(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต
(ต่อจาก ตอนที่ 5)
มิลาเรปะพูดว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะฆ่าตัวตาย เหล่าลามะก็วิ่งไปวิ่งมาอย่างรีบเร่ง รบเร้าให้ข้าพเจ้าหยุดและขอร้องให้อาจารย์ช่วยเหลือ หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์มาร์ปะก็สงบลงและพูดว่า 'โอ้ บอกให้ดักเมมามาที่นี่ !' เมื่อภรรยาของท่านมาถึงแล้ว ท่านอาจารย์ก็ถามว่า “ตอนนี้ง็อกตัน โชดอร์ และศิษย์คนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน”
ภรรยาของท่านตอบว่า 'เมื่อง็อกตันทำตามคำสั่งของคุณ ไปเอาเครื่องประดับของท่านนาโรปะและสายประคำ เขาเห็นชายผู้ทรงพลังอยู่ข้างนอกกำลังจะฆ่าตัวตาย' ชายผู้ทรงพลังขอให้ง็อกตันทำพิธีกรรมเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของเขาจากความทุกข์ทรมานหลังจากเขาตาย ตอนนี้ทุกคนกำลังพยายามหยุดชายผู้ทรงพลังอยู่’
“ท่านอาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็หลั่งน้ำตา ท่านพูดว่า ‘ช่างเป็นศิษย์ที่ดีจริง ๆ ! เขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการเป็นศิษย์ของมนตรยานลับ [วัชรยาน] น่าสงสารมาก ช่วยเรียกพวกเขาทั้งหมดเข้ามาตอนนี้เลย’ ศิษย์คนหนึ่งรีบวิ่งไปหาลามะง็อกตัน แล้วพูดว่า ‘ตอนนี้ท่านอาจารย์สงบลงแล้ว ท่านส่งข้ามาขอให้คุณและชายผู้ทรงพลังเข้าไป
“เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็ตกใจมากและรีบพูดขัดจังหวะเขาว่า 'ผมกลัวว่าจะไม่มีใครยินดีถ้าผมเข้าไปที่นั่น ด้วยบาปของผม แม้ว่าท่านอาจารย์จะอารมณ์ดี แต่ผมก็ยังไม่คู่ควรที่จะอยู่ต่อหน้าท่าน สมมติว่าผมแข็งใจไป ผมเกรงว่าท่านจะดุว่าและทุบตีผมอีก’ หลังจากพูดจบ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้ต่อไปด้วยความขมขื่น ลามะง็อกตันพูดกับลูกศิษย์คนนี้ว่า ‘จงไปบอกท่านอาจารย์ตามที่ชายผู้ทรงพลังพูด ดูกันว่าชายผู้ทรงพลังจะไปพบท่านอาจารย์หรือไม่ เราต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขา มิฉะนั้นอาจเกิดเรื่องขึ้นได้’ ศิษย์กลับไปและบอกท่านอาจารย์อย่างละเอียด ภรรยาของอาจารย์ก็ตามเข้าไปด้วย
“ท่านอาจารย์พูดว่า 'สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงในอดีต แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างจากเดิมแล้ว และเขาไม่จำเป็นต้องกลัวอีก ครั้งนี้ชายผู้ทรงพลังจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา ดักเมมา บอกให้เขาเข้ามา !' ภรรยาของอาจารย์มาหาข้าพเจ้าและพูดด้วยความยินดีว่า 'ตอนนี้อาจารย์เห็นใจเจ้าอย่างสุดซึ้ง ครั้งนี้เจ้าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของท่าน และท่านบอกให้ฉันส่งเจ้าเข้าไป เจ้าต้องรู้ว่าท่านไม่ได้ตะคอกใส่ฉัน รีบเถอะ จงยินดีและเข้าไปข้างในกัน !’ ด้วยความสงสัย ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ข้าพเจ้าดินเข้าไปในบ้านด้วยความมึนงง
“หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว ท่านอาจารย์พูดว่า 'เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ไม่มีใครผิดเลย' เราจำเป็นต้องชำระล้างบาปกรรมของชายผู้ทรงพลัง ดังนั้นเราจึงตั้งใจให้เขาทำงานหนักและสร้างบ้าน เช่นนี้วิสุทธิมรรค (หนทางแห่งการทำให้บริสุทธิ์) จึงจะสามารถชำระบาปกรรมของเขาได้ บัดนี้มันสำเร็จแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ได้ทำผิด ดักเมมาเป็นผู้หญิงและจิตใจอ่อนโยน มีเมตตามากเกินไป ดังนั้นจึงยากที่จะตำหนิเธอ แต่การปลอมแปลงจดหมายถือเป็นความผิดร้ายแรง ง็อกตันก็ไม่ได้ทำผิดเช่นกัน แต่เจ้าต้องคืนเครื่องประดับและสายประคำให้เรา แล้วเราจะมอบให้เจ้าในภายหลัง สำหรับชายผู้ทรงพลังนั้น เขากระตือรือร้นที่จะได้รับธรรมะและพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ธรรมะ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถตำหนิเขาได้จริง ๆ'
“‘คราวนี้ง็อกตันไม่รู้ว่าเป็นจดหมายปลอมจากดักเมมา เขาจึงสอนบทสวดให้แก่ชายผู้ทรงพลังและประกอบพิธีอภิเษกให้เขา เรื่องนี้ทำให้เราไม่สามารถทำให้ชายผู้ทรงพลังต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เราโกรธมากและไม่สนใจคำขอร้องของคุณ แต่ขอให้ทราบว่าความโกรธนี้แตกต่างจากความโกรธของคนทั่วไป ทุกสิ่งที่แสดงออกมาในอดีตก็เพื่อธรรมะทั้งสิ้น สวภาวะ (ธรรมชาติที่แท้จริง) ควรสอดคล้องกับแนวทางโพธิ (การรู้แจ้งหรือการตื่นรู้) หากเจ้าไม่เข้าใจกระบวนการหลุดพ้น ก็อย่าก่อเกิดความเข้าใจผิด ๆ นอกจากนี้ หากลูกชายของเรา ชายผู้ทรงพลังสามารถทนต่อความทุกข์ใหญ่หลวงทั้ง 9 ความทรมานใหญ่หลวง เขาก็จะหลุดพ้น (หมายความว่าเขาจะไม่กลับชาติมาเกิดในวัฏสงสารหกทางอีกต่อไป) เมื่อไม่มีข้อจำกัดจากสขันธะเหล่านี้ (องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดการดำรงอยู่ของจิตใจและร่างกายของบุคคล) เขาก็จะบรรลุพุทธภาวะ ตอนนี้เขายังไม่บรรลุเพราะเขายังมีบาปเหลืออยู่เล็กน้อย และนี่เกิดจากความใจอ่อนของดักเมมาอย่างแท้จริง'
“‘แม้จะเป็นเช่นนั้น กรรมส่วนใหญ่ของเขาก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพื้นฐานแล้วในระหว่างการบำเพ็ญตบะ 8 ขั้นใหญ่ และการบำเพ็ญตบะขั้นเล็กอีกนับไม่ถ้วน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสนับสนุนเขา ทำพิธีอภิเษกให้เขา และสอนบทสวดต่าง ๆ ให้เขา เราจะถ่ายทอดแก่นธรรมและบทสวดที่เป็นความลับที่สุดให้แก่เขา นอกจากนี้ เราจะจัดหาเสบียงและความช่วยเหลืออื่น ๆ ให้เขาบำเพ็ญได้อย่างดี ชายผู้ทรงพลัง ตอนนี้เจ้าควรมีความสุขได้แล้วจริง ๆ !'
“ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดกับตัวเองว่า ‘นี่เป็นเรื่องจริงหรือนี่คือความฝัน ถ้ามันเป็นความฝัน เราหวังว่าจะไม่ต้องตื่นอีกเลย' ด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความยินดีสุดที่จะคณนา น้ำตาแห่งความยินดีของข้าพเจ้าก็พรั่งพรูออกมาราวกับน้ำพุ ข้าพเจ้าร้องไห้ขณะหมอบกราบต่อหน้าอาจารย์ ภรรยาของอาจารย์ ลามะง็อกตัน และคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่อยู่ในพิธี บางคนคิดว่าวิธีกำจัดกรรมของอาจารย์นั้นน่าประทับใจจริง ๆ บางคนคิดว่าการเสริมสร้างและความเมตตาของอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ บางคนคิดว่าอาจารย์ไม่ต่างจากพระพุทธเจ้าเลย ทั้งภรรยาของอาจารย์และลามะง็อกตันต่างก็เคยสงสารข้าพเจ้า และพวกเขาก็ยินดีกับข้าพเจ้าด้วย พวกเขาก้มคำนับอาจารย์ทั้งน้ำตา และพูดว่า 'พวกเราขอขอบพระคุณท่านจริง ๆ !' เราทุกคนจึงจบพิธีด้วยเสียงหัวเราะและน้ำตาแห่งความสุข
“เย็นวันนั้นพวกเรามารวมตัวกันเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าด้วยเครื่องสักการะ หลังจากเราทำพิธีเสร็จแล้ว อาจารย์พูดว่า ‘วันนี้เราจะมีพิธีบวชและรับศีลปาฎิโมกข์เพื่อเจ้า’ หลังจากโกนผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว อาจารย์พูดกับข้าพเจ้าว่า 'ชื่อของเจ้าถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน ในความฝันของเรา เราเห็นท่านอาจารย์นาโรปะตั้งชื่อให้เจ้าว่า มิลา ดอร์เจ กเยลเซน’ นั่นจึงกลายเป็นชื่อทางธรรมของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ายังได้รับศีลของฆราวาสและศีลของพระโพธิสัตว์จากอาจารย์ด้วย
“จากนั้นท่านอาจารย์ได้ใช้พลังจิตของท่านเสริมความแข็งแกร่งให้กับหมวกกะโหลกศีรษะของเครื่องบูชาภายใน [การฝึกบำเพ็ญลับเก็บรักษาการนำธรรมะนี้มาใช้ในพิธีกรรม] ทันใดนั้นทุกคนในพิธีก็มองเห็นว่าหมวกกะโหลกศีรษะเปล่งแสงสว่างหลากสีออกมา หลังจากถวายน้ำอมฤตแห่งการเสริมพลังเพื่อเป็นเครื่องบูชาแก่บูรพาจารย์และพระพุทธเจ้า อาจารย์มาร์ปะก็จิบน้ำอมฤตจิบหนึ่งแล้วยื่นให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดื่มน้ำอมฤตทั้งหมดในอึกเดียว อาจารย์พูดว่า “นี่เป็นปฏิจจสมุปปาทที่ยิ่งใหญ่ [การเกิดขึ้นโดยอิงอาศัยเหตุปัจจัย] !”
“‘เครื่องบูชาภายในของเรามีเอกลักษณ์และพิเศษยิ่งกว่าการอภิเษกแบบดั้งเดิม 4 แบบ (พิธีอภิเษกด้วยแจกัน พิธีอภิเษกลับ พิธีอภิเษกปัญญาญาณ และพิธีอภิเษกที่สี่) พรุ่งนี้เช้า เราจะประกอบพิธีนี้ให้กับเจ้า’ อาจารย์พูด
“เช้าวันต่อมา มีการจัดตั้งมันดาลาขนาดใหญ่ซึ่งมีเหล่าเทพของจักรสมวรา 62 องค์อยู่เพื่อทำพิธีอภิเษก เมื่อเปิดเผยมันดาลา อาจารย์ก็ชี้ไปที่นั่นแล้วพูดว่า 'นี่คือมันดาลาชั้นพื้นผิวที่ทำด้วยสีในโลกมนุษย์ ตอนนี้ จงดูมันดาลาที่แท้จริงกันเถอะ !' เมื่อพูดจบ ท่านชี้ไปที่พื้นที่ว่าง ทันใดนั้น สถานที่งดงามหลายสิบแห่งในจักรสมวราก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับเหล่าฑากินีและสรรพชีวิตอื่น ๆ บินวนเวียนอยู่รอบ ๆ อาจารย์และพระพุทธเจ้าหลายองค์กล่าวพร้อมกันว่า ‘ชื่อของเจ้าคือ เชปา ดอร์เจ”
“จากนั้นอาจารย์ก็พูดตันตระลับให้ข้าพเจ้าฟังอย่างแจ่มแจ้ง ท่านบอกบทสวดสำหรับการทำสมาธิและการปฏิบัติลับแก่ข้าพเจ้า ท่านวางมือของท่านบนศีรษะของข้าพเจ้าแล้วพูดว่า ‘ลูกชาย เมื่อเจ้ามาครั้งแรก เรารู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ที่มีรากฐานดี คืนก่อนที่เจ้าจะมา เราฝัน ความฝันพยากรณ์นี้บ่งบอกว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในพุทธธรรม ดักเมมาก็มีความฝันที่คล้ายกัน เป็นข้อความจากฑากินี เพราะเจ้าเป็นศิษย์ที่ฑากินีนำพามาให้เรา เราจึงต้อนรับเจ้าด้วยการแสร้งทำเป็นไถนา’
“'เจ้าดื่มไวน์ที่เราให้จนหมด และไถนาทั้งหมด ซึ่งเป็นบุพนิมิตว่าเจ้าจะได้รับบทสวดและบรรลุความสำเร็จบริบูรณ์ ต่อมาเจ้ามอบตะเกียงทองแดงที่มีมือจับ 4 ด้านเป็นเครื่องบูชาให้แก่เรา ซึ่งแสดงว่าเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในศิษย์เอก 4 คนของเรา ตะเกียงไม่มีรอยเสียหายหรือสนิม บอกเป็นนัยว่าเจ้าจะปลอดจากความกังวลและได้รับความเพลิดเพลินกับความอบอุ่นของคุณฑาลินี ตะเกียงว่างเปล่า หมายความว่าเจ้าจะต้องประสบกับการขาดแคลนอาหารและทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหยในอนาคต เพื่อช่วยให้เจ้าและศิษย์ของเจ้าได้รับประโยชน์จากธรรมะ และเพื่อให้ศิษย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสามารถเข้าใจแก่นแท้ของบทสวด เราจึงเติมน้ำมันและจุดตะเกียงให้ เพื่อช่วยให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือกว้างไกล เราจึงเคาะมันให้เสียงดัง เพื่อขจัดกรรมของเจ้า เราจึงให้เจ้าสร้างบ้านสำหรับความสงบ ความอุดมสมบูรณ์ การดึงดูด และการปราบปราม เราขับไล่เจ้าออกจากที่นั่งสำหรับพิธีอภิเษก และทำสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลแก่เจ้ามากมาย แต่เจ้าก็ไม่มีความคิดที่ไม่ดีเลย นี่หมายความว่าเจ้าและศิษย์ของเจ้าจะมีความเชื่อมั่น ความพากเพียร ปัญญา ความเมตตา และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ศิษย์ควรมี เมื่อมีคุณสมบัติเหล่านี้และไม่มีความโลภ ก็จะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดและยังคงมุ่งมั่นจนรู้แจ้งและบรรลุพุทธภาวะ ธรรมะที่เราสอนเจ้าด้วยวาจาจะเจริญรุ่งเรืองและเติบโตไร้ขีดจำกัด ลูกชาย เจ้าควรมีความสุข !'
“ด้วยวิธีนี้ อาจารย์ได้ให้คำพยากรณ์ กำลังใจ การปลอบใจ และคำสรรเสริญแก่ข้าพเจ้า นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นการเดินทางในการบำเพ็ญธรรมที่ถูกต้องด้วยความอิ่มเอิบ”
เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ หลังจากที่ท่านได้รับบทสวดแล้ว ท่านได้ไปบำเพ็ญบนภูเขาในทันที หรือท่านพักอยู่กับอาจารย์มาร์ปะ”
มิลาเรปะตอบว่า “อาจารย์ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ที่สถานที่ของท่านต่อโดยไม่ต้องกังวล ท่านยังจัดหาเสื้อผ้าและอาหารที่ดีมากให้ข้าพเจ้าด้วย และบอกให้ข้าพเจ้าทำสมาธิอย่างสงบในถ้ำที่อยู่เหนือหน้าผาใกล้กับหมู่บ้านใกล้เคียง
“ขณะทำสมาธิอยู่ในถ้ำ ข้าพเจ้าวางตะเกียงที่จุดไฟโดยใช้เนยจามรีไว้บนศีรษะ ข้าพเจ้านั่งนิ่งโดยไม่ขยับหรือไม่ลุกจากที่นั่งจนกว่าตะเกียงจะดับ ข้าพเจ้านั่งสมาธิเช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลา 11 เดือน
“วันหนึ่งอาจารย์และภรรยาของท่านมาพร้อมกับอาหารดี ๆ จากพิธีบูชาประจำเดือน อาจารย์พูดที่ทางเข้าถ้ำว่า “ลูกชาย ตอนนี้เจ้าทำสมาธิมาได้ 11 เดือนพอดี เราดีใจที่เจ้ารักษาที่นั่งให้อุ่นอยู่เสมอและยังคงความขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ เจ้าจงพังประตูออกมาคุยกับเราหน่อย เจ้าจะได้พักผ่อนและพูดความเข้าใจของเจ้าให้เราฟัง
“หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ของอาจารย์จากในถ้ำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดว่า 'กระผมไม่ต้องการพักผ่อน แต่กระผมจะออกมาเพราะเป็นคำสั่งของท่านอาจารย์' ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะพังประตู ข้าพเจ้าก็ลังเล คิดว่าน่าเสียดายที่ต้องหยุดแบบนี้ ด้วยความลังเลนี้ ข้าพเจ้าจึงหมดความกล้าที่จะพังประตูออกไป ภรรยาของอาจารย์เข้ามาและถามว่า 'ลูกชาย เจ้ากำลังพังประตูออกมาใช่ไหม'
“กระผมไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบ
“เธอพูดว่า 'เจ้าจะไม่ผิดเลยแม้แต่น้อยถ้าจะออกมา นี่คือความลึกซึ้งของมันตรยานะที่เร้นลับ อาจารย์เป็นคนอารมณ์ร้อน ดังนั้นโปรดอย่าสูญเสียวาสนานี้ไป เราจะช่วยพังประตูเพื่อให้เจ้าออกมา' พอพูดจบ เธอก็ทำลายประตูถ้ำ และข้าพเจ้าก็กลับไปที่วัดพร้อมกับเธอและอาจารย์
“เมื่อเข้าไปในวัดแล้ว อาจารย์พูดว่า ‘ตอนนี้ ปล่อยให้เรา บิดาและบุตร ทำพิธีอภิสมายะ (การเข้าใจในธรรม) ดักเมมาช่วยเตรียมของถวายให้หน่อย’ ในระหว่างการทำพิธี อาจารย์ถามว่า 'ลูกชาย ตอนนี้เจ้าเข้าใจบทสวดเหล่านี้อย่างไร เจ้าได้รับความรู้แจ้งที่ถูกต้องอะไรที่เจ้าจะพูดให้เราฟังได้บ้าง เจ้าจงบอกเรา ไม่ต้องรีบ’
“ข้าพเจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์โดยพนมมือพร้อมน้ำตา ข้าพเจ้าร้องเพลง 7 เพลงเป็นของถวาย
“หลังจากร้องเพลงทั้ง 7 แล้ว ข้าพเจ้าก็ไปบอกอาจารย์ว่า ‘อาจารย์และภรรยาของอาจารย์ บิดามารดาของข้าพเจ้า พวกท่านไม่ต่างจากวัชรธาราเลย กระผมสำนึกในพระคุณของท่านเสมอสำหรับความเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้และการเสริมสร้างของท่าน ลูกศิษย์ของท่านรู้สึกถึงความเมตตากรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ของท่าน ตอนนี้โปรดอนุญาตให้กระผมนำเสนอความเข้าใจที่จำกัดของกระผมต่อท่านด้วยเถิด กระผมขอวิงวอนให้ท่านฟังกระผมด้วยความเมตตาในอาณาจักรเขตแดนแห่งธรรมของท่าน’
“‘จิตและกายของเราเกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งกรรม 12 ประการ รวมทั้งอวิชชาด้วย ในด้านหนึ่ง ร่างกายมนุษย์ของเราประกอบด้วยเลือด เนื้อ และจิตใจ ซึ่งถูกชักนำไปตามความสัมพันธ์ของกรรม ในทางกลับกัน ผู้ที่มีคุณธรรมและรากฐานดี ร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนเรือสมบัติอันล้ำค่าที่ล่องไปตามแม่น้ำที่เชื่อมโยงชีวิตและความตายไปสู่ฝั่งแห่งความหลุดพ้น สำหรับผู้ที่ทำความผิดและก่ออาชญากรรม มันคือบ่อของสิ่งล่อใจและชะตากรรมที่เลวร้าย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทำดีหรือทำชั่ว ร่างกายมนุษย์เดียวกันนี้สามารถขึ้นสู่ที่สูงหรือลงที่ต่ำ หรือนำไปสู่ความแตกต่างระหว่างความสุขและความทุกข์ กระผมจึงเข้าใจว่าการตัดสินใจเลือกที่จะทำสิ่งใดที่ทางแยกดังกล่าว—หรือจะใช้ร่างกายมนุษย์นี้อย่างไร—แท้จริงแล้วคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
“‘ความทุกข์ทั้งปวงมีรากเหง้ามาจากทะเลแห่งวัฏสงสาร มันยากมากที่จะผ่านไปได้ โชคดีที่วันนี้กระผมได้รับพรจากอาจารย์ผู้เมตตา คอยชี้ทางและมอบทิศทางให้กระผมในทะเลแห่งชีวิตและความตายอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“‘กระผมยังได้เข้าใจว่าสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า สิ่งแรกที่เขาควรถือเป็นสรณะคือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วจึงศึกษาธรรมะ เมื่อเรียนธรรมะ การปฏิบัติตามอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะอาจารย์คือแหล่งของความสุขทั้งปวง เขาควรเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ทั้งหมด นอกจากนี้ เขาควรปฏิบัติตามศีลสมายะ ซึ่งก็สำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน
“ในบรรดาสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก ในหมู่ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนของมนุษย์นั้น ยิ่งยากที่จะพบคนที่สามารถได้ฟังธรรมะ รู้หนทางสู่ความหลุดพ้น และเดินทางแห่งโพธิ กล่าวคือ ในบรรดาสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งปวง สัดส่วนของโอกาสแห่งวาสนาที่จะได้เรียนรู้พุทธธรรมก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ยากเหลือเกินที่จะได้รับ !
“‘แม้ว่าเราจะโชคดีที่มีร่างกายมนุษย์ แต่เราไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตของเราได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายวันใด ไม่รู้ว่าวันใดที่เราอาจสูญเสียร่างกายมนุษย์ที่ล้ำค่านี้ นั่นคือเหตุผลที่เราควรเห็นค่าของร่างกายมนุษย์นี้และหวงแหนร่างกายมนุษย์นี้
“ทุกสิ่งในจักรวาลนี้เป็นไปตามกฎแห่งเหตุและผล การทำความดีย่อมได้รับผลดี การทำชั่วย่อมได้รับผลร้าย เมื่อรู้กฎแห่งเหตุและผลเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมรู้ชัดถึงต้นตอของความสุขกับความทุกข์ ความฉลาดกับความโง่เขลา และความรวยกับความจน สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นชั่วคราว ผลดีหรือผลร้ายเหล่านี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน กล่าวคือผลบุญที่เกิดจากการทำความดี ความมั่งคั่งที่ได้จากการทำงานหนัก และความเกี่ยวพันในครอบครัวด้วยอารมณ์และความผูกพัน ตลอดจนความสุขและความตื่นเต้น ทั้งหมดนี้อยู่ได้ไม่นาน กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันจะเปลี่ยนแปลงได้ ลดลงได้ และเชื่อถือไม่ได้ เมื่อเทียบกับความทุกข์แล้ว ความสุขของมนุษย์ช่างน้อยนิด ความเจ็บปวดจากการเวียนว่ายตายเกิดในตรีภูมินั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้ ในระหว่างการกลับชาติมาเกิดที่ไม่สิ้นสุดในทะเลแห่งชีวิตและความตายอันไร้ขอบเขต สรรพชีวิตทั้งมวลต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเหล่านี้อย่างทั่วหน้า เมื่อคิดถึงความเหนื่อยล้าและความทุกข์ทรมานอันไร้ขอบเขตนี้ ทำให้ข้าพเจ้าอุทิศตนโดยธรรมชาติให้กับพระธรรม ปรารถนาการหลุดพ้น และความมุ่งมั่นที่จะบรรลุพุทธภาวะอย่างสุดหัวใจ
“'จิตใจและร่างกายที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้พุทธธรรม ดังนั้นก้าวแรกคือการรับศีลปาติโมกข์ หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ ศึกษาธรรมะที่ถูกต้อง ผู้ปฏิบัติควรรักษาศีลในการปฏิบัติเหมือนการถนอมดวงตาไม่ให้เสียหายหรือเสื่อมลง อย่างไรก็ตาม การแสวงหาความหลุดพ้นส่วนบุคคลเป็นเพียงการบำเพ็ญในสายหินยาน (ยานเล็ก) ซึ่งมีขอบเขตจำกัดเท่านั้น ความสงสารสรรพชีวิตทั้งมวลและช่วยเหลือพวกเขาให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งทุกข์นั้น ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องมีความเมตตาและโพธิจิตที่ยิ่งใหญ่ ความเมตตาปรานีและความรักที่มีต่อสรรพชีวิตเปรียบเสมือนความผูกพันของพ่อแม่ กระผมจะตอบแทนพวกเขาอย่างไร นั่นคือเหตุผลว่าทำไมความเมตตากรุณาทั้งหมดในเส้นทางของโพธิจึงควรกลับคืนสู่สรรพชีวิตทั้งมวล ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงสรรพชีวิตทั้งมวลที่เปรียบเสมือนพ่อแม่ของกระผม กระผมจึงตั้งปฏิญาณว่าจะบรรลุพุทธภาวะ บรรลุมหาเมตตาของโพธิจิต และเรียนรู้ศีลของพระโพธิสัตว์ทั้งหมด
“'เมื่อมีพื้นฐานของมหายานเช่นนี้ จึงสามารถเข้าสู่มนตราวัชรยานได้ ด้วยจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าผู้ปฏิบัติติดตามอาจารย์ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม ก็จะได้รับคำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของสังสารวัฏ และได้รับการอภิเษกทั้งสี่ประเภทเพื่อประกาศธรรมและบังเกิดปัญญา ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้งจากการอภิเษกตามมาด้วยการพิจารณาอย่างแจ่มชัด บำเพ็ญด้วยความพากเพียรไม่หยุดยั้ง และบรรลุถึงความไร้ตัวตน ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าและความคิดอย่างมีเหตุผล ผู้ปฏิบัติจะค้นหาตัวตนแต่จะไม่พบตัวตน นี่คือหลักการของอนัตตาของผู้รู้แจ้ง ด้วยอนัตตานี้ ผู้ปฏิบัติจะสามารถฝึกการเข้าสู่ความสงบนิ่งที่ถูกต้องในสมาธิได้ ตัดขาดความคิดผิด ๆ และป้องกันไม่ให้มันกลับมาอีก ด้วยจิตใจที่ไม่มีความคิดเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติจะสามารถทำสมาธิได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เคลื่อนไหว แม้ผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี ก็ยังอยู่ในความสงบนิ่ง
“‘ด้วยวิธีนี้ ผู้ปฏิบัติจะสามารถดำรงเจตจำนงที่เที่ยงตรงได้โดยไม่ง่วงนอน การรู้แจ้งจะค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้น เห็นแจ่มแจ้งโดยปราศจากธรรมชาติเดิมของตน และกระจ่างชัดโดยไม่มีความคิดวิเคราะห์แยกแยะ มันเรียบง่ายและมองเห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นเพียงการแสดงออกถึงเจตจำนงของผู้ปฏิบัติ บางคนจึงถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากปุถุชนทั่วไปแทบไม่เคยสัมผัสกับปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้ มีเพียงหลังจากเข้าสู่ขั้นแรกในสิบขั้นเบื้องต้นแล้วเท่านั้น ผู้ปฏิบัติจึงจะสามารถเห็นภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นได้อย่างแท้จริง กล่าวคือผู้ปฏิบัติจะสามารถศึกษาธรรมะได้โดยปฏิบัติตามภาพเหล่านี้ ภาพอื่น ๆ ที่เห็นขณะทำสมาธิ เช่น การเห็นพระพุทธเจ้า เป็นเพียงการทดสอบเล็กน้อยในระหว่างการปฏิบัติ และไม่มีคุณค่าสำคัญอะไร
“ก่อนเข้าสู่สมาธิ ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นภาพเหล่านี้ ผู้ปฏิบัติควรเริ่มต้นจากการเจริญจิตเมตตาก่อน ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของสรรพชีวิต ผู้ปฏิบัติควรรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าสู่การพิจารณาภาวนา สุดท้ายก็อุทิศผลบุญกุศลทั้งหมดกลับคืนสู่สรรพชีวิต การทำทั้งหมดนี้โดยไม่เลือกปฏิบัติเป็นหนทางที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจหลักการเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงแล้ว !
“'ผู้ที่หิวโหยรู้ว่าอาหารสามารถหยุดความหิวได้ แต่การ 'รู้' โดยตัวเองนั้นไร้ความหมายและไม่อาจแก้ปัญหาความหิวได้ เพื่อแก้ไขปัญหาความหิว คนก็ต้องกินอาหารจริง ๆ ในทำนองเดียวกัน แม้จะรู้ทฤษฎีบางอย่างเกี่ยวกับความว่างเปล่า แต่การรู้แจ้งโดยตัวมันเองนั้นไร้ประโยชน์ เพราะที่จำเป็นคือการประสบด้วยตัวเองโดยตรง ตามด้วยการเพิ่มพูนการพิจารณาด้วยปัญญา สำหรับโยคี ความว่างเปล่าหมายถึงการอธิบายไม่ได้ ไม่เลือกปฏิบัติ และเท่าเทียมกับผู้ปฏิบัติตันตระ นี่คือความเข้าใจที่จำกัดของกระผม ถ้าต้องการฝึกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้ปฏิบัติควรอดทนต่อความเหนื่อยล้าและความหิวโหย และละทิ้งอารมณ์ความผูกพันทั้งหมดดั่งร่างไร้วิญญาณ ไม่กลัวความตายและจิตใจที่ไม่ถูกรบกวน เขาจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ต่อหน้าท่านอาจารย์ผู้มีเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้และภรรยาของท่าน กระผม มิลาเรปะไม่มีของถวายที่เป็นวัตถุสิ่งของหรือเงิน กระผมทำได้เพียงอุทิศการปฏิบัติและผลสำเร็จจากการปฏิบัติทั้งหมดในชีวิตของกระผมให้กับท่านเท่านั้น โดยการปฏิบัติตามธรรมะ กระผมจะอุทิศตนให้กับดินแดนบริสุทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาแก่ท่าน’
“จากนั้นข้าพเจ้าก็ร้องเพลงอีกเพลงหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ฟังจนจบและพูดอย่างมีความสุขมากว่า 'ลูกชาย เจ้าบรรลุระดับนี้แล้วหรือ' ภรรยาของท่านก็ดีใจมากเช่นกัน 'ลูกชาย เจ้าขยันหมั่นเพียรและได้รับสติปัญญามาก' เราพูดคุยกันเกี่ยวกับการปฏิบัติอยู่นาน จากนั้นข้าพเจ้าก็กลับเข้าไปในถ้ำเพื่อทำสมาธิ
“ครั้งหนึ่งอาจารย์ไปแคว้นอูเพื่อเผยแผ่ธรรมะ หลังจากประกอบพิธีบูชาในเย็นวันหนึ่ง ท่านนึกถึงคำสอนของอาจารย์นาโรปะบางส่วนที่ท่านยังไม่กระจ่างแจ้ง ฑากินีได้บอกคำใบ้บางอย่างให้แก่ท่านด้วย ดังนั้นอาจารย์จึงตัดสินใจว่า ท่านจะไปอินเดียอีกครั้งเพื่อพบกับอาจารย์นาโรปะ
“หลายวันหลังจากที่อาจารย์มาร์ปะกลับมาที่โลดรัก ข้าพเจ้าฝันในคืนหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีเขียวมาหาข้าพเจ้า เธอสวมชุดผ้าไหมประดับด้วยกระดูก ทั้งบริเวณหน้าผากระหว่างคิ้วและเอวของเธอแต่งแต้มด้วยน้ำอมฤตสีเหลือง เธอพูดกับข้าพเจ้าว่า 'ลูกชาย เจ้าฝึกมานานแล้ว ตอนนี้เจ้าได้รับมหามุทรา บทสวด และแก่นแท้ของวิธีธรรมะทั้งหกเพื่อบรรลุพุทธภาวะแล้ว แต่เจ้ายังไม่มีบทสวดเพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิตเพื่อบรรลุพุทธภาวะในฉับพลัน ใช่หรือไม่’ ข้าพเจ้าคิดว่า 'ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนฑากินี แต่เป็นของจริงหรือเป็นมาร ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ของเราทราบพุทธธรรมทั้งหมด ถ้านี่คือคำแนะนำจากฑากินี เราจะต้องเรียนรู้จากอาจารย์’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพังทางเข้าถ้ำ ออกจากถ้ำ ไปหาอาจารย์ อาจารย์พูดว่า ‘ลูกชาย เหตุใดเจ้าจึงหยุดทำสมาธิในที่วิเวก เจ้าออกมาทำอะไร ช่วยบอกเราว่าทำไม จงระวังมาร !'
“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘เมื่อคืนมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในความฝันของกระผม บอกให้กระผมแสวงหาธรรมเพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิต กระผมไม่รู้ว่ามันเป็นมารหรือเป็นคำทำนายของฑากินี หากเป็นฑากินี กระผมต้องการเรียนรู้บทสวดเพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิต’ ท่านอาจารย์คิดเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า 'นี่มาจากฑากินี ไม่ใช่มาร เมื่อเราออกมาจากอินเดีย ท่านอาจารย์นาโรปะได้พูดถึงบทสวดเพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิต เราต้องการเรียนรู้ และท่านขอให้เราค้นหาพระคัมภีร์ เราสองคนใช้เวลาทั้งวัน มีหนังสือหลายเล่มในหัวข้อที่คล้ายกัน แต่เราไม่พบหนังสือที่มีหัวข้อการสลัดละและการส่งผ่านจิต เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่เราอยู่ที่แคว้นยู เราก็มีคำใบ้ให้แสวงหาธรรมนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีบทสวดบางส่วนที่เราต้องขอความกระจ่างจากท่านอาจารย์ด้วย เราจึงตัดสินใจไปอินเดียอีกครั้งเพื่อพบท่านอาจารย์นาโรปะ' เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ขอร้องไม่ให้ท่านไป 'ท่านอาจารย์ โปรดทบทวนเรื่องนี้เพราะท่านอายุมากแล้ว' อาจารย์ไม่ฟัง ท่านตั้งใจแน่วแน่ ท่านแลกของถวายของลูกศิษย์กับทองคำหนึ่งชาม แล้วท่านก็นำทองนี้ติดตัวไปอินเดีย
“ในเวลานั้น ท่านอาจารย์นาโรปะออกไปทำสมาธิ อาจารย์มาร์ปะถามหาท่านไปทั่ว ยอมเสี่ยงชีวิตตามหาท่านแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพราะท่านเห็นสัญญาณว่าจะได้พบกับอาจารย์นาโรปะ ท่านจึงพยายามตามหาต่อ และในที่สุดท่านทั้งสองก็ได้พบกันในป่าแห่งหนึ่ง อาจารย์ขอให้ท่านนาโรปะไปเมืองปุลละหะรีเพื่อสอนธรรมะเพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิต ท่านอาจารย์นาโรปะถามว่า ‘เนื่องจากเจ้าถามเรื่องนี้ นี่เป็นความคิดของเจ้าเอง หรือเป็นคำทำนายจากพระพุทธเจ้า’
“อาจารย์มาร์ปะตอบว่า 'กระผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง และฑากินีก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้กระผมฟังด้วย กระผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อโตปากะ ฑากินีได้ให้คำทำนายกับเขา เขาจึงถามกระผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนี่คือเหตุผลที่กระผมมาอินเดียในครั้งนี้’
“ท่านอาจารย์นาโรปะประหลาดใจ 'โอ้ นี่หาได้ยากมาก ในดินแดนที่มืดมิดเช่นทิเบต เราไม่ได้คาดหวังว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะฉายแสงบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะได้เหมือนดวงอาทิตย์' จากนั้นท่านก็พนมมือ วางมือไว้บนศีรษะของท่าน และเริ่มร้องเพลง
'ท่ามกลางความมืดมิดทางด้านเหนือ
ภูเขาหิมะสว่างเรืองรองดั่งแสงอาทิตย์
เมื่อได้ยินชื่อ โตปากะ
เราขอคำนับด้วยความจริงใจจากหัวใจ'
“หลังจากร้องเพลงแล้ว ท่านก็พนมมืออีกครั้ง หลับตา และก้มกราบลงบนพื้นไปทางทิศเหนือสามครั้ง ต้นไม้ในบริเวณนั้นก็โน้มกิ่งลงมาคำนับตามท่านถึงสามครั้งด้วย แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภูเขาและต้นไม้ใกล้กับปุลละหะรียังคงโน้มกิ่งไปทางทิศเหนือ ราวกับพวกมันกำลังเอนกิ่งโน้มคำนับทิเบตทางทิศเหนือ
“จากนั้นท่านอาจารย์นาโรปะก็สอนบทสวดของฑากินีและธรรมะอันสมบูรณ์เพื่อการสลัดละและการส่งผ่านจิตให้กับอาจารย์มาร์ปะ
“เพื่อตรวจดูกรรมสัมพันธ์ ท่านอาจารย์นาโรปะได้เปิดเผยมณฑล (Mandala) อาจารย์มาร์ปะกราบบูชาเทพในมณฑลก่อนกราบอาจารย์นาโรปะ จากนิมิตนี้ ท่านอาจารย์นาโรปะทราบว่าทายาทของมาร์ปะจะไม่ดำรงยืนนาน ในขณะที่ธรรมะของท่านจะสืบทอดต่อไปไม่สิ้นสุดเหมือนแม่น้ำใหญ่และคงอยู่ต่อไปในโลกชั่วนิรันดร์
“หลังจากได้รับธรรมะแล้ว อาจารย์มาร์ปะก็กลับมายังทิเบต
“ผลของบุพกรรมจากการกราบคำนับของอาจารย์มาร์ปะ บุตรชายของท่านจึงเสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ หลังจากลูกชายจากไปได้หนึ่งปี เหล่าสานุศิษย์ทั้งหมดได้มาชุมนุมกัน และศิษย์เอกหลายคนก็ถามอาจารย์มารปะว่า ‘ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต่างจากพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ เนื่องจากเราสรรพชีวิตขาดบุญกุศล ท่านจึงปรากฏให้เห็นในรูปชราภาพ สำหรับธรรมะที่ถ่ายทอดด้วยวาจาของพวกเรานั้น พวกเราจะเผยแผ่ธรรมะนี้ต่อไปในอนาคตอย่างไร ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยให้คำทำนายแก่พวกเราด้วย’
“อาจารย์บอกว่า ‘เราได้รับคำสอนด้วยวาจาจากท่านอาจารย์นาโรปะ ไม่ว่าจะเป็นนิมิตในฝันหรือด้วยบุพกรรม มันจะเจริญรุ่งเรือง ท่านอาจารย์นาโรปะก็มีคำพยากรณ์ที่ดีเช่นกัน ขอให้กลับไปสวดมนต์และบอกเราเกี่ยวกับบุพนิมิตในฝันของพวกเจ้าในวันพรุ่งนี้’ วันต่อมา ลูกศิษย์ทุกคนก็เล่าความฝันของตน พวกมันดีมากแต่ไม่ตรงกับคำทำนายทั้งหมด
“ข้าพเจ้าไปหาอาจารย์และอธิบายความฝันของข้าพเจ้าเกี่ยวกับรายละเอียดของเสาหลักสี่ต้น
“อาจารย์มาร์ปะยินดีอย่างยิ่งและพูดว่า 'นี่เป็นบุพนิมิตในฝันที่ยิ่งใหญ่ ดักเมมาช่วยเตรียมอาหารที่ดีที่สุดและเครื่องสักการะสำหรับบูชา ! ให้หน่อย’ หลังจากที่ภรรยาของท่านเตรียมอาหารและเหล่าศิษย์เอกมารวมตัวกัน อาจารย์พูดว่า 'มิลา ดอร์เจ กเยลเซน ฝันเช่นเมื่อคืนนี้ มันหาได้ยากยิ่งนัก' จากนั้นบรรดาศิษย์เอกได้ขอให้อาจารย์อธิบายบุพนิมิต ท่านตอบรับด้วยความยินดีและร้องเพลงเพื่อตีความความฝัน
“หลังจากที่อาจารย์มาร์ปะพูดจบ ศิษย์ทุกคนต่างมีความสุขอย่างที่สุด
“จากนั้นท่านอาจารย์ก็บอกบทสวดลับหลายบทแก่เหล่าศิษย์ ท่านอธิบายธรรมะแก่ลูกศิษย์ในเวลากลางวัน และให้ลูกศิษย์นั่งสมาธิในเวลากลางคืน แรงปรารถนาของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการรับรู้ภายในของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น
“คืนหนึ่ง ขณะประกอบพิธีอภิเษกมารดาตันตระให้กับลูกศิษย์ อาจารย์คิดว่าจะสอนลูกศิษย์แต่ละคนตามสถาพการณ์ของกรรมของพวกเขา เช้าตรู่ของวันต่อมา อาจารย์เจริญภาวนาโดยอาศัยภาพในจินตนาการและเห็นการเกิดขึ้นของสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัย และรู้ว่า ง็อกตัน โชดอร์ จะเผยแผ่ธรรมเหวัชระ เมตัน ซอนโป จะฝึกแสงใสบริสุทธิ์ และซูร์ตัน วันเก จะสืบทอดวิชาการส่งผ่านจิต ในขณะที่ข้าพเจ้าจะมุ่งปฏิบัติตุโม (ความร้อนภายใน) นอกจากนี้ พวกเราทุกคนต่างก็มีสถาพการณ์ของกรรมและอนาคตของตัวเอง
“หลังจากการเจริญภาวนาโดยอาศัยภาพในจินตนาการนี้แล้ว อาจารย์ได้สอนการเผยแพร่บารมีหกประการและรูปแบบทั้งสี่ ตลอดจนบทสวดเพิ่มเติมให้แก่ลามะง็อกตัน อาจารย์มอบเครื่องประดับ 6 ชิ้นของอาจารย์นาโรปะ สายประคำ ภาชนะประกอบพิธีกรรม และคำอธิบายพระคัมภีร์สันสกฤต ให้แก่ลามะง็อกตันเพื่อให้ลามะง็อกตันสามารถเผยแพร่ธรรมะในอนาคต
“สำหรับซูร์ตัน วันเก อาจารย์สอนการเปิดกระหม่อม (ช่องว่างที่กระดูกในกะโหลกศีรษะของลูกในครรภ์หรือทารกยังไม่ปิดสนิท) ให้ซูร์ตันเพื่อส่งผ่านจิต ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้บินได้เหมือนนกในท้องฟ้า อาจารย์ยังมอบเส้นผม เล็บ เม็ดน้ำอมฤต และมงกุฎห้าพุทธะ ของท่านนาโรปะ เพื่อให้ซูร์ตันช่วยเหลือมนุษย์โดยการส่งผ่านจิตด้วย
“สำหรับเมตัน ซอนโป อาจารย์สอนวิธีเปล่งแสงใสบริสุทธิ์ในตอนกลางคืนให้ จากนั้นอาจารย์ได้มอบสากวัชระ กลอง และถ้วยกะโหลก ของท่านนาโรปะแก่เมตัน และเตือนเมตันให้ตั้งมั่นจิตที่บาร์โด (สภาวะกึ่งกลางระหว่างความตายและการเกิดใหม่)
“อาจารย์สอนความร้อนภายในให้แก่ข้าพเจ้า คล้ายกับการก่อไฟจากฟืน หลังจากมอบหมวกของพระไมตรีปะและเสื้อคลุมของท่านนาโรปะให้ข้าพเจ้าแล้ว อาจารย์ก็พูดว่า ‘เจ้าควรปฏิบัติธรรมบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ’
“หลังจากคำพยากรณ์ธรรมเสร็จสมบูรณ์แล้ว ลามะทั้งหมดก็เข้าร่วมพิธีบูชา เมื่อทุกคนนั่งเรียงลำดับแล้ว อาจารย์พูดว่า ‘เราได้สอนบทสวดตามสถาพการณ์ของกรรมของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าควรเผยแพร่ธรรมะตามสิ่งเหล่านี้ และพวกเจ้าจะมีอนาคตที่รุ่งเรืองอย่างแน่นอน ! ลูกชายของเราเสียชีวิตไปแล้ว เราปฏิบัติต่อพวกเจ้าเหมือนลูกชายของเรา ให้บทสวดทั้งหมดและพลังเสริมแก่พวกเจ้า พวกเจ้าควรขยันหมั่นเพียรและย่อมประสบความสำเร็จในงานของเจ้าเพื่อประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอย่างแน่นอน !'
“จากนั้นศิษย์เอกทุกคนก็กลับไปยังที่ที่พวกเขาจากมา อาจารย์พูดกับข้าพเจ้าว่า 'เจ้าจงอยู่ที่นี่อีกสองสามปี เราจะทำพิธีอภิเษกให้เจ้าและให้บทสวดพิเศษแก่เจ้าด้วย เจ้าจะได้เล่าการรับรู้ภายในและความเข้าใจของเจ้าให้เราทราบด้วย รีบไปนั่งสมาธิเถอะ !’ ข้าพเจ้าจึงกลับมายังถ้ำที่อาจารย์นาโรปะได้พยากรณ์ไว้
“อาจารย์และภรรยาของท่านมักให้อาหารและสิ่งของจากของถวายแก่ข้าพเจ้า พวกเขาเมตตาข้าพเจ้าอย่างที่สุด”
(มีต่อ)
ข้อคิดเห็นในบทความนี้เป็นความคิดเห็นหรือความเข้าใจของผู้เขียนเอง เนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Minghui.org หมิงฮุ่ยจะผลิตฉบับรวมเล่มของเนื้อหาออนไลน์เป็นประจำรวมทั้งในโอกาสพิเศษด้วย
หมวดหมู่: วัฒนธรรมดั้งเดิม