตามด้วยน้ำบ่าจากจากภูเขาลงมาพัดพาพืชผลทั้งหมดไป เมื่อเห็นพืชผลถูกน้ำพัดหายไปหมด ชาวบ้านต่างกรีดร้องและร้องไห้คร่ำครวญ สุดท้ายพายุฝนก็ซัดกระหน่ำ เราสองคนรู้สึกหนาว เราจึงไปยังถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ และเริ่มก่อไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

ในเวลานั้น นายพรานหลายคนเดินผ่านหน้าถ้ำ ชาวบ้านส่งพวกเขาไปล่าเนื้อเพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว นายพรานคนหนึ่งพูดว่า 'ฮึ ! ไม่มีใครทำร้ายพวกเราได้มากเท่ากับโตปากะ เขาฆ่าคนไปมากมายและตอนนี้ยังทำลายข้าวสาลีทั้งหมดอีก ถ้าข้าจับตัวมันได้ ข้าจะบีบเลือดออกจากตัวมันให้หมด และควักถุงน้ำดีของมันออกมา แค่นั้นยังไม่พอที่จะดับความโกรธของข้าได้เลย’

“ชายชราคนหนึ่งพูดว่า 'หุบปาก ! อย่าพูดเสียงดังนัก ดูสิ มีควันออกมาจากถ้ำตรงนั้น ใครอยู่ในนั้น’ ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบว่า 'นั่นอาจจะเป็นโตปากะ ไอ้เศษสวะนั่นยังไม่เห็นพวกเรา พวกเรารีบไปเรียกคนมาเพิ่ม จะได้ฆ่ามันก่อนที่มันจะทำลายหมู่บ้านของเราทั้งหมด’ แล้วพวกเขาก็รีบไป

“สหายของข้าพเจ้าเห็นคนเดินอยู่ข้างล่างเรา และเดาว่าคงมีคนพบพวกเราแล้ว เขาพูดว่า 'คุณกลับไปก่อน ผมจะปลอมเป็นคุณแล้วเล่นสนุกกับพวกมันสักพักหนึ่ง’ เราตกลงกันว่าจะไปพบกันที่โรงแรมในอีกสี่วันข้าหน้า ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาแข็งแรงและกล้าหาญมาก จึงไม่กังวลที่จะปล่อยเขาไว้คนเดียว

“ตอนนั้น ข้าพเจ้าอยากพบแม่มากแต่กลัวชาวบ้านจะทำร้ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องออกจากหมู่บ้านแล้วเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง ทว่ากลับโชคร้ายขณะที่อยู่บนถนน สุนัขป่าตัวหนึ่งกัดข้าพเจ้าหลายครั้ง ขาของข้าพเจ้ามีบาดแผลเต็มไปหมด ข้าพเจ้าเดินกะโผลกกะเผลกไปตลอดทาง และไม่สามารถไปถึงโรงแรมได้ตรงเวลา

“แล้วสหายของข้าพเจ้าทำอย่างไร หลังจากที่ข้าพเจ้าจากไปในวันนั้น ชาวบ้านก็รวบรวมคนจำนวนมากเพื่อไปฆ่าข้าพเจ้า สหายของข้าพเจ้าพุ่งเข้าใส่คนและม้า กระแทกล้มลงทั้งสองฝั่ง พอฝูงชนไล่ตามเขาไปอีกครั้ง เขาก็วิ่งหนี พอฝูงชนวิ่งตามอย่างรวดเร็ว เขาก็เร่งความเร็วขึ้น พอฝูงชนลดความเร็วลง เขาก็ลดความเร็วลงด้วย เมื่อชาวบ้านขว้างก้อนหินใส่เขา เขาก็ขว้างก้อนหินที่ใหญ่กว่าใส่พวกชาวบ้าน พร้อมกับตะโกนว่า 'ถ้าใครกล้าตีข้า ข้าจะไม่ปรานีและจะร่ายคาถาสังหารใส่ มีคนตายเพราะข้ามากมาย พวกเจ้าไม่กลัวกันหรือ พืชผลที่อุดมสมบูรณ์ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวกลับกลายเป็นสูญ นั่นยังไม่พอหรือ ต่อจากนี้ไปถ้าพวกเจ้าไม่ปฏิบัติต่อแม่และน้องสาวของข้าให้ดี ข้าจะสร้างบ่อผีไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านและร่ายคาถาปีศาจที่ทางออก พวกเจ้าทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และคนในครอบครัวของพวกเจ้าจะถูกกวาดล้างจนหมด ข้าจะไม่หยุดจนกว่าทั้งหมู่บ้านจะกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเจ้าไม่กลัวกันหรือ’

“พอได้ยินคำขู่ของเขา ชาวบ้านถึงกับตัวสั่น พวกเขามองหน้ากันและพึมพำ แต่ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้า สุดท้าย ทุกคนก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปยังหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ

“สหายของข้าพเจ้ามาถึงโรงแรมก่อนข้าพเจ้า เขาถามเจ้าของว่ามีพระธุดงค์อย่างข้าเคยไปที่นั่นหรือไม่ เจ้าของโรงแรมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า 'เขาไม่ได้มาที่นี่ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในหมู่บ้านที่จัดงานเลี้ยงอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่ด้วย ท่านมีบาตรไหม ถ้าไม่มี ผมจะให้ท่านยืม’ เขาหยิบบาตรสีเทาที่ดูคล้ายใบหน้าของพระยม (ยมะ เทพแห่งความตาย) แล้วส่งให้สหายของข้าพเจ้า สหายของข้าพเจ้าไปที่งานฉลองเพื่อขอบิณฑบาตและพบข้าพเจ้า เขานั่งลงข้าง ๆ ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า 'ทำไมคุณจึงไปไม่ถึงที่นัดหมายเมื่อวานนี้' ข้าพเจ้าตอบว่า 'ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่ผมกำลังบิณฑบาตอยู่บนถนน ผมถูกสุนัขป่ากัดหลายครั้ง ตอนนี้ดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล'

“แล้วเราสองคนก็กลับไปหาอาจารย์ของเรา ท่านอาจารย์พูดว่า 'พวกเจ้าสองคนทำได้ดีเลิศ' พวกเราประหลาดใจและถามว่า 'ใครบอกท่าน' อาจารย์ตอบว่า ‘เทพผู้พิทักษ์ ครั้งนี้เราส่งเขาไปที่นั่นด้วย เขากลับมาในวันพระจันทร์เต็มดวงและบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้’ เราทุกคนมีความสุขมาก

หลังจากเล่าเรื่องนี้จบ พระมิลาเรปะได้กล่าวกับลูกศิษย์ที่กำลังฟังธรรมของท่านว่า “นี่คือวิธีที่ข้าพเจ้าเคยทำกรรมชั่วเพื่อแก้แค้น”

เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าสร้างกรรมชั่วก่อนแล้วต่อมาสร้างกรรมดี กรรมดีมาจากธรรมะที่ถูกต้องเท่านั้น ท่านอาจารย์ที่เคารพ บุญวาสนาใดที่ทำให้ท่านได้พบธรรมะที่ถูกต้อง

ท่านมิลาเรปะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกสำนึกผิดทีละน้อยต่อบาปที่ร่ายคาถาและเรียกพายุลูกเห็บ ขณะเดียวกันความปรารถนาของข้าพเจ้าที่จะศึกษาธรรมะที่ถูกต้องก็ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้าไม่อยากกินอาหารและนอนหลับยาก เวลาเดินก็อยากนั่ง พอนั่งก็อยากเดิน ข้าพเจ้ากระสับกระส่ายและรู้สึกผิดมากต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำลงไป โลกโลกีย์นี้ดูแปลกแยกสำหรับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าพูดถึงการศึกษาธรรมที่ถูกต้อง ในใจของข้าพเจ้ามักคิดว่า ‘เราจะมีโอกาสศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์ที่นี่หรือไม่ เราควรทำอย่างไร’

“ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุการณ์ต่อไปนี้ก็เกิดขึ้น : เดิมทีท่านอาจารย์มีทานบดีที่ร่ำรวย ครอบครัวของทานบดีนี้มีทรัพย์สินมากมาย เขาศรัทธาแรงกล้าต่ออาจารย์และให้ความช่วยเหลือท่านตลอดเวลาด้วยความเคารพอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จู่ ๆ ทานบดีคนนี้ก็ล้มป่วยอย่างรุนแรง และเชิญท่านอาจารย์ไปสวดมนต์ที่บ้านของเขา

“สามวันต่อมา ท่านอาจารย์กลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียวและรอยยิ้มที่ดูฝืน ๆ ข้าพเจ้าถามท่านว่า 'ท่านอาจารย์ ทำไมใบหน้าของท่านจึงซีดนัก ทำไมท่านจึงฝืนยิ้มอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา’

“ท่านอาจารย์ถอนหายใจแล้วตอบว่า 'ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่คงอยู่ตลอดไป ทานบดีที่ดีที่สุดของเรา ผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าที่สุดในตัวเรา เสียชีวิตเมื่อคืนนี้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงคิดว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่น่าเศร้า ชายชรานิสัยแปลก ๆ อย่างเราก่อกรรมด้วยการร่ายเวทมนตร์ คาถา และเรียกพายุลูกเห็บตั้งแต่วัยหนุ่มจนผมกลายเป็นสีขาวด้วยวัยชรา แม้ว่าเจ้าจะยังอายุน้อย แต่เจ้าก็เหมือนเราที่ได้ทำบาปด้วยการร่ายคาถาและเรียกพายุลูกเห็บเช่นกัน เราเกรงว่าเราจะต้องรับผิดชอบต่อกรรมชั่วเหล่านี้ในอนาคต’

“ข้าพเจ้ารู้สึกสับสนและถามว่า 'เมื่อคิดถึงสรรพชีวิตที่เราสังหาร เป็นไปได้ไหมที่ท่านอาจารย์จะช่วยให้พวกเขาเกิดใหม่ในสวรรค์ช้ันดุสิตหรือช่วยให้หลุดพ้น' อาจารย์ตอบว่า ‘ที่จริง ไม่มีใครสามารถช่วยพวกเขาให้รอดหรือหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง จากนี้ไป เราจะบำเพ็ญธรรมะที่ถูกต้อง และเจ้าสามารถช่วยสอนลูกศิษย์ของเรา ด้วยวิธีนี้ เราจะพาเจ้าไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตและช่วยให้หลุดพ้น หรือเจ้าจะไปศึกษาธรรมะที่ถูกต้องแล้วนำทางเราไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตและช่วยให้หลุดพ้น เราจะจัดหาทุกสิ่งที่เจ้าต้องการเพื่อแสวงหาธรรมะที่ถูกต้อง’

“อา ! ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น ! หลังจากที่คิดอยู่ทั้งวันทั้งคืน ความฝันของข้าพเจ้าก็กลายเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบบอกอาจารย์ว่า ‘กระผมเต็มใจที่จะบำเพ็ญธรรมที่ถูกต้อง !' อาจารย์ตอบว่า 'เจ้ายังหนุ่มอยู่ อีกทั้งเจ้ามีจิตใจที่มุ่งมั่นและศรัทธาที่แรงกล้า ดังนั้นจงอุทิศตนศึกษาธรรมที่ถูกต้องเถิด !'

“จากนั้นท่านอาจารย์ก็ช่วยข้าพเจ้าเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการเดินทาง ท่านนำผ้าชั้นดีมาวางบนหลังม้าแล้วมอบให้ข้าพเจ้าพร้อมกับม้า ท่านบอกว่า รังตัน ลากา แห่งซังรง เป็นปราชญ์ที่มีชื่อเสียง และแนะนำให้ข้าพเจ้าไปเรียนรู้จากเขา หลังจากอำลาท่านอาจารย์และภรรยาของท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็มุ่งหน้าไปที่ซังรง

ภรรยาของรังตัน ลากา และลูกศิษย์หลายคนบอกว่าท่านไม่อยู่เพราะท่านอยู่ที่วัดสาขาอื่น ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่าข้าพเจ้าได้รับการแนะนำจากยุงตัน โทรเกียล และเล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้พวกเขาฟัง ภรรยาของท่านขอให้ลามะรูปหนึ่งพาข้าพเจ้าไปหารังตัน ลากา เมื่อไปถึงที่นั่น ข้าพเจ้าก็มอบของถวายและพูดว่า ‘กระผมได้ทำบาปใหญ่หลวง ขอให้ท่านได้โปรดเมตตาและสอนวิธีไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วย’

“ท่านอาจารย์ตอบว่า 'นี่คือวิธีการของเรา รากฐานมาจากธรรมชาติที่พิเศษ มีหนทางในการยกระดับที่พิเศษ และมรรรคผลปรากฏออกมาเป็นพิเศษ ถ้าเจ้าคิดถึงมันในช่วงกลางวัน เจ้าจะได้รับมันในช่วงกลางวัน ถ้าเจ้าคิดถึงมันในตอนกลางคืน เจ้าจะได้รับมันในตอนกลางคืน สำหรับผู้ที่มีเกินจีดีและมีบุญวาสนากำหนดไว้ก็ไม่จำเป็นต้องคิด จะหลุดพ้นทันทีที่ได้ยินธรรมะ เราจะถ่ายทอดธรรมะนี้ให้แก่เจ้า’

ดังนั้นท่านอาจารย์จึงทำพิธีอภิเษกให้กับข้าพเจ้าและสอนบทสวดให้ข้าพเจ้า ในเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดในใจว่า 'ย้อนกลับไปตอนที่เรียนรู้คาถา เราสามารถเห็นผลได้หลังจากฝึก 14 วัน; การเรียนรู้คาถาเรียกพายุลูกเห็บใช้เวลาเพียง 7 วัน สิ่งที่อาจารย์ท่านนี้สอนเราตอนนี้ง่ายกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ตราบใดที่เราคิดถึงมัน เราก็จะได้รับมัน ผู้ที่มีบุญวาสนากำหนดไว้ไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำ เนื่องจากเราพบเจอธรรมะนี้ได้ แน่นอน เราต้องมีเกินจีดี' ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ใส่ใจมากนักและก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย

“หลายวันต่อมา รังตัน ลากา มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า 'เจ้าบอกว่าเจ้าได้ทำบาปใหญ่หลวง นี่คือความจริง เมื่อพูดถึงธรรมะของเรา เราพูดเกินจริงไปบ้าง ที่จริงเราไม่สามารถให้คำแนะนำแก่เจ้าได้ เจ้าจงเดินทางไปยังโตรโวลุง ในแคว้นโลดรักในทันที และไปศึกษากับ มาร์ปะ โชกี โลตรอ ท่านเป็นปรมาจารย์นักแปลพระคัมภีร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับความนับถือ และเป็นศิษย์โดยตรงของปรมาจารย์ชาวอินเดีย นาโรปะ ในฐานะผู้ปฏิบัติตามนิกายคาถามนตราใหม่ ท่านบรรลุสามภพแล้ว ท่านยังมีบุญวาสนาที่ผูกไว้กับเจ้าจากชาติปางก่อนด้วย จงไปพบกับท่านเถิด !

“เมื่อข้าพเจ้าได้ยินชื่อของราชาแห่งนักแปลพระคัมภีร์ มาร์ปะ ใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความปีติยินดี และขนลุกชันทั่วร่าง น้ำตาเอ่อล้นออกจากดวงตาของข้าพเจ้า ในใจของข้าพเจ้าเกิดความชื่นชมอย่างมาก เปี่ยมด้วยปีติ และศรัทธาอันหาที่เปรียบมิได้

“เมื่อเสบียงสำหรับการเดินทางและจดหมายจาก รังตัน ลากา พร้อมแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มออกเดินทาง ระหว่างทาง ข้าพเจ้ายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และกระตือรือร้นที่จะได้พบกับท่านอาจารย์

“คืนก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปถึงโตรโวลุง อาจารย์มาร์ปะฝันว่าท่านนาโรปะทำพิธีอภิเษกให้ท่าน ท่านนาโรปะมอบหยกวัชระที่เปื้อนเล็กน้อยบริเวณปลายวัชระ พร้อมทั้งขวดทองคำที่บรรจุน้ำอมฤตให้ท่าน และพูดว่า ‘จงทำการชำระล้างวัชระนี้ด้วยน้ำอมฤต แล้วแขวนไว้ในที่สูงบนอาคารหลังใหญ่แห่งนี้ การทำเช่นนี้จะทำให้พระพุทธเจ้าปีติยินดี และเป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิตในโลกนี้ การทำเช่นนี้จะทำให้เจ้าประสบความสำเร็จสองประการ' เมื่อกล่าวจบ ท่านนาโรปะก็จากไป อาจารย์มาร์ปะทำตามคำแนะนำนี้โดยใช้น้ำอมฤตชำระล้างวัชระ และแขวนไว้ในที่สูง ทันใดนั้น วัชระก็เปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วโลกสามพันใบ แสงส่องไปยังสรรพชีวิตที่อยู่ในหกภูมิแห่งวัฏสงสาร ขจัดความเจ็บปวดและความโศกเศร้าทั้งหมด สรรพชีวิตทั้งหมดเปี่ยมด้วยปีติ จึงหมอบกราบต่อหน้าอาจารย์มาร์ปะและอาคารหลังนั้น พระพุทธเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนดั่งเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาต่างประทานพรเช่นกัน

“มาร์ปะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หัวใจของท่านเปี่ยมด้วยความสุข ขณะที่ท่านใคร่ครวญถึงความฝันนั้น ภรรยาของท่านก็เข้ามาอย่างเร่งรีบและพูดว่า 'อาจารย์ เมื่อคืนฉันฝัน หญิงสาวที่งดงามสองคนจากเมืองโอดดิยานา (สถานที่ในอินเดียซึ่งศาสนาพุทธนิกายวัชรยานหรือมนตราลับ กำเนิดขึ้นมา) ได้นำเจดีย์หยกที่มีรอยเปื้อนเล็กน้อยมาให้ฉัน พวกเธอบอกว่านี่เป็นคำสั่งของท่านนาโรปะให้ทำพิธีปลุกเสกเจดีย์และนำมันไปตั้งไว้บนยอดเขา ท่านชำระล้างมันด้วยน้ำค้างแล้วนำไปวางบนยอดเขา ทันใดนั้นเจดีย์ก็เปล่งแสงสว่างจ้า และเจดีย์เล็ก ๆ นับไม่ถ้วนก็เกิดขึ้น คุณช่วยบอกฉันหน่อยว่าความฝันนี้หมายถึงอะไร’ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อาจารย์ก็รู้ว่าความฝันนั้นตรงกับความฝันของท่านทุกประการ ทำให้ท่านรู้สึกยินดีมาก แต่ท่านซ่อนความปีติไว้และตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า 'ความฝันก็คือความฝัน ไม่ใช่ความจริง ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร’ ท่านพูดต่อว่า 'วันนี้ผมต้องไปไถนา คุณช่วยเตรียมของได้หรือไม่ ภรรยาของท่านพูดว่า 'ถ้าอาจารย์ที่ได้รับความเคารพเช่นคุณไปทำงานแบบนี้ คนจะหัวเราะเยาะเรา กรุณาอย่าไปเลยนะ’ แต่อาจารย์ไม่ฟังและพูดว่า 'ช่วยนำไวน์หนึ่งไหมาให้ผมด้วย วันนี้ผมต้องต้อนรับแขกหนุ่มคนหนึ่ง' จากนั้นท่านก็มุ่งหน้าไปที่ทุ่งนาพร้อมกับไวน์และเครื่องมือต่าง ๆ

“หลังจากมาถึงทุ่งนา อาจารย์มาร์ปะก็วางไหลงบนพื้นแล้วคลุมด้วยหมวก ท่านไถนาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงนั่งพักผ่อนและดื่มไวน์

“ในเวลานั้น ข้าพเจ้าเดินทางเกือบถึงเขตแดนของแคว้นโลดรักแล้ว และแวะถามเส้นทางที่จะไปพบอาจารย์มาร์ปะ ราชานักแปล ข้าพเจ้าแปลกใจที่ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับท่านมาก่อน เมื่อถึงทางแยกที่ข้าพเจ้าเห็นโลดรัก ข้าพเจ้าถามคนแถวนั้นอีกครั้ง เขาตอบว่า 'ผมรู้จักคนหนึ่งชื่อมาร์ปะ แต่ผมไม่รู้เกี่ยวกับราชานักแปลเลย' ข้าพเจ้าถามว่า 'คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าโลดรักอยู่ที่ไหน’ 'อยู่ที่นั่น ! ไม่ไกลจากที่นี่’ เขาตอบแล้วชี้ไปที่หุบเขาข้างหน้า ข้าพเจ้าถามว่า 'ใครอยู่ที่นั่น' เขาตอบกลับมาว่า ‘มาร์ปะ’ ข้าพเจ้าถามว่า 'เขามีชื่ออื่นอีกไหม' เขาตอบว่า ‘บางคนเรียกเขาว่ามาร์ปะ และบางคนเรียกเขาว่าอาจารย์มาร์ปะ’ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่านี่คืออาจารย์ที่ข้าพเจ้ากำลังตามหาด้วยความกระวนกระวายใจ

“จากนั้นข้าพเจ้าก็ถามว่า 'เนินเขานี้ชื่ออะไร' 'สถานที่แห่งนี้เรียกว่าเนินเขาเผยแพร่ธรรม' เมื่อคิดว่าข้าพเจ้ากำลังจะได้เห็นที่พักของอาจารย์ที่เนินเขาเผยแพร่ธรรม ข้าพเจ้าก็รู้สึกยินดีอย่างมากกับบุญวาสนานี้ ข้าพเจ้าเดินต่อไปและถามทางต่อ พอเดินมาพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็พบกับคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งและถามอีกครั้ง ชายชราคนหนึ่งพูดว่าเขาไม่รู้ แต่เด็กคนหนึ่งที่ดูน่ารักและแต่งตัวดีตอบอย่างฉะฉานว่า ‘ผมคิดว่าคุณกำลังพูดถึงบิดาของผม เขาขายทรัพย์สินทั้งหมดของเราเพื่อแลกกับทองคำและเดินทางไปที่อินเดีย เขานำคัมภีร์หลายเล่มกลับมา เขาไม่เคยทำงานในทุ่งนามาก่อนเลย แต่ไม่ทราบว่าทำไม วันนี้เขาจึงไปที่นั่น' ข้าพเจ้าคิดว่านี่ต้องเป็นอาจารย์แน่ ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็สงสัยว่าทำไมปรมาจารย์นักแปลผู้ยิ่งใหญ่จึงไปทำงานในทุ่งนา ข้าพเจ้าเดินต่อไปในขณะที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นลามะรูปหนึ่งที่มีร่างกายกำยำ ตัวสูง ดวงตาโตสดใส กำลังไถนาอยู่ริมทาง หัวใจของข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความปีติสุขเกินจะพรรณนาเมื่อเห็นเขา ข้าพเจ้าดีใจมากจนลืมทุกสิ่งรอบตัวไปชั่วขณะ พอได้สติกลับคืนมา ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาท่านแล้วถามว่า 'ศิษย์ของปรมาจารย์ชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ นาโรปะ มาร์ปะผู้เป็นปรมาจารย์นักแปลอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่'

“ลามะมองข้าพเจ้าอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วพูดว่า 'เจ้าเป็นใคร เจ้าตามหาเขาทำไม’

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'กระผมมาจากพื้นที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของทิเบต และได้กระทำบาปใหญ่หลวง ท่านมาร์ปะเป็นที่เลื่องลือ กระผมจึงมาที่นี่เพื่อเรียนรู้ธรรมะจากท่าน’

“ลามะรูปนี้พูดว่า ‘อีกสักครู่เราจะพาเจ้าไปหาเขา ช่วยไถนาต่อให้เราก่อน'

“พอพูดจบ เขาก็ถอดหมวกออก หยิบไหที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วจิบไวน์ไปหนึ่งอึก ดูเหมือนเขาจะเพลิดเพลินกับมันมาก จากนั้นเขาก็วางไหลงแล้วเดินจากไป

“หลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็หยิบไหขึ้นมาและดื่มไวน์รวดเดียวหมด จากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มไถนา สักครู่หนึ่งเด็กน้อยที่น่ารักที่อยู่กับคนเลี้ยงแกะก็มาและบอกข้าพเจ้าว่า 'เฮ้ ! อาจารย์บอกให้คุณเข้ามาได้แล้ว' ข้าพเจ้าตอบว่า 'ให้ผมทำงานในทุ่งนานี้ให้เสร็จก่อน ช่วยให้คนส่งข้อความไปหาท่านอาจารย์ให้ผมหน่อย ผมต้องไถนาให้อาจารย์ให้เสร็จก่อน คุณช่วยบอกอาจารย์ได้ไหมว่าอีกสักครู่ผมจะไปพบ’ จากนั้นข้าพเจ้าก็ทำงานต่อไปจนไถนาเสร็จ ต่อมาสถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อทุ่งแห่งสายสัมพันธ์ที่ถูกลิขิตไว้

“หลังจากที่ข้าพเจ้าไถนาเสร็จแล้ว เด็กผู้ชายคนนี้ก็พาข้าพเจ้าไปหาอาจารย์ ข้าพเจ้าเห็นลามะร่างล่ำสันนั่งอยู่บนที่นั่งที่มีเบาะสามชั้น ที่นั่งแกะสลักลวดลายรูปวัวและครุฑ เขาดูเหมือนเพิ่งล้างหน้ามา แต่ข้าพเจ้ายังเห็นฝุ่นเล็กน้อยบนคิ้วของเขา ร่างอ้วนของเขานั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนใหญ่ และไขมันที่ท้องยื่นนูนออกมา ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคือคนที่ข้าพเจ้าพบขณะไถนา ข้าพเจ้าจึงมองหาอาจารย์มาร์ปะไปรอบ ๆ อาจารย์ยิ้มให้ข้าพเจ้าและพูดว่า ‘เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักเราจริง ๆ เราคือมาร์ปะ เราแนะนำว่าเจ้าควรก้มกราบ”

“ข้าพเจ้ายอมทำตามโดยหมอบกราบท่าน และพูดว่า 'กระผมมาจากอู-ซัง และได้ก่อบาปใหญ่หลวง กระผมยินดีอุทิศกาย วาจา ใจ แด่ท่านอาจารย์ กระผมหวังว่าท่านอาจารย์จะให้อาหาร เสื้อผ้า และธรรมะที่ถูกต้องแก่กระผม นอกจากนี้ ขอโปรดเมตตาและโปรดให้แนวทางฝึกบำเพ็ญเพื่อให้กระผมบรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ด้วย'

“อาจารย์ตอบว่า 'เจ้าก่อบาปใหญ่หลวง นี่เป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่เรื่องของเรา อีกอย่างเราไม่ได้บอกให้เจ้าทำกรรมเหล่านั้น ช่วยพูดให้เจาะจงว่าเจ้าทำกรรมชั่วอะไรมา’

“แล้วข้าพเจ้าก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตให้อาจารย์ฟัง

“อาจารย์พูดว่า 'อ้อ เราเข้าใจแล้ว การอุทิศร่างกาย วาจา และใจของเจ้าให้กับอาจารย์เป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ แต่เราไม่สามารถให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มขณะสอนธรรมะแก่เจ้าได้ เราจะจัดหาอาหารและเสื้อผ้าให้เจ้าไปเรียนธรรมะที่อื่น หรือเราสอนธรรมะให้เจ้า แต่เจ้าต้องหาอาหารและเสื้อผ้าจากที่อื่น เจ้าเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คิดให้ดีแล้วค่อยตัดสินใจ นอกจากนี้ แม้เราจะสอนธรรมะให้เจ้า เจ้าก็อาจไม่บรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของเจ้า’

“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘กระผมมาเพื่อเรียนธรรมะ กระผมจะหาทางจัดหาอาหารและเสื้อผ้าเอง' จากนั้นข้าพเจ้าก็หยิบคัมภีร์ออกมาแล้วเดินไปที่วิหาร อาจารย์เห็นเช่นนี้จึงพูดว่า 'อย่านำหนังสือของเจ้าเข้าไป ถ้าเทพผู้พิทักษ์ที่นี่ได้กลิ่นข้อความที่ไม่ดีจากหนังสือชั่วร้ายของเจ้า เขาอาจจะจามได้' ข้าพเจ้าประหลาดใจและคิดว่า ‘ท่านอาจารย์อาจจะรู้แล้วว่าหนังสือของเรามีวิธีร่ายคาถาและมนตร์คาถาลงโทษอยู่ในนั้น'

“อาจารย์จัดหาห้องพักให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่นั่น 4 หรือ 5 วัน และทำกระเป๋าหนังใบหนึ่ง ภรรยาของท่านอาจารย์ให้อาหารที่อร่อยแก่ข้าพเจ้ามากมายและดูแลข้าพเจ้าอย่างดี

“เพื่อหาของถวายให้อาจารย์ ข้าพเจ้าไปขอบิณฑบาตทั่วโลดรัก จากข้าวสาลีที่ข้าพเจ้าได้มา 21 ลิตร ข้าพเจ้านำ 14 ลิตรไปซื้อโคมไฟทองแดงรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ไร้ตำหนิหรือสนิม ข้าพเจ้าแลกข้าวสาลี 1 ลิตรกับเนื้อสัตว์และไวน์ และข้าพเจ้าใส่ข้าวสาลีที่เหลือลงในกระเป๋าหนังที่ข้าพเจ้าทำไว้ ข้าพเจ้าวางตะเกียงทองแดงไว้บนกระเป๋าแล้วแบกทั้งหมดกลับมา เมื่อข้าพเจ้ามาถึงที่พักของอาจารย์ ข้าพเจ้าหมดแรง ข้าพเจ้าเอากระเป๋าลงจากหลัง แต่มันร่วงกระแทกกับพื้นดังตุ้บ กระเป๋าที่ใส่ข้าวสาลีหนักมากจนทั้งพื้นดินและบ้านสั่นสะเทือนเล็กน้อย อาจารย์กำลังรับประทานอาหารอยู่ ท่านออกมาตรวจดู เมื่อเห็นข้าพเจ้า ท่านพูดว่า ‘ดูเหมือนเจ้าเป็นคนแข็งแรง เฮ้ ! เจ้าอยากให้บ้านของเราถล่มลงมาทับเราหรือ เจ้าโง่เหลือเกิน เอามันออกไปข้างนอก !’ พอพูดจบ ท่านก็เริ่มเตะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาข้าวสาลีออกไปข้างนอก ข้าพเจ้าคิดในใจว่า 'อาจารย์ท่านนี้มีอารมณ์ฉุนเฉียว เราต้องรับใช้ท่านด้วยความระมัดระวังให้มาก แต่ในใจของข้าพเจ้า ไม่มีความไม่พอใจหรือความคิดด้านลบใด ๆ เลย'

“ข้าพเจ้ากราบอาจารย์และมอบโคมทองแดงอันใหญ่ให้ท่าน ท่านถือมัน หลับตา แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท่านมีความสุขและซาบซึ้งใจมาก น้ำตาคลอเบ้า ท่านพูดว่า ‘นี่เป็นบุญสัมพันธ์ที่ดี โคมดวงนี้สำหรับท่านอาจารย์นาโรปะชาวอินเดีย' หลังจากแสดงท่ารำมือเพื่อสักการะแล้ว ท่านก็เคาะโคมด้วยไม้และมีเสียงก้องกังวานออกมา ท่านนำโคมไปยังวิหาร เติมเนยลงโคม ใส่ไส้ตะเกียง และจุดไฟ

“ด้วยความกระวนกระวายใจใคร่เรียนรู้ธรรมะ ข้าพเจ้าจึงไปหาท่านอาจารย์และอ้อนวอนว่า ‘ขอท่านได้โปรดสอนธรรมะและบทสวดให้แก่กระผมด้วยเถิด’

“ท่านอาจารย์พูดว่า 'ผู้คนมากมายมาจากอู-ซัง เพื่อศึกษาธรรมะกับเรา แต่คนที่มาจากยัมดรก ตักลุง และหลิง มักโจมตีพวกเขาจนไม่สามารถเอาอาหารและของถวายมาให้เราได้ ตอนนี้เราต้องการให้เจ้าร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บ เราจะสอนเจ้าถ้าเจ้าทำสำเร็จ

“เพื่อแสวงหาธรรม ข้าพเจ้าร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บอีกครั้งและประสบผลสำเร็จ ข้าพเจ้ากลับไปหาอาจารย์และขอคำสอน ท่านพูดว่า ‘เจ้าแค่เรียกลูกเห็บสองสามก้อนเท่านั้น แล้วเจ้าต้องการได้รับธรรมะที่ถูกต้องที่เราได้รับจากอินเดียด้วยการทนทุกข์ทรมานมากมายขนาดนั้นหรือ เจ้าจงฟังเรา คนในแค้วนโลดรักเคยทุบตีลูกศิษย์ของเราและต่อต้านเรา ถ้าคาถาของเจ้าทรงพลังจริง ๆ เจ้าก็ควรร่ายคาถาใส่พวกเขา ถ้าเจ้าทำสำเร็จ เราจะสอนวิธีบรรลุพุทธภาวะในชาตินี้ให้เจ้า' เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ข้าพเจ้าจึงร่ายคาถา ไม่นานหลังจากนั้น ความขัดแย้งภายในก็เกิดขึ้นในโลดรัก ผู้คนจำนวนมากถูกสังหาร รวมทั้งผู้ที่ต่อต้านเราด้วย เมื่อเห็นว่าคาถาของข้าพเจ้าได้ผล ท่านอาจารย์ก็พูดว่า 'เราได้ยินว่าคาถาของเจ้าทรงพลังมาก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง’ ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ก็เรียกข้าพเจ้าว่า 'ชายผู้ทรงพลัง'

“ข้าพเจ้าขอให้อาจารย์สอนธรรมะแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าประหลาดใจมากที่ท่านหัวเราะเสียงดัง 'ฮา ฮา ฮา ! หลังจากทำความผิดร้ายแรงเหล่านี้แล้ว เจ้ายังอยากเรียนธรรมะจากเราอีกหรือ เราเดิมพันด้วยชีวิตเดินทางไปอินเดีย และมอบทองคำให้กับอาจารย์เป็นของถวายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ เจ้าจะได้รับมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร แม้ว่าเจ้าจะล้อเล่น แต่ก็ยังเกินไปหน่อย นอกจากนี้เจ้ายังเก่งในการใช้คาถาด้วย ถ้าไม่ใช่เรา แต่เป็นคนอื่น เจ้าคงฆ่าเขาไปแล้ว เอาเถอะ ถ้าเจ้าสามารถฟื้นฟูความเสียหายในยัมดรก ตักลุง และทำให้คนที่ถูกสังหารในโลดรักฟื้นคืนชีพได้ เราจะสอนธรรมะให้แก่เจ้า ไม่เช่นนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่' เขาดุว่าข้าพเจ้าอย่างหนัก ทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังอย่างที่สุดและร้องไห้คร่ำครวญ ภรรยาของท่านสงสารข้าพเจ้าและมาปลอบโยนข้าพเจ้า

“เช้าวันรุ่งขึ้น อาจารย์มาหาข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า 'เมื่อวานนี้คำพูดของเรารุนแรงเกินไป อย่าอารมณ์เสียเลยนะ เจ้าเป็นคนเข้มแข็ง และเราหวังว่าเจ้าจะสร้างบ้านที่ทำจากหินให้เราเพื่อเก็บพระคัมภีร์ พอทำเสร็จแล้ว เราจะสอนธรรมะให้แก่เจ้า เราจะจัดหาอาหารและเสื้อผ้าให้กับเจ้าด้วย'

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'ถ้ากระผมตายระหว่างสร้างบ้านหลังนี้ก่อนที่จะได้เรียนรู้ธรรมะล่ะ’

“'เรารับรองว่าเจ้าจะไม่ตายอย่างแน่นอนในช่วงเวลานี้ เจ้าต้องการความกล้าหาญในการเรียนรู้ธรรมะ เจ้ามีความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียร เจ้าจะบรรลุพุทธภาวะได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทุ่มเทได้แค่ไหน ของเราไม่เหมือนนิกายอื่น ของเรามีความสามารถในการเสริมสร้างที่ไม่มีใครเทียบได้' อาจารย์กล่าวด้วยความยินดีและมีเมตตา

“นั่นทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขมาก พอข้าพเจ้าขอพิมพ์เขียว ท่านก็ตอบว่า 'บ้านหลังนี้จะสร้างอยู่บนเนินเขาที่เข้าถึงได้ยาก ตระกูลของคนในท้องถิ่นเคยทำข้อตกลงกันไว้ในอดีตว่าห้ามก่อสร้างในพื้นที่นั้น โชคดีที่เราไม่ได้ลงนามในข้อตกลงนั้น ดังนั้นเราจึงไม่มีข้อผูกมัด เรากำลังคิดจะสร้างบ้านรูปวงกลมบนเนินเขาฝั่งตะวันออก เจ้าสามารถใช้มันเพื่อกำจัดกรรมของเจ้าได้ด้วย’

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์และเริ่มสร้างบ้าน เมื่อก่อสร้างไปได้ครึ่งทาง ท่านอาจารย์ก็มาและพูดว่า 'ตอนนั้นเราวางแผนไว้ไม่ดี สถานที่นี้ไม่ดี ให้ย้ายหินและวัสดุอื่น ๆ กลับไปยังที่เดิม' ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องแบกหินและไม้กลับไปที่เชิงเขาทีละชิ้น แล้วท่านก็พาข้าพเจ้าไปทางเนินเขาด้านตะวันตก หลังจากถอดเสื้อคลุมครึ่งวงกลมออกแล้วพับทบกันหลายชั้น ท่านวางมันลงบนพื้นแล้วพูดว่า 'จงสร้างบ้านแบบนี้' คราวนี้ยิ่งลำบากกว่าเดิม ข้าพเจ้าสร้างบ้านทั้งหลังเพียงลำพัง ซึ่งหมายความว่าข้าพเจ้าต้องแบกหินและไม้แต่ละชิ้นเป็นระยะทางหลายไมล์จากตีนเขาไปถึงยอดเขา มันน่าเวทนามาก พอสร้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็มาอีกครั้งและพูดว่า 'นี่ดูไม่เหมาะ ให้รื้อออก แล้วนำหินและไม้กลับไปที่เดิม' ข้าพเจ้าต้องฟังท่านและรื้ออาคารออกทีละชิ้น

“จากนั้นท่านอาจารย์ก็พาข้าพเจ้าไปที่เนินเขาทางด้านเหนือแล้วพูดว่า 'ชายผู้ทรงพลัง หลายวันที่ผ่านมา เรามึนเมาและไม่ได้พูดให้ชัดเจน ตอนนี้ จงสร้างบ้านที่ดีที่นี่

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'ถ้ากระผมสร้างบ้านอีกครั้งแล้วต้องรื้อมันออกอีก กระผมก็ต้องทนทุกข์โดยเปล่าประโยชน์ และท่านก็จะต้องเสียเงินด้วย โปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนในครั้งนี้'

“'วันนี้เราไม่ได้ดื่มและเราวางแผนมาอย่างดีแล้ว บ้านของผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงควรเป็นรูปสามเหลี่ยม ช่วยสร้างบ้านหลังนี้ แล้วเราจะไม่ขอให้เจ้ารื้อมันอีกอย่างแน่นอน' ข้าพเจ้าจึงเริ่มสร้างบ้านทรงสามเหลี่ยมหลังนี้ เมื่อสร้างไปได้หนึ่งในสาม ท่านอาจารย์ก็มาและถามว่า 'ชายผู้ทรงพลัง ! บ้านที่เจ้ากำลังสร้างหลังนี้ – ใครบอกให้เจ้าสร้าง’

“ข้าพเจ้าเริ่มหมดความอดทนและตอบทันทีว่า 'นี่เป็นคำสั่งของท่านโดยตรง ท่านอาจารย์ !'

“อาจารย์เกาศีรษะแล้วพูดว่า 'อืม ทำไมเราจำไม่ได้เลย ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เราคงเสียสติไปแล้วใช่ไหม'

“‘ตอนนั้น กระผมทราบอยู่แล้วว่าอาจเกิดเรื่องเช่นนี้ กระผมจึงขอให้ท่านพิจารณาให้รอบคอบ ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าท่านวางแผนมาดีแล้ว และจะไม่รื้อถอนมันอย่างแน่นอน ท่านต้องจำได้สิ !’ ข้าพเจ้าตอบด้วยความกระวนกระวาย

"‘ฮื่อ ! มีพยานไหม การสร้างบ้านทรงสามเหลี่ยมในสถานที่นี้มีฮวงจุ้ยไม่ดี เหมือนการสร้างแท่นบูชาเพื่อร่ายคาถา เจ้ากำลังวางแผนสังหารเราหรือ เราไม่ได้ขโมยข้าวของของเจ้า และเราก็ไม่ได้ปล้นทรัพย์สินของพ่อของเจ้าด้วย ถ้าเจ้าไม่ได้วางแผนที่จะสังหารเราและจริงจังกับการเรียนรู้ธรรมะ เจ้าก็ควรฟังเรา : รื้อบ้านหลังนี้แล้วขนย้ายวัสดุทั้งหมดกลับไปที่เนินเขา !’

“ข้าพเจ้าแบกหินและทำงานใช้แรงงานหนักมานาน แต่ละครั้งข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะสร้างบ้านให้เสร็จเพื่อจะได้เรียนรู้ธรรมะและข้าพเจ้าก็ทำงานหนักมาก ในเวลานั้น เนื้อบนหลังของข้าพเจ้าถูกเสียดสีจนเป็นแผลลึกหลายแห่ง แผลเหล่านี้กลายเป็นรอยแผลเป็น แล้วแผลเป็นเหล่านี้ก็ถูกเสียดสีจนถลอกอีก แล้วก็กลายเป็นแผลเป็นใหม่เกิดขึ้นและมันเจ็บปวดมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะเอาแผลเหล่านี้ให้อาจารย์ดู แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่ามันจะจบลงไม่ดีแน่ และมีแต่จะนำไปสู่การดุด่าและการทุบตีมากขึ้น ถ้าข้าพเจ้าบอกเรื่องนี้กับภรรยาของท่าน มันก็จะดูเหมือนว่าข้าพเจ้าบ่น ข้าพเจ้าจึงไม่ได้บอกเธอเช่นกัน แต่ข้าพเจ้าขอให้เธอช่วยขอร้องท่านอาจารย์ให้สอนธรรมะแก่ข้าพเจ้า เธอจึงเข้าไปหาท่านทันทีแล้วพูดว่า 'การสร้างบ้านแบบนี้ไม่มีความหมาย ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณจึงอยากทำเช่นนั้น ชายผู้ทรงพลังน่าสงสารมากและต้องทนทุกข์มากมาย โปรดสอนบางอย่างให้แก่เขาด้วยเถิด'

“ท่านอาจารย์มาร์ปะพูดกับเธอว่า 'ไปทำอาหารดี ๆ ให้ผมหน่อย แล้วบอกให้ชายผู้ทรงพลังมาที่นี่ !’ ภรรยาของท่านเตรียมอาหาร และเราไปพบท่านอาจารย์ด้วยกัน ท่านอาจารย์พูดว่า 'เราในวันนี้แตกต่างจากเราเมื่อวานนี้ อย่าได้กังวลมากนัก ถ้าเจ้าต้องการเรียนธรรมะ เราจะสอนเจ้า !' แล้วท่านก็สอนหลายอย่างจากพุทธศาสนาแบบเปิดเผย (exoteric Buddhism) (ตรงข้ามกับพุทธศาสนาแบบลับหรือพุทธศาสนาวัชรยาน) เช่น ไตรสรณคมน์และศีลห้า แล้วท่านก็บอกข้าพเจ้าว่า 'นี่เป็นพิธีกรรมพื้นฐาน หากต้องการแสวงหาบทสวดลับที่ไม่มีใครเทียบได้ เจ้าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้’ จากนั้นท่านก็เล่าชีวิตและความทุกข์ทรมานของปรมาจารย์ชาวอินเดีย นาโรปะ ให้ข้าพเจ้าฟัง ท่านพูดว่า 'เจ้าอาจไม่สามารถทนต่อความยากลำบากเช่นนี้ได้' พอได้ฟังเรื่องราวการเดินทางของอาจารย์นาโรปะแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลและเกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้า ข้าพเจ้าตั้งปณิธานในใจว่า 'เราจะฟังคำพูดทุกคำของท่านอาจารย์ และจะฝ่าฟันความยากลำบากทุกอย่างให้ได้'

“หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาจารย์กับข้าพเจ้าก็เดินไปด้วยกัน เมื่อเราไปถึงสถานที่ที่ตระกูลในท้องถิ่นห้ามการก่อสร้าง อาจารย์พูดว่า ‘จงสร้างหอคอยทรงสี่เหลี่ยมเก้าชั้นให้เราที่นี่ เพิ่มพื้นที่เก็บของไว้ชั้นบนสุดอีกหนึ่งชั้น รวมเป็น 10 ชั้น เราจะไม่ทำลายมันอย่างเด็ดขาด หลังจากสร้างเสร็จแล้ว เราจะสอนธรรมะและบทสวดให้เจ้า เราจะจัดเตรียมเสบียงและอาหารสำหรับการเรียนรู้ธรรมะให้กับเจ้าด้วย’

“ข้าพเจ้าคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า 'ถ้าเช่นนั้น กระผมขอเชิญภรรยาของท่านอาจารย์มาเป็นพยานด้วย ได้หรือไม่'

“ท่านอาจารย์ตอบตกลง 'ได้ !'

“ท่านอาจารย์วาดภาพแบบร่างของหอคอย และข้าพเจ้าได้เชิญภรรยาของท่านมาด้วย หลังจากหมอบกราบพวกท่านสามครั้ง ข้าพเจ้าพูดว่า 'ท่านอาจารย์สั่งให้กระผมสร้างบ้าน กระผมเริ่มสร้างสามครั้ง แล้วรื้อถอนสามครั้ง ครั้งแรก ท่านอาจารย์บอกว่าท่านคิดไม่รอบคอบ ครั้งที่ 2 ท่านอาจารย์บอกว่าท่านเมาและวางแผนไม่ดี ครั้งที่ 3 ท่านอาจารย์บอกว่าท่านคงบ้าไปแล้วที่สั่งให้กระผมสร้างบ้านทรงสามเหลี่ยมที่นั่น หลังจากกระผมอธิบาย ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีพยานและดุว่ากระผม วันนี้กระผมหวังว่าภรรยาของท่านอาจารย์จะเป็นพยานในครั้งที่ 4 นี้ ท่านสามารถเป็นพยานได้หรือไม่’

“ภรรยาของท่านอาจารย์พูดว่า 'ฉันจะเป็นพยานให้กับเจ้าได้อย่างแน่นอน อาจารย์ ฉันสามารถเป็นพยานได้ แต่แผนการสร้างอาคารนี้ท้าทายมาก เนินเขานี้สูงมาก และเขาต้องแบกหินและไม้แต่ละชิ้นจากเชิงเขาด้วยตัวเองทั้งหมด ใครจะรู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน ยิ่งกว่านั้น เรายังไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านที่นี่ และไม่จำเป็นต้องทำลายมันด้วย ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของเรา และตระกูลท้องถิ่นก็ได้สาบานไว้ว่าจะไม่มีการก่อสร้างที่นี่ ฉันเกรงว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง’

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'แต่กระผมเกรงว่าท่านอาจารย์จะไม่ฟังท่าน’

“ท่านอาจารย์พูดกับภรรยาของท่านว่า 'คุณเป็นพยานก็ได้ถ้าต้องการ แต่อย่าพูดมากไป !’

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มสร้างหอคอยทรงสี่เหลี่ยมนี้ เมื่อข้าพเจ้าวางฐานราก ศิษย์เอกของท่านอาจารย์ 3 คน ได้แก่ ง็อกตัน โชดอร์ ซูร์ตัน วันเก และเมตัน ซอนโป มาที่นั่นเพื่อเล่น และพวกเขาก็ช่วยแบกหินก้อนใหญ่จำนวนมากให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้หินเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของฐานราก หลังจากที่ข้าพเจ้าสร้างชั้นที่ 2 เสร็จ อาจารย์มาและตรวจดูอย่างละเอียดทุกจุด แล้วชี้ไปที่หินที่ศิษย์คนอื่นแบกมา ท่านถามว่า 'หินเหล่านี้มาจากไหน'

“‘พวกนี้… หินพวกนี้มาจากง็อกตัน วันเก และคนอื่น ๆ พวกเขาช่วยกระผมแบกมันมาที่นี่’

“ท่านอาจารย์พูดว่า 'เจ้าจะใช้หินของพวกเขาสร้างหอคอยไม่ได้ รีบรื้อออกแล้วย้ายหินพวกนี้ออกไป !’

“'แต่ท่านให้สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำลายอาคารหลังนี้ !'

“'ใช่ เราพูดเช่นนั้น แต่ศิษย์เหล่านี้ของเราเป็นโยคีระดับสูง และเราไม่สามารถให้พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของเจ้าได้ นอกจากนี้ เราไม่ได้ขอให้เจ้าทำลายทุกอย่าง แค่ย้ายก้อนหินที่พวกเขาแบกมาเท่านั้น'

“ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได้และต้องรื้อหอคอยตั้งแต่ยอดถึงฐานราก แล้วแบกหินเหล่านั้นกลับไปที่เชิงเขา จากนั้นท่านอาจารย์ก็มาและพูดว่า 'ตอนนี้ เจ้าสามารถนำมันกลับมาและใช้เป็นฐานรากได้แล้ว'

“ข้าพเจ้าถามว่า 'กระผมคิดว่าท่านไม่ต้องการหินเหล่านี้หรือเปล่า'

“ท่านอาจารย์พูดว่า 'ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการใช้หินเหล่านี้ เพียงแต่เจ้าต้องแบกมันด้วยตัวเองแทนที่จะใช้ประโยชน์จากผู้อื่น

“คนสามคนแบกหินเหล่านั้นขึ้นมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องขนมันทั้งหมดด้วยตัวเอง จึงต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ต่อมาผู้คนจึงเรียกหินเหล่านั้นว่า 'หินทรงพลัง (Strongman Stones)'

“เมื่อวางฐานรากบนยอดเขาเสร็จแล้ว สมาชิกของตระกูลในท้องถิ่นก็พูดคุยกันในกลุ่ม หนึ่งในนั้นพูดว่า 'มาร์ปะกำลังสร้างหอคอยในสถานที่ต้องห้าม เราไปหยุดเขากันเถอะ !' อีกคนหนึ่งเสริมว่า 'มาร์ปะบ้าไปแล้ว เขาพบชายหนุ่มที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ที่ไหนมียอดเขาสูง เขาก็ให้ชายคนนั้นสร้างบ้านที่นั่น พอสร้างไปได้ครึ่งทาง เขาก็บอกให้ชายหนุ่มรื้อถอนมัน แล้วย้ายก้อนหินและไม้กลับไป เขาอาจจะทำลายหอคอยนี้ด้วย ถ้าไม่ทำ เราจะไปหยุดเขา รอดูกันเถอะ'

“แต่อาจารย์ไม่ได้บอกให้ข้าพเจ้ารืื้อถอนอาคารในครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงสร้างมันต่อไป เมื่อข้าพเจ้าสร้างถึงชั้นที่ 7 หลุมแผลขนาดใหญ่เกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่หลังส่วนล่างของข้าพเจ้า

“ตระกูลในท้องถิ่นมาพบกันและหารือกันอีกครั้ง 'ฮึ่ม ! ดูเหมือนว่ามาร์ปะจะไม่ยอมหยุดในครั้งนี้ กลายเป็นว่า ที่เขาทำลายสิ่งก่อสร้างหลายครั้งก่อนหน้านี้ เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการสร้างหอคอยที่นี่ เราจะรื้อถอนมันในครั้งนี้ !' พวกเขารวบรวมผู้คนจำนวนมากที่หอคอย พวกเขาไม่รู้เลยว่าอาจารย์ได้แปลงกายเป็นกองทหารที่จัดกำลังประจำตำแหน่งทั้งภายในและภายนอกหอคอย ตระกูลในท้องถิ่นตกตะลึงกับภาพที่เห็น แทนที่จะเข้าโจมตี พวกเขากลับหมอบกราบอาจารย์และขออภัย ต่อมาพวกเขาทุกคนก็กลายเป็นผู้ถวายทาน

“ในเวลานั้น เมตัน ซอนโป ซังรง ขอรับพิธีอภิเษกจากจักรสมวระ (หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดในสายวัชรยาน) ภรรยาของท่านอาจารย์พูดกับข้าพเจ้าว่า 'ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เจ้าควรได้รับพิธีอภิเษก' ข้าพเจ้าก็คิดเช่นกันว่า 'เราทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมากในการสร้างอาคารเหล่านี้ ไม่มีใครช่วยเราแม้แต่ก้อนหิน 1 ก้อน น้ำ 1 ถัง หรือโคลน 1 ก้อน ครั้งนี้ท่านอาจารย์จะต้องทำพิธีอภิเษกให้เราอย่างแน่นอน !'

“ระหว่างพิธีอภิเษก ข้าพเจ้าหมอบกราบอาจารย์และนั่งที่ตำแหน่งที่นั่งของผู้รับการอภิเษก อาจารย์ถามว่า ‘ชายผู้ทรงพลัง ของถวายสำหรับพิธีอภิเษกของเจ้าอยู่ที่ไหน’

“‘ท่านอาจารย์บอกกระผมว่า หลังจากสร้างหอคอยเสร็จแล้ว กระผมจะได้เข้ารับพิธีอภิเษกและบทสวด ดังนั้นกระผมจึงกล้านั่งที่นี่

“ท่านอาจารย์พูดว่า 'เจ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการสร้างบ้านหนึ่งหลัง นั่นไม่เพียงพอที่จะได้เข้ารับพิธีอภิเษกและบทสวดที่เราได้รับจากอินเดียด้วยความยากลำบากมากมาย ถ้าเจ้ามีของถวาย ก็นำมาที่นี่ มิฉะนั้นกจงลุกออกจากที่นั่งสำหรับพิธีอภิเษก !’ พอพูดจบ ท่านก็ตบหน้าข้าพเจ้าสองครั้ง ท่านกระชากผมของข้าพเจ้าเพื่อลากข้าพเจ้าไปทางประตู แล้วตะโกนด้วยความโกรธว่า 'ออกไปจากที่นี่ !'

“ภรรยาของท่านอาจารย์เห็นเหตุการณ์ จึงเข้ามาปลอบข้าพเจ้า ‘อาจารย์มักพูดว่าธรรมะที่ท่านได้รับจากอินเดียนั้นมีไว้สำหรับสรรพชีวิตทั้งปวง โดยปกติ แม้แต่สุนัขเดินผ่านท่าน ท่านก็ยังให้คำสอนและให้พร แต่ท่านไม่พอใจเจ้าอยู่เสมอ ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่อย่าได้มีความคิดในทางไม่มีเลยนะ !'

“ใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจ หดหู่ และสิ้นหวัง ด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงการฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่าในคืนนั้น

“ในตอนเช้า ท่านอาจารย์มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า 'ชายผู้ทรงพลัง ตอนนี้เจ้าหยุดทำงานที่หอคอยก่อน แล้วช่วยเราสร้างปราสาทที่มีเสา 12 ต้น เราต้องการวิหารอยู่ข้าง ๆ ด้วย หลังจากสร้างเสร็จแล้ว เราจะทำพิธีอภิเษกและสอนธรรมะแก่เจ้า’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มสร้างปราสาทตั้งแต่ฐานราก ภรรยาของท่านอาจารย์มักจะนำอาหารและไวน์ดี ๆ มาให้ข้าพเจ้า เธอยังปลอบโยนข้าพเจ้าด้วยความเมตตาเป็นครั้งคราวด้วย

“เมื่อปราสาทใกล้จะสร้างเสร็จ ซูร์ตัน วันเก มาขอรับพิธีอภิเษกใหญ่จากคุยยสัมชะ (หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดในสายวัชรยาน)

“ภรรยาของท่านอาจารย์พูดว่า 'ครั้งนี้เจ้าจะต้องได้รับพิธีอภิเษก ไม่ว่าอย่างไร !' เธอให้เนย 1 ถุง ผ้าขนสัตว์ 1 พับ และกระทะทองแดงใบเล็ก 1 ใบ แก่ข้าพเจ้าเพื่อใช้เป็นของถวาย ข้าพเจ้ามีความสุขมาก และนำของเหล่านี้ติดตัวเข้าไปในอุโบสถ ตรงไปยังที่นั่งสำหรับผู้เข้ารับพิธีอภิเษก

“อาจารย์มองมาที่ข้าพเจ้าและพูดว่า 'เจ้ามาที่นี่อีกแล้วหรือ เจ้ามีของถวายสำหรับพิธีอภิเษกหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบอย่างสงบและมั่นใจว่า 'เนย ผ้าขนสัตว์ และกระทะทองแดงนี้เป็นของถวายแด่ท่านอาจารย์'

“'ฮา ฮา ฮา ! ช่างเป็นความคิดที่ฉลาด ! เนยนี้มาจากผู้ถวายทานคนนั้น ผ้าขนแกะมาจากผู้ถวายทานคนนั้น และกระทะทองแดงมาจากผู้ถวายทานคนนั้น เป็นความคิดที่ฉลาดมากที่ใช้ของของเรามาเป็นของถวายให้เรา แต่ไม่มีเรื่องเช่นนี้ในโลกนี้ ถ้าเจ้ามีของถวายของตนเอง ก็นำมามอบให้เรา ไม่เช่นนั้น เจ้าก็จะนั่งที่นี่ไม่ได้ !' แล้วท่านก็ยืนขึ้น ดุด่าข้าพเจ้าอย่างหนัก และไล่ข้าพเจ้าออกจากโบสถ์ ข้าพเจ้าอยากจะแทรกแผ่นดินด้วยความอับอาย ข้าพเจ้าใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่นาน นี่เป็นผลกรรมเพราะข้าพเจ้าใช้คาถาสังหารคนไปมากมายและก่อหายนะด้วยคาถาเรียกพายุลูกเห็บหรือ หรือท่านอาจารย์ทราบว่าข้าพเจ้าไม่ดีพอที่จะได้รับธรรมหรือ หรือท่านอาจารย์ไม่มีเมตตามากพอที่จะสอนธรรมะให้แก่ข้าพเจ้าหรือ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ด้วยร่างกายที่ไร้ค่าซึ่งเต็มไปด้วยบาปที่ไม่สามารถรับธรรมะได้ ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่า หรือว่าข้าพเจ้าควรจะฆ่าตัวตายดี ขณะที่ข้าพเจ้าสับสนและงงงวย ภรรยาของท่านอาจารย์ก็มาพร้อมกับอาหารบางส่วนที่เธอใช้บูชาและเธอปลอบใจข้าพเจ้าอยู่นาน

“ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังทำให้ข้าพเจ้าไม่แตะต้องอาหาร และข้าพเจ้าร้องไห้ตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นท่านอาจารย์มาและพูดว่า 'ไปสร้างปราสาทและหอคอยให้เสร็จ หลังจากสร้างเสร็จแล้ว เราจะสอนธรรมะและบทสวดให้เจ้า’

“ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่ก็สร้างปราสาทจนเสร็จในที่สุด เมื่อถึงเวลานั้น หลังของข้าพเจ้าทรุดโทรมจนเกิดหลุมแผลอีกแห่งหนึ่ง บาดแผลสามส่วนเต็มไปด้วยหนอง เนื้อที่เน่าเปื่อยปะปนกับหนองและเลือด เหมือนกับกองโคลนเน่า ๆ

“ข้าพเจ้าไปหาภรรยาของท่านอาจารย์และขอร้องว่า 'ตอนนี้ปราสาทสร้างเสร็จแล้ว กระผมกลัวว่าอาจารย์อาจจะลืมสัญญาอีกครั้งว่าท่านจะสอนธรรมะให้กระผม ท่านช่วยถามให้กระผมได้หรือไม่’ เนื่องจากแผลที่หลังของข้าพเจ้าเจ็บมาก ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถปกปิดความเจ็บปวดได้ 'ชายผู้ทรงพลัง เกิดอะไรขึ้น เจ้าป่วยหรือ เธอถามข้าพเจ้าด้วยอาการตกตะลึง ข้าพเจ้าถอดเสื้อออกให้เธอดู เธอมองดูด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอพูดว่า 'ฉันจะไปบอกอาจารย์เดี๋ยวนี้ !' เธอรีบไปหาท่านอาจารย์ทันทีและพูดว่า ''อาจารย์ ชายผู้ทรงพลังสร้างบ้านหลายหลังมาเป็นเวลานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ มือและเท้าของเขาจึงได้รับบาดเจ็บ และผิวหนังของเขาแตก หลังของเขามีแผลเปื่อยขนาดใหญ่และลึกเป็นหลุม 3 แห่ง หลุมแผลหนึ่ง มีหนองและเลือดอยู่ 3 ส่วน ในอดีตเราได้ยินแต่ว่า ถ้าให้ม้าหรือล่อขนของหนักเป็นเวลานานเกินไป จะทำให้มันเป็นแผลเปื่อยได้ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแผลเปื่อยเช่นนี้ที่หลังของคน ยิ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง ! ถ้าคนอื่นได้ยินหรือได้เห็นเช่นนี้ พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะเราหรือ ชายผู้ทรงพลังมารับใช้คุณเพราะคุณเป็นลามะผู้ยิ่งใหญ่ คุณได้พูดไว้ไม่ใช่หรือว่าคุณจะสอนธรรมะให้เขาหลังจากที่เขาสร้างหอคอยเสร็จ เขาน่าสงสารเหลือเกิน โปรดสอนธรรมะแก่เขาด้วย' อาจารย์พูดว่า 'ใช่ ผมเคยพูดอย่างนั้นมาก่อน แต่สิ่งที่ผมพูดคือหอคอยสิบชั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน’

“'ปราสาทยังใหญ่กว่าหอคอยอีกไม่ใช่หรือ’

“‘อย่าพูดมาก ! ผมจะสอนธรรมะให้เขาหลังจากหอคอยสิบชั้นสร้างเสร็จแล้ว !’ อาจารย์ดุภรรยาของท่าน จากนั้นท่านก็นึกถึงแผลที่หลังของข้าพเจ้า 'เดี๋ยว ! คุณพูดว่าอะไรนะ ชายผู้ทรงพลังมีแผลเปื่อยที่หลังหรือ’

“'เต็มทั่วหลังของเขาเลย คุณไปดูด้วยตัวเองเถิด หนองและเลือดปะปนกันหมด น่ากลัวมาก ไม่มีใครทนมองมันได้หรอก ยี้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน !' ภรรยาของอาจารย์พูด

“ท่านอาจารย์มาที่บันไดแล้วเรียก 'ชายผู้ทรงพลัง มาที่นี่ !'

“ข้าพเจ้าคิดในใจว่า 'ดีล่ะ ท่านอาจารย์ต้องวางแผนที่จะสอนธรรมะให้แก่ข้าพเจ้าแน่ ๆ' ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดทีละสองหรือสามขั้น ท่านอาจารย์พูดว่า 'ชายผู้ทรงพลัง ขอดูแผลเปื่อยที่หลังหน่อย !' ข้าพเจ้าให้ท่านดูแผล ท่านดูอย่างละเอียด จากนั้นท่านก็พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ท่านอาจารย์ชาวอินเดีย นาโรปะ ต้องผ่านการบำเพ็ญตบะขั้นใหญ่ 12 ประการ และบำเพ็ญตบะขั้นเล็ก 12 ประการ ซึ่งลำบากกว่าที่เจ้ากำลังประสบอยู่มาก ท่านต้องทนทุกข์ทรมานกับการบำเพ็ญตบะทั้งหมด 24 ประการ เราก็สละชีวิตและสละทรัพย์สินเพื่อรับใช้ท่านเช่นกัน หากเจ้าแสวงหาธรรมะจริง ๆ ก็เลิกเสแสร้งโดยเร็ว แล้วไปสร้างหอคอยให้เสร็จ !'

“ข้าพเจ้าก้มศีรษะลงและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านพูดก็มีเหตุผล

“จากนั้นท่านอาจารย์ก็ทำถุงหลายใบบนเสื้อผ้าของข้าพเจ้า และพูดว่า “หลังจากที่ม้าและลาเป็นแผลเปื่อยที่หลัง พวกมันก็ยังต้องแบกสัมภาระโดยใช้ถุง ตอนนี้เราได้ทำถุงหลายใบให้เจ้าเอาไว้ขนดินและหิน”

“ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัยว่า 'กระผมเป็นแผลที่หลัง ถุงเหล่านี้จะช่วยได้อย่างไร’

“'แน่นอนพวกมันจะช่วยได้ ! ขนดินใส่ถุงพวกนี้ แล้วสิ่งสกปรกก็จะไม่สัมผัสกับแผลที่หลังของเจ้า’ ท่านตอบ ข้าพเจ้าคิดว่านี่คือคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงอดทนต่อความเจ็บปวดและแบกถุงทราย 7 ใบ ขึ้นไปบนยอดเขา

“เมื่อเห็นข้าพเจ้าเชื่อฟังทุกคำพูดของท่าน ท่านอาจารย์ก็รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่มีความมุ่งมั่นและสามารถอดทน เมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้ ท่านอาจารย์ก็หลั่งน้ำตาออกมามากมาย

“แผลเปื่อยบนหลังของข้าพเจ้าใหญ่ขึ้นทุกวัน และมันเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ ข้าพเจ้าถามภรรยาของท่านอาจารย์ว่า ‘ท่านช่วยขอท่านอาจารย์ให้สอนธรรมะแก่ข้าพเจ้าก่อนได้หรือไม่ หรืออย่างน้อยก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พักสักระยะเพื่อให้แผลหายก่อน'

“เธอนำคำพูดของข้าพเจ้าไปบอกกับท่านอาจารย์ คำตอบของท่านอาจารย์คือ จะไม่สอนธรรมะอย่างแน่นอนจนกว่าหอคอยจะสร้างเสร็จ ถ้าแผลเปื่อยจำเป็นต้องรับการรักษาจริง ๆ ข้าพเจ้าสามารถพักได้สองสามวัน ภรรยาของท่านอาจารย์ก็สนับสนุนให้ข้าพเจ้าหยุดพักก่อน แล้วค่อยทำงานต่อในภายหลัง

“ระหว่างวันที่พักฟื้น ภรรยาของท่านอาจารย์ได้นำอาหารดี ๆ และอาหารเสริม มาให้ข้าพเจ้าจำนวนมาก เธอยังปลอบใจข้าพเจ้าเป็นระยะ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บปวดจากการไม่ได้รับธรรมะชั่วขณะ

“หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อแผลเปื่อยที่หลังของข้าพเจ้าเกือบจะหายดีแล้ว อาจารย์ก็เรียกข้าพเจ้าไปพบอีกครั้ง แทนที่จะสอนธรรมะ ท่านกลับพูดว่า 'ชายผู้ทรงพลัง ไปสร้างหอคอยเดี๋ยวนี้ !'

“ข้าพเจ้าวางแผนที่จะทำงานในวันนั้นอยู่แล้ว แต่ด้วยความเห็นใจ ภรรยาของท่านอาจารย์จึงมีแผนที่จะเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้สอนธรรมะแก่ข้าพเจ้าเร็วขึ้น เธอคุยกับข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้และขอให้ข้าพเจ้าทำตามที่เธอบอก ดังนั้นหลังจากพบกับท่านอาจารย์และกลับมา ข้าพเจ้าก็ร้องไห้เบา ๆ และเริ่มเก็บข้าวของและซัมปา (แป้งข้าวบาร์เลย์คั่ว อาหารหลักในทิเบต) ราวกับว่าข้าพเจ้ากำลังจะจากไป ในสถานที่ที่อาจารย์มองเห็น ข้าพเจ้าก็แสร้งทำเป็นว่าจะจากไป และภรรยาของท่านก็ทำท่าเหมือนจะหยุดข้าพเจ้า โดยพูดว่า ‘คราวนี้ฉันสัญญาว่าจะขอร้องอาจารย์ให้สอนธรรมะแก่เจ้า อย่าไปเลย ! อย่าไปเลย !' เหตุการณ์นี้ดำเนินไปพักหนึ่งและดึงดูดความสนใจของอาจารย์ได้ ท่านตะโกนถามภรรยาของท่านว่า 'ดักเมมา พวกคุณสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่'

“เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ภรรยาของท่านก็คิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว และพูดว่า ‘ศิษย์ของท่าน ชายผู้ทรงพลังเดินทางมาไกลเพื่อเรียนรู้ธรรมะ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการสอนธรรมะเท่านั้น แต่ยังต้องมาถูกดุด่าและทำงานเหมือนสัตว์ที่ใช้แรงงานขนของอีกด้วย เขากลัวว่าเขาอาจจะตายก่อนที่จะได้เรียนรู้ธรรมะ จึงกำลังจะจากไปเพื่อไปหาอาจารย์ท่านอื่น ฉันสัญญาว่าเขาจะได้รับธรรมะที่นี่ แต่เขาก็ยังต้องการจากไป’ อาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธมาก ท่านถือแส้หนังแล้ววิ่งออกมาเฆี่ยนข้าพเจ้าอย่างแรง และพูดว่า 'ไอ้เศษสวะ ตอนที่เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ เจ้าพูดว่าจะอุทิศกาย วาจา และใจให้กับเรา ตอนนี้เจ้ากำลังจะไปไหน หากเราต้องการ เราสามารถเฉือนร่างกาย วาจา และจิตใจของเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ก็ได้ เจ้ามอบให้เราแล้ว เราจึงมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น แต่ถ้าเจ้าต้องการไปจากที่นี่ เจ้าก็ไปได้เลย ทำไมเจ้าจึงเอาซัมปาของเราไปด้วยล่ะ มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าต้องการอธิบายไหม’ ท่านเฆี่ยนตีข้าพเจ้าอย่างโหดเหี้ยมจนข้าพเจ้าล้มลงกับพื้น แล้วท่านก็เอาซัมปาไป

“ใจข้าพเจ้าเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกท่านได้ว่าข้าพเจ้ากับภรรยาของท่านวางแผนหลอกลวงท่าน ไม่ว่าข้าพเจ้าพยายามมากแค่ไหน ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามก็เทียบไม่ได้กับพลังอำนาจของท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งเข้าไปข้างในและร้องไห้ ภรรยาของท่านอาจารย์ก็ถอนหายใจเช่นกัน ‘แม้ฉันจะเถียงกับเขาเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ยอมสอนธรรมะแก่เจ้า แต่ฉันต้องช่วยเจ้าให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ฉันมีวิธีบำเพ็ญของวัชรายาคินี (หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดในสายวัชรยาน) ฉันจะสอนให้เจ้าดีไหม ข้าพเจ้าจึงเริ่มฝึกธรรมะนี้ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้สึกอะไรมากนักจากธรรมะนี้ แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าก็สบายใจมากขึ้น ข้าพเจ้าคิดว่าภรรยาของท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อข้าพเจ้าอย่างดี และข้าพเจ้าต้องตอบแทนพระคุณของเธอ ข้าพเจ้ายังคิดด้วยว่าเพราะอาจารย์และภรรยาของท่าน บาปกรรมมากมายของข้าพเจ้าจึงถูกกำจัดออกไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจอยู่ที่นั่นต่อไป

ในช่วงฤดูร้อน ข้าพเจ้าช่วยภรรยาของท่านอาจารย์รีดนมสัตว์และคั่วข้าวบาร์เลย์ บางครั้งข้าพเจ้าก็คิดที่จะไปที่อื่นเพื่อหาอาจารย์ท่านอื่น แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้ว่ามีเพียงอาจารย์ท่านนี้เท่านั้นที่มีธรรมะที่สามารถทำให้บรรลุพุทธภาวะได้ภายในชาติเดียว ถ้าข้าพเจ้าไม่สามารถบรรลุพุทธภาวะภายในชาตินี้ ข้าพเจ้าจะปลดปล่อยตัวเองจากบาปกรรมมากมายได้อย่างไร เพื่อให้ได้ธรรมะ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะอดทนเหมือนอาจารย์นาโรปะ แต่ก่อนอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าต้องทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้อาจารย์พอใจ เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้รับบทสวดของท่านและบรรลุมรรคผลในชาตินี้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสงบสติอารมณ์และแบกหินและไม้ เพื่อสร้างวิหารข้างปราสาท

(มีต่อ)