(Minghui.org) ฝ่าหลุนต้าฝ่าได้เผยแพร่มายังเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาของเราในปี 1996 คำสอนของต้าฝ่าทำให้สภาพแวดล้อมสว่างสดใสขึ้นและทำให้ใจของทุกคนอบอุ่น ฉันขอเล่าให้คุณฟังว่าหลักการของความจริง-ความเมตตา-ความอดทนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย และทำให้เรานึกถึงผู้อื่นก่อนด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์เสมอได้อย่างไร

ในเดือนมีนาคม 1996 หมิงล้มป่วยด้วยโรคประหลาด เขาป่วยหนักจนทำงานไม่ได้ และแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้ แพทย์จึงแนะนำให้เขาฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า

ผู้ฝึกคนหนึ่งอาศัยอยู่ห่างออกไป 2.5 ไมล์ (4 กิโลเมตร) หมิงและภรรยาของเขาไปที่บ้านของผู้ฝึกคนนี้ทุกวันเพื่อฟังการบรรยายคำสอนและเรียนรู้ท่าฝึก โรคของเขาหายอย่างรวดเร็วและทั้งคู่ก็เริ่มฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า พวกเขาบอกทุกคนว่าสุขภาพของพวกเขาดีขึ้นหลังจากที่เริ่มฝึก ผู้คนไปที่บ้านของพวกเขาเพื่อฟังคำสอนและเรียนรู้ท่าฝึก เมื่อผู้คนเริ่มฝึกมากขึ้น ภรรยาของหมิงก็อาสาเป็นผู้ช่วยฝึกสอนในศูนย์ศึกษาฝ่า และช่วยเหลือทุกคนที่มาเรียน เธอเป็นคนอบอุ่นและอดทน

ฉันเริ่มไปบ้านของหมิงตั้งแต่ปี 1996 ทุกวันเพื่อศึกษาคำสอนและฝึกท่า บางครั้งมีคนมากจนทำให้พวกเราบางคนต้องออกมานั่งข้างนอก บรรยากาศที่นี่สงบสุขเสมอและพวกเขาเสียสละอย่างมากเพื่อช่วยเหลือเรา

ฝ่าหลุนต้าฝ่าได้เผยแพร่ไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ อย่างรวดเร็วราวกับลำแสง และจำนวนผู้ฝึกก็เพิ่มมากขึ้น เมล็ดพันธุ์แห่งความจริง-ความเมตตา-ความอดทนได้งอกงามในใจของทุกคน เรารู้สึกมีความสุข ชีวิตของเราเติมเต็มเมื่อเราเข้าใจความหมายของชีวิต

ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าต่างรู้ดีว่าผู้ฝึกทุกคนเป็นคนดี มีผู้ชายสองคนซึ่งเป็นพี่น้องกันเป็นคนขับรถบรรทุก ทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุในสถานที่ต่างกัน และคนที่พวกเขาขับรถชนทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ในขณะที่คนขับรถทั้งสองคนตกใจกลัวหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ฝึกทั้งสองคนแค่ปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าและบอกให้พวกเขาไปได้โดยไม่ต้องการเงินค่าชดเชยใด ๆ

ในฤดูหนาวปีหนึ่ง หิมะตกหนักทำให้ถนนลื่น ผู้สูงอายุและเด็กเล็กมักจะลื่นล้มบ่อย ๆ ผู้ฝึกในท้องถิ่นอาสากวาดหิมะออกจากถนน เมื่อรถยนต์แล่นผ่านถนนที่ผู้ฝึกเพิ่งทำความสะอาด คนขับหลายคนชูนิ้วโป้งให้พวกเขา บางคนจอดรถเพื่อขอบคุณ บางคนพูดเสียงดังว่า “ตอนนี้เรามีคนดีอยู่ที่นี่แล้ว” คนหนึ่งพูดชมผู้ฝึกว่า “คนที่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นคนจิตใจดี มีคนหนุ่มสาวและแข็งแรงมากมายในเมืองนี้ แต่พวกเขาอยู่ที่บ้านเล่นไพ่นกกระจอกหรือดูทีวี”

เย็นวันหนึ่ง ฉันกับผู้ฝึกหลายคนกำลังทำความสะอาดหิมะ มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนั่งอยู่ในรถตำรวจคอยดูพวกเราอยู่ ฉันไม่รู้สึกกลัวเพราะรู้ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด รถตำรวจคันนี้ตามเรามาเมื่อเราเดินกลับบ้านโดยปิดไฟหน้ารถ ในที่สุดรถก็หยุดที่หน้าสถานีตำรวจและเปิดไฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้พูดว่า “ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ถ้าผมบอกว่าคุณเป็นคนดี พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะจับกุมคุณ ถ้าผมบอกว่าคุณเป็นคนเลว แต่สิ่งที่คุณทำเป็นเรื่องดีจริง ๆ”

หลิงเป็นคนแข็งที่ไม่ยอมสูญเสียอะไรง่าย ๆ หลังจากที่เธอเริ่มฝึก เธอยิ้มบ่อยขึ้นและช่วยเหลือผู้อื่นทุกครั้งที่เธอทำได้ แม้ว่าเธอจะไม่รู้หนังสือ แต่เธอก็สามารถอ่านจ้วนฝ่าหลุนได้อย่างคล่องแคล่ว ปัจจุบันเธออายุ 70 ปีเศษแล้ว เธอยังช่วยดูแลหลาน ๆ และทำงานบ้านด้วย

สามีของเธอเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 60 ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาบอกกับลูกชายว่า “พ่อมีเงิน 100,000 หยวน (14,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และพ่อจะยกให้แม่ของลูกนะ” ลูกสะใภ้ของหลิงไม่พอใจมากและมักทะเลาะกับเธอเรื่องเงินก้อนนี้ ในที่สุดหลิงก็ยอมยกเงินให้ลูกสะใภ้ อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกว่าเธอทำผิดและร้องไห้บ่อย ๆ บางครั้งเธอก็ไปร้องไห้ที่หลุมศพของสามี

เธอพยายามศึกษาคำสอนทุกวัน และบอกกับผู้ฝึกอื่นว่า “ท่านอาจารย์บอกให้เราค้นหาจากภายใน ฉันก็จะทำเช่นนั้น” วันหนึ่งเธอรู้สึกเซื่องซึมและเดินไม่ได้ “ฉันยังมีจิตยึดติดอะไรที่ยังไม่ได้ขจัดออกไป” เธอถามตัวเอง “ฉันยังเคืองลูกสะใภ้และแม่ของเธอ เพราะคิดว่าแม่ของเธอเลี้ยงดูเธอมาไม่ดี” หลังจากที่เธอระบุจิตยึดติดของตัวเองได้สำเร็จและขจัดมันออกไปแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกเซื่องซึมอีกต่อไป เธอมักใช้เรื่องนี้บอกผู้คนว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าวิเศษเพียงใด

เหวินเก็บเกาลัดบนภูเขาได้สามถุงใหญ่ มันเป็นงานหนักมากสำหรับคนอายุ 70 ปีเศษ เขาตั้งใจจะนำเกาลัดพวกนี้ไปขายในวันรุ่งขึ้น แต่เช้าวันต่อมา เกาลัดทั้งสามถุงถูกขโมยไปหมด ภรรยาของเขาโกรธมากและร้องไห้ไม่หยุด เมื่อเหวินนึกถึงหลักการของการเสียและการได้ เหวินก็บอกภรรยาว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเขาไม่ได้แค่ขโมยเกาลัดของเราเท่านั้น แต่ยังขโมยกรรมของเราไปด้วย บางทีอาจถึงเวลาที่คุณจะฟื้นตัวแล้ว” ภรรยาของเขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ต่อมาเธอก็หายจากโรคหลอดเลือดสมอง

หลังจากการประทุษร้ายเริ่มขึ้น หลิวก็เลิกฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า เธอหันไปฝึกอย่างอื่น ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็เป็นโรคงูสวัด และพยายามหาวิธีรักษาต่าง ๆ แต่ก็ไร้ผล อาการปวดดำเนินไปนานถึงสองปี อาจารย์ชี่กงที่ประกาศว่าตัวเองเก่งบอกเธอว่า งูดำสองตัวเข้าสิงเธอและต้องการฆ่าเธอ เขาพยายามขายยันต์ให้เธอ 2 อัน ในราคาหลายร้อยหยวน เธอนึกถึงคำพูดของอาจารย์ได้ในทันทีว่า “หนึ่งความถูกต้องสะกดร้อยมาร” เธอไม่ซื้อยันต์เหล่านั้น แต่กลับบ้านเพื่อศึกษาจ้วนฝ่าหลุน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ โรคงูสวัดของเธอก็หายไป เธอยังศึกษาคำสอนต่อไป และกลายเป็นผู้ฝึกที่แน่วแน่คนหนึ่ง

หวังต่อรองราคาของกระบวยตักน้ำในตลาด แต่พ่อค้าไม่ยอมลดราคาให้ เธอจึงยอมจ่ายเต็มราคา เมื่อพ่อค้าทอนเงินให้เธอ เขาได้ให้เงินทอนมากกว่าที่เธอจ่ายไป ระหว่างทางกลับบ้าน เธอคิดว่า “ตอนนี้ฉันได้กระบวยตักน้ำฟรี แถมยังได้รับเงินเพิ่มมาอีก 1 ดอลลาร์” ขณะที่เธอเดินต่อไป เธอก็ตระหนักว่า ในฐานะผู้ฝึก เธอไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น ขณะที่เธอเดินกลับ ความคิดอีกอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาว่า “ถ้าฉันคืนเงิน เขาจะบอกว่าฉันบ้า ฉันต่อรองราคาขนาดนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะเอาเงินนั้นกลับไปคืน ฉันควรกลับบ้านดีกว่า” ระหว่างทางกลับบ้าน เธอบอกกับตัวเองว่า “ถ้าฉันเอาเงินไป ฉันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกที่แท้จริง ทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันจะคืนเงินให้เขา”

เมื่อเธอยื่นเงินทอนส่วนเกินให้พ่อค้า เธอพูดว่า “ถ้าฉันไม่ได้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ฉันคงไม่ทำแบบนี้” พ่อค้าและภรรยายกมือขึ้นและอุทานว่า “ฝ่าหลุนต้าฝ่าดี !” หวังรู้สึกประหลาดใจว่าการกระทำที่แสดงถึงจิตใจที่ดีเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการฝึกนี้ทรงพลังได้อย่างไร

จางเป็นชายโสด ภรรยาของเขาขอหย่ากับเขา และพาลูก ๆ ไปกับเธอเพราะเขายากจน เขาอาศัยอยู่กับแม่เพราะพี่น้องของเขาไม่ยอมดูแลเธอ จางไม่เคยบ่นและดูแลแม่ของเขาอย่างดีจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในวัย 90 ปีเศษ เมื่อเพื่อนบ้านของเขาขอให้เขาช่วยทำงานในฟาร์ม เขาก็ไม่เคยต่อรองราคา และไม่บ่นหากไม่ได้รับค่าจ้าง ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนดีและอดทนเนื่องจากเขาฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า

เจ้าไม่เคยแต่งงาน และเช่นเดียวกับจาง เขาดูแลแม่อย่างดีจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในวัย 90 ปีเศษ เขาไม่ได้ขอทรัพย์สินของครอบครัวที่เป็นมรดกมากกว่าคนอื่นเพราะเขาดูแลแม่อยู่คนเดียว แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับมอบที่ดินและต้นไม้ให้กับพี่น้องของเขา เขาใช้เวลาไปกับการแจกแผ่นพับเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่าในเมืองใกล้เคียง โดยต้องการให้ผู้คนรู้จักฝ่าหลุนต้าฝ่ามากขึ้น

หลังจากการประทุษร้ายเริ่มขึ้น ผู้ฝึก 12 คนเดินทางไปปักกิ่งเพื่อประท้วงในเดือนธันวาคม 1999 พวกเขาถูกจับกุมและถูกขังไว้ในศูนย์กักกัน ผู้อำนวยการสั่งให้พวกเขายืนเรียงแถวตามลำดับความสูง แล้วนั่งยอง ๆ ในท่าขี่ม้าเพื่อให้ทุกคนมีความสูงเท่ากัน ผู้ฝึกหญิงสองคนตัวสูง ทำให้นั่งยอง ๆ ต่ำมากได้ยาก ผู้คุมและผู้ต้องขังอื่นผลัดกันเฆี่ยนพวกเธอด้วยเข็มขัด หลังและก้นของพวกเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วง เหงื่อไหลอาบหน้าแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น และผมเห็นไอน้ำลอยขึ้นจากศีรษะของพวกเธอ แล้วผู้อำนวยการก็ถามเราทีละคนว่า “คุณยังจะฝึกต่อไปไหม คุณยังจะไปปักกิ่งอีกไหม” ถ้าใครไม่ตอบ เธอจะถูกเฆี่ยนตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผู้อำนวยการถามผู้ฝึกคนหนึ่งว่า “ฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นลัทธิใช่ไหม” เธอตอบว่า “เราจะไม่ไปปักกิ่งหรอก ถ้ามันเป็นลัทธิ” ผู้อำนวยการเฆี่ยนเธอด้วยเข็มขัดและเตะเธอด้วยรองเท้าบูตส์ของเขา รอยฟกช้ำจากการถูกเตะแรง ๆ ยังคงเห็นได้ชัดแม้จะผ่านไปสามเดือนแล้ว

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งกำลังเฆี่ยนตีผู้ฝึก จู่ ๆ เขาก็ชะงักแขนค้างอยู่กลางอากาศ ฉันคิดว่าเขาคงนึกถึงมโนธรรมขึ้นมาได้ ต่อมาฉันได้ยินว่าผู้คุมคนนั้นหยุดตีพวกเราเพราะแขนของเขาขยับไม่ได้และปวดศีรษะอย่างรุนแรง เรารู้ว่าท่านอาจารย์กำลังปกป้องพวกเราอยู่

ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงประสบการณ์เหล่านี้ น้ำตาของฉันจะเอ่อคลอในดวงตา เราทุกคนได้รับประโยชน์จากการฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า และเมื่อรัฐบาลไม่ฟังเราและไม่คืนความยุติธรรมให้กับการฝึกนี้ เราจึงหาวิธีอธิบายความจริง เราแขวนป้ายผ้าและแผ่นม้วน ติดแผ่นพับ แจกของที่ระลึกเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า ส่งจดหมายหรือพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับความจริงเบื้องหลังการประทุษร้าย

ในวันตรุษจีนของปีหนึ่ง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจัดงานแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง หนึ่งในรายการแสดงมีเนื้อหาที่ใส่ร้ายฝ่าหลุนต้าฝ่า ผู้ฝึกพยายามติดต่อนักแสดงและอธิบายความจริงแก่พวกเขา รายการนึ้จึงถูกถอดออก และไม่มีใครก่ออาชญากรรมต่อฝ่าหลุนต้าฝ่า

เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งติดจดหมายที่ใส่ร้ายฝ่าหลุนต้าฝ่าไว้ที่กระดานข่าวของโรงเรียน ผู้ฝึกชายสองคนปีนข้ามกำแพงเข้าไปในโรงเรียนตอนกลางดึกและนำจดหมายนี้ออกไปเพื่อไม่ให้ใครถูกหลอกลวงด้วยคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ในตอนแรกไม่มีใครในเมืองของเรารู้วิธีทำสื่อข้อมูลเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งผู้ฝึกที่อาศัยอยู่ห่างไกลเพื่อส่งเอกสารสื่อมาให้เรา ต่อมาเราตัดสินใจทำสื่อเหล่านี้เอง ผู้ฝึกคนหนึ่งที่รู้วิธีประดิษฐ์ตัวอักษรได้เขียนวลี “ฝ่าหลุนต้าฝ่าดี” “ความจริง-ความเมตตา-ความอดทนดี” “ฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นการฝึกที่ถูกต้อง” “คืนชื่อเสียงของฝ่าหลุนต้าฝ่าและท่านอาจารย์” และ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ลงบนกระดาษสี เขาเขียนอยู่ทั้งคืนแต่ก็ยังไม่สามารถผลิตได้มากพอตามที่ต้องการ จากนั้นเขาก็สอนผู้ฝึกอีกคนหนึ่งให้เขียน ทั้งบ้านของเขาเต็มไปด้วยม้วนกระดาษที่มีวลีเหล่านี้ เราสัมผัสได้ว่าคำเหล่านี้เรืองแสงที่มีพลังแห่งความถูกต้อง

พวกเรานำม้วนกระดาษเหล่านี้ไปติดไว้ตามถนนและตามประตูของอาคารราชการ โรงเรียน และสถานีตำรวจ ตำรวจพบพวกเราและหนึ่งในนั้นพูดว่า “ถ้ามีคนบอกผมว่าพวกคุณเป็นคนติดกระดาษม้วนเหล่านี้ ผมจะไม่เชื่อเพราะพวกคุณเขียนตัวอักษรที่สวยงามขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ได้ติด ผมก็ไม่รู้ว่าใครจะทำนอกจากพวกคุณ” นั่นเป็นเพราะท่านอาจารย์ช่วยให้เราเขียนตัวอักษรที่สวยงามและเต็มไปด้วยพลังเช่นนี้ คนจำนวนมากเข้าใจความจริงหลังจากเห็นกระดาษม้วนเหล่านี้ติดไว้ตามผนังและเสาไฟฟ้า

เมื่อโรค SARS ระบาดในปี 2003 เราไม่สามารถผลิตสื่อข้อมูลได้ และรู้สึกกังวลมาก ฮั่นได้ติดต่อกับผู้ฝึกคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปซึ่งสามารถจัดหาสื่อข้อมูลให้กับเราได้ ฮั่นเรียกแท็กซี่และขอให้ฉันไปรับสื่อกับเธอ บังเอิญว่าภรรยาของคนขับรถก็เป็นผู้ฝึกและต้องการไปกับพวกเราด้วย ระหว่างทางออกจากเมืองมีด่านตรวจ เราฟาเจิ้งเนี่ยนเพื่อให้ตำรวจสอบถามเฉพาะคนขับที่ไม่ใช่ผู้ฝึกเท่านั้น เราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย และขนกล่องขนาดใหญ่ที่บรรจุเอกสารสื่อใส่รถ ระหว่างทางกลับบ้าน รถเสีย พวกเราทั้งสามคนจึงลงจากรถและช่วยกันเข็นรถ เรานึกได้ว่าบางทีเราอาจจำเป็นต้องแจกเอกสารให้กับคนในพื้นที่ เราจึงตัดสินใจแจกเอกสารระหว่างทางกลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว เอกสารของเราก็เกือบหมดพอดี

ต่อมา มีประกาศบน Minghui.org ที่สอนให้เราทำเอกสารสื่อเองที่บ้าน เราจึงเริ่มจัดตั้งจุดผลิตเอกสารสื่อในพื้นที่ของเรา ผู้ฝึกบางคนผลิตเอกสาร บางคนออกไปแจก และบางคนอยู่บ้านเพื่อฟาเจิ้งเนี่ยนจนกว่าผู้ฝึกจะกลับมาอย่างปลอดภัย ผู้ฝึกออกไปแจกเอกสารด้วยสกูตเตอร์มีอายุประมาณ 50 หรือ 60 ปีเศษ ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออก พวกเขาก็จะส่งเอกสารสื่อไปยังมุมที่ห่างไกลที่สุด บนถนนในชนบทที่ขรุขระที่สุด บางครั้งพวกเขาก็พลัดตกจากสกูตเตอร์ในเวลากลางคืน บางครั้งก็ตกจากที่สูง แต่ไม่มีใครย่อท้อเลย

ผ่านไปแล้ว 20 กว่าปี เรายังคงสานต่อภารกิจของเราบนเส้นทางของตนเอง แม้พวกเราจะเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดา ๆ ที่มีการศึกษาไม่สูง แต่สิ่งที่เราทำนั้นพิเศษอย่างยิ่ง เราขอขอบพระคุณท่านอาจารย์สำหรับความช่วยเหลือที่เปี่ยมด้วยความเมตตานี้

(บทความนี้ได้รับการคัดเลือกเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันฝ่าหลุนต้าฝ่าโลกปี 2025 ที่ Minghui.org)