(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 10)

เกเช ซักปูวะ มีภรรยาลับ เขาขอให้ผู้หญิงคนนี้ใส่ยาพิษในเนยแข็งแล้วเอาไปให้ท่านอาจารย์ที่เคารพเพื่อสังหารท่าน เขาสัญญาว่าจะมอบหยกชิ้นใหญ่ให้เธอหลังจากทำงานนี้สำเร็จ ผู้หญิงคนนี้หลงเชื่อ จึงนำเนยแข็งที่มียาพิษไปถวายท่านอาจารย์เพื่อเป็นของถวาย

ท่านอาจารย์ที่เคารพล่วงรู้เรื่องนี้ ด้วยการพิจารณากรรมสัมพันธ์ด้วยญาณ ท่านทราบว่าผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับท่านได้รับการช่วยเหลือแล้ว แม้ว่ายาพิษจะไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ แต่นิพพานของท่านกำลังจะมาถึง ท่านจึงตัดสินใจรับยาพิษเป็นของถวาย ท่านอาจารย์ยังรู้ด้วยว่าถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับหยกก่อนที่จะนำเนยแข็งใส่ยาพิษมาถวาย เธอจะไม่ได้รับหยกนั้นในภายหลังเพราะว่าซักปูวะจะไม่มอบหยกให้เธอหลังจากนั้น ท่านอาจารย์จึงพูดกับหญิงคนนี้ว่า “ตอนนี้เราจะไม่ยังรับมัน ถ้าเจ้ากลับมาในภายหลัง เราอาจรับมัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์แล้ว เธอก็งงและหวาดกลัว เธอสงสัยว่าท่านอาจารย์อาจล่วงรู้อยู่แล้วว่าเนยแข็งมียาพิษ เธอจึงจากไปด้วยความประหม่าและไม่สบายใจ

หลังจากผู้หญิงคนนี้พบกับซักปูวะ เธอก็เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และบอกว่าท่านอาจารย์ต้องมีพลังเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ยอมรับเนยแข็ง

ซักปูวะตอบว่า “ฮึ่ม ! ถ้าเขามีพลังเหนือธรรมชาติ เขาจะไม่ให้เจ้าเอาเนยแข็งไปให้ในภายหลัง หรือเขาจะบอกให้เจ้ากินมันแทน แต่เขากลับบอกให้เจ้านำมันไปให้เขาในภายหลัง มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ เอาหยกนี้ไป แล้วเอาเนยแข็งไปให้เขา คราวนี้ต้องทำให้เขากินมันให้ได้ !” จากนั้นเขาก็มอบหยกให้เธอ

หญิงคนนี้พูดว่า “ทุกคนเชื่อว่าเขาต้องมีพลังเหนือธรรมชาติ เพราะเขามี เขาจึงไม่ได้กินมันเมื่อวานนี้ ถ้าฉันเอามันไปให้เขาในวันนี้อีก เขาจะไม่กินมันอย่างแน่นอน ฉันกลัวมากและไม่กล้าไป ตอนนี้ฉันไม่ต้องการหยกแล้ว โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันทำเรื่องนี้ให้ท่านไม่ได้”

ซักปูวะพูดว่า “มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อว่าเขามีพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาไม่อ่านพระสูตร ขาดเหตุผล และถูกหลอกด้วยคำโกหกของเขา ในพระสูตรที่เราอ่าน คนที่มีพลังเหนือธรรมชาติไม่เหมือนเขา เรารับรองได้ว่าเขาไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ ตอนนี้เอาเนยแข็งใส่ยาพิษไปให้เขากินได้แล้ว ถ้าพวกเราทำสำเร็จ เราจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง พวกเรารักกันมานานแล้ว เราไม่คิดว่าพวกเราจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องซุบซิบนินทาอีกต่อไป ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ เราจะแต่งงานกับเจ้า ไม่เพียงแต่หยกนี้จะเป็นของเจ้า แต่เจ้าจะได้ดูแลทรัพย์สินของเราทั้งในและนอกบ้าน ไม่ว่าพวกเราจะรวยหรือจน พวกเราจะอยู่ด้วยกันจนกว่าเราจะตาย เจ้าตกลงหรือไม่”

ผู้หญิงคนนี้เชื่อเขา เธอจึงใส่ยาพิษลงในเนยแข็งแล้วนำไปถวายท่านอาจารย์เป็นของถวาย ท่านอาจารย์ยิ้มแล้วรับมันไว้ ผู้หญิงคนนี้คิดว่า “เกเชพูดถูก เขาไม่มีพลังเหนือธรรมชาติจริง ๆ !”

ท่านอาจารย์ยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “ราคาของการทำเรื่องนี้—หยกนั้น เจ้าได้มันมาหรือยัง”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจจนอ้าปากค้างและพูดไม่ออก ด้วยความรู้สึกผิดและหวาดกลัว ร่างกายของเธอสั่นเทาไปทั้งตัว และใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอก้มกราบและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฉันได้หยกแล้ว แต่โปรดอย่ากินเนยแข็งนี้เลย ยกมันให้ฉันเถอะ”

ท่านอาจารย์ถามว่า “ทำไมเจ้าจึงต้องการมันละ”

เธอร้องไห้ “ขอให้ฉัน คนที่เป็นผู้ก่อบาป กินมันเถิด”

ท่านอาจารย์ตอบว่า “ประการแรก เราไม่สามารถทนให้เจ้ากินมันได้ เพราะเจ้าเป็นเพียงคนที่น่าสงสาร ประการที่สอง หากเราปฏิเสธของถวายของเจ้า เราก็จะละเมิดกฎของพระโพธิสัตว์ด้วยการทำผิดร้ายแรงนี้ ยิ่งกว่านั้น เราได้บรรลุภารกิจเพื่อตนเอง เพื่อผู้อื่น และช่วยเหลือสรรพชีวิตแล้ว ถึงเวลาที่เราจะไปสู่โลกอื่นแล้ว ที่จริงของถวายของเจ้าไม่สามารถทำอันตรายเรา เราจะกินหรือไม่กินก็ไม่ต่างกัน ถ้าเรากินเนยแข็งจากเจ้าครั้งที่แล้ว เจ้าอาจจะไม่ได้รับหยก ดังนั้นเราจึงไม่รับไว้ ตอนนี้เจ้ามีหยกอยู่ในมือแล้ว เราจึงกินได้โดยไม่ต้องกังวล และเขาก็จะพอใจ อีกอย่างหนึ่งคือเขาเสนอจะให้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้นกับเจ้าหลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่คำพูดของเขานั้นเชื่อถือไม่ได้ สำหรับคำพูดของเขาที่เกี่ยวกับเรานั้น ไม่มีคำพูดใดเป็นความจริงเลย พวกเจ้าทั้งสองคนจะมีแต่ความเสียใจในภายหลัง เมื่อถึงตอนนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือเจ้าสำนึกผิดอย่างแท้จริงและศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยที่สุด จงจำไว้ว่า ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตาย จงอย่าทำบาปเช่นนี้อีกในอนาคต ! ตอนนี้เจ้าจงสวดอธิษฐานอย่างจริงใจต่อเราและสายสืบทอดธรรมของเราได้แล้ว”

“พวกเจ้าสองคนมักละทิ้งความสุขและแสวงหาความทุกข์ ครั้งนี้เราจะปฏิญาณว่าจะชำระล้างบาปที่เจ้าก่อขึ้น ไม่ช้าก็เร็วผู้คนจะรู้ว่าพวกเจ้าทำเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า จงอย่าบอกใครก่อนที่เราจะสิ้นชีวิต ตอนนี้เราชราภาพแล้ว พวกเจ้าไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดในอดีตนั้นจริงหรือไม่ ดังนั้นเจ้าอาจไม่เชื่อคำพูดของเรา คราวนี้เจ้าจะเห็นด้วยตาตนเอง เจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดเป็นความจริง” เมื่อกล่าวจบ ท่านอาจารย์ก็กินเนยแข็งนั้น

ผู้หญิงคนนี้กลับไปและเล่าเรื่องนี้ให้ซักปูวะฟัง ซักปูวะพูดว่า “สิ่งที่เจ้าเห็นในกระทะอาจไม่ใช่อาหารที่อร่อย สิ่งที่เจ้าได้ยินจากคนอื่นอาจไม่ใช่ความจริง ตราบใดที่เขากินเนยแข็งใส่ยาพิษ เราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว เจ้าแค่หุบปากและอยู่เงียบ ๆ”

ท่านอาจารย์ที่เคารพส่งข่าวไปที่ดรินและนยะนัม โดยขอให้ผู้ที่ศรัทธา ทานบดี และผู้คนจากที่อื่นที่ไม่เคยพบท่านอาจารย์มาก่อนให้มาหา เหล่าศิษย์ของท่านที่กำลังเตรียมประชุมธรรมได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่เชื่อ ทุกคนมารวมตัวกัน และท่านอาจารย์ที่เคารพก็ได้แสดงธรรมแก่พวกเขาเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ท่านอธิบายกฎแห่งกรรมในสัจธรรมดั้งเดิมและหลักสำคัญของสัจธรรมขั้นสูงสุดอย่างละเอียด ขณะที่ท่านกำลังแสดงธรรม ศิษย์หลายคนที่มีรากฐานยอดเยี่ยมเห็นพระพุทธและพระโพธิสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนมาฟังธรรมบนท้องฟ้า บางคนเห็นผู้ฟังธรรมทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์เต็มท้องฟ้าและบนพื้นดินต่างกำลังฟังธรรมด้วยความเบิกบานใจ ผู้คนยังเห็นแสงสีรุ้งห้าสี ธงชัย และเมฆหลากสีในพื้นที่ว่าง ดอกไม้ห้าสีโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับฝน พร้อมกลิ่นหอมตลบอบอวล และเสียงดนตรีอันไพเราะจากฟากฟ้าอีกด้วย

ศิษย์บางคนถามท่านอาจารย์ว่า “พวกเราเห็นเทพฟังธรรมบนท้องฟ้าและในพื้นที่ว่างด้วย พวกเราได้เห็นสัญญาณที่น่าอัศจรรย์และหาได้ยากมากมาย สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือ”

ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “เหล่าเทวดาและเทพผู้มีเมตตากำลังฟังการแสดงธรรมของเราแล้วถวายเครื่องบูชาที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งห้าแก่เรา เพราะพวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ปฏิบัติโยคีและผู้มีศรัทธาที่มีรากฐานดี พวกเจ้าจึงมีจิตใจเบิกบานและเห็นนิมิตมงคลเหล่านี้”

บางคนถามว่า “ทำไมพวกเราจึงไม่เห็นเทพเหล่านี้”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ในบรรดาสรรพชีวิตบนสวรรค์นั้นมีทั้งพระโพธิสัตว์ และบางส่วนบรรลุถึงขั้นไม่เสื่อมถอยแล้ว การจะเห็นพวกเขาได้นั้นต้องมีตาทิพย์ที่มีบุญบารมีและปัญญามากเพียงพอ และต้องไม่มีอุปสรรคจากกิเลสและอวิชชามากนัก ถ้าผู้ใดสามารถเห็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ได้ก็ย่อมเห็นเทพอื่น ๆ โดยธรรมชาติ เพื่อที่จะเห็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ได้นั้น เจ้า ต้องสำนึกผิดและสะสมบุญบารมี ด้วยการพากเพียรพยายามปฏิบัติอย่างหนัก เจ้าจึงจะเห็นพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือจิตใจของตนเอง”

หลังจากท่านอาจารย์ที่เคารพแสดงธรรมจบ ผู้ฟังธรรมที่มีรากฐานยอดเยี่ยมรับรู้ได้ว่าจิตกับร่างแท้คือสิ่งเดียวกัน ผู้ที่มีรากฐานปานกลางสัมผัสความปีติสุข ความแจ่มชัด และความว่างเปล่า ทุกคนมีเจตจำนงอันแรงกล้าต่อโพธิ

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ลามะ คฤหัสถ์ ทุกคน และเหล่าเทพ ที่สามารถมาอยู่รวมกันที่นี่เพื่อประชุมธรรมเพราะกุศลเจตนาจากอดีตชาติ นี่คือการประชุมธรรมที่เกิดขึ้นเพราะธรรมะและกรรมสัมพันธ์ ข้าพเจ้าชราภาพและอ่อนแอ ยากที่จะบอกว่าเราจะสามารถได้พบกันอีกในโลกนี้หรือไม่ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกพวกเจ้าทั้งหมดเป็นความจริง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับธรรมะ ในดินแดนพุทธะของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าบรรลุพุทธภาวะแล้ว พวกเจ้าทุกคนจะเป็นศิษย์ที่ได้ยินข้าพเจ้าแสดงธรรมในการประชุมธรรมครั้งแรก ดังนั้น ขอให้มีความสุขเถิด !”

ศิษย์ที่นยะนัมถามว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงให้โอวาสเช่นนี้ เป็นเพราะการช่วยเหลือสรรพชีวิตเสร็จสมบูรณ์แล้วและถึงเวลาปรินิพพานแล้วใช่หรือไม่ พวกเขาอ้อนวอนท่านอาจารย์ว่าถ้าใกล้ถึงเวลาปรินิพพานแล้ว พวกเขาหวังว่าท่านอาจารย์จะปรินิพพานที่นยะนัม หรืออย่างน้อยก็โปรดไปที่นั่นสักครั้ง พวกเขาร้องไห้และยืนกรานให้ท่านอาจารย์ไปนยะนัม ผู้คนที่ดริน จูบาร์ และภูมิภาคอื่น ๆ ก็ขอร้องให้ท่านอาจารย์ที่เคารพไปยังสถานที่ของพวกเขาเช่นกัน

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ชายชราเช่นข้าพเจ้าจะไม่ไปนยะนัม ข้าพเจ้าจะรอความตายอยู่ที่ดรินและจูบาร์ ขอให้พวกเราตั้งจิตอธิษฐานให้ดี โดยหวังว่าพวกเราทุกคนจะได้พบกันในดินแดนบริสุทธิ์แห่งฑากินีในอนาคต”

เหล่าศิษย์พูดว่า “ถ้าท่านอาจารย์ไม่สามารถเดินทางไปได้จริง ๆ พวกเราหวังว่าท่านอาจารย์จะตั้งปณิธานที่จะช่วยอวยพรให้ทุกสถานที่ที่ท่านเคยไปเยือนก่อนหน้านี้ ทุกคนและทุกสรรพชีวิตที่เคยพบหรือได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์มาก่อนต่างวิงวอนขอให้ท่านอาจารย์ตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือและอวยพร”

ท่านอาจารย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจมากที่เห็นพวกเจ้ามีศรัทธาเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้สอนธรรมะให้แก่พวกเจ้าด้วยความเมตตามานานแล้ว ในอนาคตเราจะตั้งปณิธานเพื่อความเบิกบานและความสุขแก่ตนเอง ผู้อื่น และสรรพชีวิตทั้งหมด” แล้วท่านอาจารย์ที่เคารพก็ขับร้องบทเพลงเกี่ยวกับปณิธาน

ผู้ฟังธรรมต่างเปี่ยมด้วยความปีติยินดี พวกเขาไม่เชื่อ และคิดว่า "ท่านอาจารย์จะยังไม่เข้าสู่ปรินิพพาน" ผู้คนรวมทั้งศิษย์จากนยะนัมมาหาท่านอาจารย์ที่เคารพเพื่อขอความช่วยเหลือและขอพร จากนั้นผู้ฟังธรรมก็กลับไป ขณะที่นิมิตมหัศจรรย์รวมทั้งสายรุ้งบนท้องฟ้าค่อย ๆ หายไป

ผู้คนในดรินขอร้องอย่างจริงใจต่อศิษย์เอกของท่านอาจารย์ที่เคารพ เช่น จือวา โอ ให้ช่วยอ้อนวอนท่านอาจารย์ไปพำนักที่เรกปา ดุกเช็น ท่านอาจารย์พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งและสอนธรรมะให้แก่ทานบดี วันหนึ่ง ท่านอาจารย์ที่เคารพบอกศิษย์ทุกคนว่า “ถ้าพวกเจ้ามีคำถามใด ๆ เกี่ยวกับธรรม ให้ถามข้าพเจ้าในขณะนี้ อีกไม่นานข้าพเจ้าจะจากไปแล้ว” เหล่าศิษย์จึงเตรียมพิธีบูชา ระหว่างนั้นพวกเขาได้ถามคำถามท่านอาจารย์เพื่อความกระจ่างและถามเกี่ยวกับการสอนด้วยวาจา ในที่สุดเซบันและลูกศิษย์อีกคนหนึ่งก็ขอร้องว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ จากที่ท่านกล่าว ท่านกำลังจะเข้าสู่ปรินิพพานในไม่ช้า พวกเราแทบไม่อยากเชื่อเลย พวกเราหวังว่าท่านจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปเพื่อประโยชน์แก่สรรพชีวิตให้มากกว่านี้”

ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “ชีวิตของเรากำลังจะสิ้นสุดแล้ว สรรพชีวิตที่ควรช่วยก็ได้ช่วยแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดมาล้วนต้องตาย ที่จริงการเกิดก็เป็นเพียงการปรากฏของความตายเท่านั้น”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่านอาจารย์ที่เคารพก็มีอาการป่วยตามที่คาดไว้ งันซง เรปา ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านจึงได้รวบรวมทานบดีและศิษย์ทั้งหมด พวกเขาประกอบพิธีบูชาแด่ท่านอาจารย์ เหล่าเทพ ฑากินี และเทพผู้พิทักษ์ พวกเขาพูดกับท่านอาจารย์ที่เคารพว่า “ท่านอาจารย์ ท่านรู้วิธีที่จะมีอายุยืนยาวและยารักษาโรค ได้โปรดเมตตาใช้สิ่งเหล่านั้นเถิด”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “โดยพื้นฐานแล้ว โยคีไม่ต้องการวิธีการเช่นนั้น สภาวะที่ไม่ดีและสภาวะที่ดีทั้งหมดล้วนเป็นหนทางธรรม ซึ่งรวมถึงความเจ็บป่วยและความตายด้วย โดยเฉพาะข้าพเจ้า มิลาเรปะ ผู้ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์มาร์ปะได้สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเหล่านี้หรือขอความช่วยเหลือจากเหล่าเทพ ข้าพเจ้าสามารถเปลี่ยนศัตรูให้เป็นผู้รู้ใจอันเป็นที่รักได้ แล้วการประกอบพิธีกรรมขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์จะมีประโยชน์อะไร สำหรับปีศาจและภูตผีเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้ปราบพวกมันนานมาแล้วและเปลี่ยนให้เป็นเทพผู้พิทักษ์แล้ว ดังนั้นคาถาอาคมประเภทนี้จึงยิ่งไม่มีประโยชน์เลย ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนพิษทั้งห้า (อวิชชา ความยึดติด ความเกลียดชัง ความหยิ่งยโส และความอิจฉา) ให้กลายเป็นพระปัญจธยานิพุทธ (ปัญญาห้าประการ คือ การปฏิบัติที่สมบูรณ์ อุเบกขา การสังเกต การไตร่ตรอง และอาณาจักรธรรมของมหามุทราสมาธิ; พระพุทธเจ้าทั้งห้าคือ พระอักโษภยะ พระรัตนสัมภวะ พระอมิตาภะ พระอโมฆสิทธิ และพระไวโรจนะ) -ข้าพเจ้ายังจะต้องการยาไปทำไม บัดนี้ถึงเวลาสำหรับการแปรเปลี่ยนตามลำดับสู่ร่างพระพุทธแล้ว ด้วยสัจธรรมที่เข้าสู่ขั้นสมบูรณ์และส่องสว่างในธรรมธาตุ ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น

“เพราะผลกรรมในอดีตจากการทำความชั่ว ผู้คนในโลกจึงต้องทนทุกข์ ทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้จะมียาหรือพิธีกรรม พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกหนีความทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ นักรบที่แข็งแกร่ง เศรษฐีที่มั่งคั่ง สตรีที่งดงาม ปัญญาชนที่ฉลาดเฉลียว นักพูดที่มีวาทศิลป์ พวกเขาทุกคนล้วนดับสูญด้วยความตาย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีการทำให้สงบ เสริมสร้าง ดึงดูด และปราบปราม ถ้าพวกเจ้ากลัวความเจ็บปวดและชอบความสุข ข้าพเจ้ามีวิธีให้พวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายโดยไม่เจ็บปวด”

เหล่าศิษย์ถามว่า “ท่านอาจารย์ช่วยบอกพวกเราได้หรือไม่”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ตามหลักธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่มีอยู่ย่อมเสื่อมไปในที่สุด ผู้ที่มาชุมนุมกันย่อมแยกย้ายกันไป การเกิดย่อมลงท้ายด้วยการตาย คู่รักย่อมพรากจากกันในที่สุด ถ้าใครเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ เขาควรเลิกทำสิ่งที่จะนำไปสู่ผลร้ายอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ หยุดแสวงหาโชคลาภหรือผลประโยชน์ โดยปฏิบัติตามอาจารย์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและปฏิบัติตามแก่นแท้ของการไม่เกิดตามคำสอนนั้น เจ้าควรทราบว่าการปฏิบัติเพื่อการไม่เกิดและความว่างเปล่านั้นศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบรรดาการปฏิบัติทั้งหมด ข้าพเจ้ายังมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่จะพูดและจะบอกให้พวกเจ้าทราบในภายหลัง”

จือวา โอ และงันซง เรปา พูดว่า "ท่านอาจารย์ หากท่านมีสุขภาพดีและมีชีวิตอยู่ในโลกนี้นานขึ้น ท่านก็จะช่วยเหลือสรรพชีวิตได้มากกว่านี้ไม่ใช่หรือ ท่านอาจไม่เห็นด้วยกับคำขอให้ท่านมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปีของพวกเรา แต่ไม่ว่าอย่างไร ได้โปรดพิจารณาพิธีกรรมพิเศษของมนตราลับ และรับประทานยาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพโดยเร็วเถิด" พวกเขาอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “ถ้าเวลาและเงื่อนไขยังไม่พร้อม ข้าพเจ้าก็อาจทำตามที่พวกเจ้าแนะนำได้ แต่ถ้าจะเชิญพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มาเพียงเพื่อให้อายุของตนยืนยาว แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น นั่นก็เปรียบเสมือนการขอให้พระราชาละทิ้งราชบัลลังก์มาทำงานรับใช้ตน นี่เป็นบาป ดังนั้นเจ้าไม่ควรฝึกมนตรายานเพียงเพื่อตัวเองหรือเพื่อชาตินี้เท่านั้น การฝึกมนตรายานเพื่อผู้อื่นจะดีมาก เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตทั้งมวล ข้าพเจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตในภูเขาที่ห่างไกลเพื่อปฏิบัติพิธีกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ต้องการพิธีกรรมอื่นใดอีก จิตของข้าพเจ้าบรรลุถึงสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ของธรรมธาตุ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องหาหนทางที่จะอยู่ในโลกนี้ ด้วยบทสวดและยาจากท่านอาจารย์มาร์ปะ ข้าพเจ้าจึงถอนพิษทั้งห้าในตัวข้าพเจ้าออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ซึ่งหมายความว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ยาใด ๆ ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถพิจารณาว่าสภาวะที่ไม่ดีคือสภาวะที่ดีได้ พวกเจ้าก็ไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริง เมื่อเวลายังมาไม่ถึง ยาและพิธีกรรมก็เหมาะสมเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะที่เป็นอุปสรรคต่อหนทางสู่โพธิ มีบางเรื่องก่อนหน้านี้ที่สภาวะที่ไม่ดีถูกขจัดออกไปและเปลี่ยนเป็นสภาวะที่ดี เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตที่มีรากฐานต่ำ พระพุทธเจ้าศากยมุนีเคยรับการวินิจฉัยและรับยาจากชีวกกุมาร แต่เมื่อเวลาและเงื่อนไขพร้อมแล้ว พระพุทธเจ้าเองก็เข้าสู่ปรินิพพานเช่นกัน ตอนนี้เวลาและเงื่อนไขของข้าพเจ้าพร้อมแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือพิธีกรรมอีก”

ศิษย์เอกทั้งสองจึงถามต่อว่า “ท่านอาจารย์ ท่านจะไปยังอีกโลกหนึ่งเพื่อประโยชน์ของสรรพชีวิตหรือไม่ ได้โปรดบอกพวกเราว่าพวกเราควรจัดการอย่างไร เช่นการบูชาระหว่างปรินิพพาน การดูแลสรีระ การทำรูปปั้นและการสร้างสถูป โปรดบอกพวกเราในฐานะศิษย์ว่าควรทำสมาธิและฝึกการฟัง คิด และบำเพ็ญอย่างไร”

ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “ด้วยความเมตตาและคุณธรรมจากท่านอาจารย์มาร์ปะ กิจของข้าพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการเวียนว่ายตายเกิดและนิพพานได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โยคีผู้มีกาย วาจา ใจ ที่หลุดพ้นในธรรมไม่จำเป็นต้องทิ้งร่างกายไว้ข้างหลัง ไม่ต้องสร้างรูปปั้นหรือสร้างสถูป ข้าพเจ้าไม่ยึดติดกับวัด ไม่มีวัดก็ไม่ต้องหาใครมาเป็นเจ้าอาวาส เจ้าสามารถปฏิบัติในพื้นที่ห่างไกลในภูเขาสูงหรือภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะโดยถือว่าเป็นวัดของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าทำสมาธิด้วยความเมตตาต่อสรรพชีวิตในหกภูมิ นี่คือรูปปั้นที่พิเศษที่สุดในสี่ฤดู การบรรลุความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ในธรรมชาติอันบริสุทธิ์ดั้งเดิมของธรรมเหมือนกับการสร้างสถูปและธง การรักษาคำพูดและจิตใจให้เหมือนกัน และสวดภาวนาจากส่วนลึกของหัวใจคือเครื่องบูชาที่ดีที่สุด

“การอยู่ร่วมกับผู้ที่ทุกข์ระทมและยึดติดในตนเองอย่างหนัก และทำสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้สรรพชีวิต ขัดกับหลักปฏิบัติพื้นฐานของผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อปราบพิษทั้งห้าและเป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิต แม้อาจดูเหมือนทำความชั่วที่ภายนอก แต่แท้จริงแล้วดำเนินตามวิถีแห่งพุทธ นั่นไม่เป็นไร

“หากผู้ใดรู้แต่ธรรมะโดยไม่ปฏิบัติจริง แม้มีความรู้กว้างขวาง มันจะกลับกลายเป็นอุปสรรค ทำให้เขาตกลงสู่เหวลึกแห่งสามอบายภูมิในที่สุด ดังนั้น จงคิดถึงความไม่เที่ยงของชีวิต พากเพียรทำความดี และเตือนให้ละเว้นการทำความชั่ว บุคคลไม่ควรทำความชั่วอย่างเด็ดขาดแม้ต้องสละชีวิต พูดง่าย ๆ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้ว่าความละอายคืออะไรก่อนจะเดินตามเส้นทางนั้น การทำเช่นนี้ แม้การปฏิบัติของพวกเจ้าจะขัดกับพระสูตรหรือคัมภีร์ที่มีจุดประสงค์ที่ผิดเพี้ยน แต่มันสอดคล้องกับเจตนาของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ แก่นแท้ทั้งหมดของการฟังและการคิดใคร่ครวญสรุปได้ตามนี้ และข้าพเจ้าคิดว่าเพียงพอแล้ว ถ้าพวกเจ้าสามารถปฏิบัติตามคำพูดของข้าพเจ้าได้ เราก็จะยินดี พวกเจ้าอาจบรรลุการรู้แจ้งในกิจทั้งปวงของสังสารวัฏและนิพพาน ไม่เช่นนั้น การเติมเต็มความปรารถนาของข้าพเจ้าด้วยมุมมองและวิธีทางโลกก็ไร้ความหมาย”

ทุกคนที่ได้เรียนรู้คำสอนดังกล่าวด้วยใจต่างซาบซึ้งอย่างยิ่ง

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ท่านอาจารย์ที่เคารพปรากฏอาการป่วยหนัก เกเช ซักปูวะ มาพร้อมกับไวน์และเนื้อชั้นดีเพื่อแสร้งทำเป็นมอบของถวาย เขาเข้าไปหาท่านอาจารย์ที่เคารพและเยาะเย้ยว่า “ฮึ ! ด้วยความสามารถที่จะบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นท่านอาจารย์นี้ ความเจ็บป่วยร้ายแรงเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ท่านป่วยได้อย่างไร ถ้าโรคภัยนี้สามารถแบ่งกับผู้อื่นได้ ท่านก็น่าจะแบ่งให้พวกศิษย์เอกด้วย หรือถ้าโรคสามารถถ่ายโอนได้ โปรดโอนมันมาให้เรา ตอนนี้ท่านทำอะไรไม่ได้ พวกเราจะจบเรื่องนี้อย่างไร”

ท่านอาจารย์ที่เคารพยิ้มอย่างสงบแล้วพูดกับเขาว่า “เราสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยนี้ได้ แล้วทำไมมันยังคงเกิดขึ้น ท่านควรจะเข้าใจให้ชัดเจน ความเจ็บป่วยของคนทั่วไปแตกต่างจากความเจ็บป่วยของโยคีทั้งในแง่ของธรรมชาติและกรรมสัมพันธ์ ความเจ็บป่วยที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ถือเป็นการแสดงออกที่ยิ่งใหญ่ของพุทธธรรมอย่างแท้จริง”

ซักปูวะคิดว่าท่านอาจารย์อาจสงสัยเขาแต่เขายังไม่แน่ใจ ท่านอาจารย์บอกว่าโรคภัยไข้เจ็บสามารถถ่ายโอนได้ ซึ่งมันไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง จะถ่ายโอนโรคให้ผู้อื่นในโลกนี้ได้อย่างไร เขาจึงพูดว่า “เราไม่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุของโรคของท่านอาจารย์ ถ้าโรคนี้เกิดจากภูตผี ก็จำเป็นต้องทำพิธีขับไล่ปีศาจ ถ้าเป็นเพราะธาตุใหญ่ทั้งสี่ไม่สมดุลกัน ก็ควรปรับสภาพร่างกายและรับประทานยา ถ้าโรคนี้สามารถถ่ายโอนไปให้ผู้อื่นได้จริง ท่านอาจารย์ โปรดถ่ายโอนมันให้เราเถิด”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “มีคนหนึ่งที่มีบาปใหญ่หลวง มารร้ายในใจของเขาออกมาทำร้ายเรา ทำให้ธาตุทั้งสี่ของเราเสียสมดุลและเป็นเหตุให้เราเจ็บป่วย เจ้าไม่มีอำนาจจะขจัดโรคนี้ แม้เราจะถ่ายโอนให้เจ้าได้ แต่เราเกรงว่าเจ้าจะทนไม่ได้แม้เพียงชั่วขณะเดียว ดังนั้น ไม่ทำจะดีกว่า”

ซักปูวะคิดว่า “บุคคลนี้ไม่สามารถถ่ายโอนโรคให้ผู้อื่นได้เลย เขาจึงพูดจาเสียดสีเช่นนี้ เราต้องทำให้เขาอับอาย” แล้วเขาก็อ้อนวอนท่านอาจารย์ที่เคารพครั้งแล้วครั้งเล่าให้ถ่ายโอนโรคให้กับเขา

ท่านอาจารย์ที่เคารพตอบว่า “เพราะเจ้ายืนกรานที่จะทำเช่นนั้น เราจะถ่ายโอนโรคไปที่ประตูที่อยู่ตรงหน้าเราชั่วคราว ถ้าเราโอนโรคนี้ให้เจ้า เจ้าจะทนไม่ไหว ทีนี้ คอยดูให้ดี” ท่านอาจารย์ที่เคารพใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านถ่ายโอนความเจ็บปวดไปที่ประตูที่อยู่ตรงหน้าท่าน ตอนแรกประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับว่ามันจะถูกฉีกออก เพียงครู่เดียว มันก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในทางกลับกัน ท่านอาจารย์ที่เคารพดูเหมือนไม่ได้ป่วยเลย

ซักปูวะคิดว่า “นี่เป็นเวทย์มนตร์เพื่อปกปิดมัน ท่านหลอกเราไม่ได้หรอก” เขาจึงพูดว่า “อา ! อัศจรรย์จริง ๆ ! แต่ ท่านอาจารย์ โปรดโอนโรคมาให้เราเถิด”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ในเมื่อเจ้าอ้อนวอนขนาดนี้ เราจะแบ่งโรคให้เจ้าครึ่งหนึ่ง หากเราถ่ายโอนโรคทั้งหมดให้เจ้า เจ้าจะทนไม่ไหวอย่างแน่นอน” จากนั้นท่านก็ถ่ายโอนความเจ็บปวดให้เขาครึ่งหนึ่ง ซักปูวะรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในทันที เขาสั่นสะท้านและแทบหายใจไม่ออก เมื่อเขาใกล้จะสิ้นชีวิต ท่านอาจารย์ที่เคารพก็ดึงเอาโรคส่วนใหญ่ที่ถ่ายโอนไปกลับคืนมา และถามว่า “เราให้โรคแก่เจ้าเพียงส่วนน้อย เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าทนได้หรือไม่”

หลังจากประสบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงด้วยตนเองแล้ว ความสำนึกผิดอย่างแรงกล้าก็เกิดขึ้นในใจของซักปูวะ เขาคุกเข่าลงก้มกราบต่อหน้าท่านอาจารย์และพูดทั้งน้ำตาที่ไหลอาบหน้าว่า “ท่านอาจารย์ ! ท่านอาจารย์ ! ตอนนี้เราสำนึกผิดด้วยใจจริงแล้ว โปรดยกโทษให้เราด้วย เราจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดแก่ท่านอาจารย์เป็นของถวาย โปรดช่วยแก้ไขผลกรรมจากบาปของเราด้วยเถิด” เขาร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นเขาสำนึกผิดอย่างแท้จริงแล้ว ท่านอาจารย์ที่เคารพรู้สึกยินดีมาก และดึงความเจ็บป่วยส่วนที่เหลืออยู่เล็กน้อยกลับคืนมา ท่านอาจารย์พูดว่า “เราไม่ต้องการที่ดินและทรัพย์สินตลอดชีวิตของเรา ตอนนี้เรากำลังจะตาย สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งไร้ประโยชน์สำหรับเรา เจ้าเก็บมันไว้เถิด ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ทำความชั่วอีกเลย ถึงแม้ว่าเจ้าจะต้องตายก็ตาม เราตกลงจะช่วยเจ้าแก้ไขผลกรรมจากบาปของเจ้าในครั้งนี้”

ซักปูวะพูดกับท่านอาจารย์ที่เคารพว่า “ในอดีตเราเคยทำความชั่วส่วนใหญ่ก็เพื่อเงิน ตอนนี้เราไม่ต้องการแล้ว แม้ท่านอาจารย์จะไม่รับไว้ แต่เหล่าศิษย์ก็ต้องการมันเพื่อการปฏิบัติ ได้โปรดรับมันไว้ในนามของพวกเขาด้วยเถิด” แม้เขาจะอ้อนวอนเช่นนั้น แต่ท่านอาจารย์ที่เคารพก็ไม่รับมันไว้ เหล่าศิษย์รับมันไว้ในภายหลัง และใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ในการประชุมธรรม แม้ในปัจจุบัน การประชุมธรรมเหล่านี้ก็ยังคงจัดในจูบาร์

ตั้งแต่นั้นมา ซักปูวะได้ละทิ้งความโลภที่ติดตัวเขามาตลอดชีวิตได้อย่างน่าประหลาดใจ และกลายเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดีมาก

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดกับเหล่าศิษย์ของท่านว่า “เหตุผลที่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้มีบาปหนักให้กลับใจอย่างแท้จริง และหลุดพ้นจากความทุกข์ ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไป ที่จริง หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่เข้าสู่ปรินิพพานในหมู่บ้าน ก็เปรียบเสมือนพระราชาที่สิ้นพระชนม์ในบ้านของสามัญชน ดังนั้นเราจะไปที่จูบาร์และปรินิพพานที่นั่น”

เซบัน เรปะ ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านป่วยหนัก เจ็บปวดเกินกว่าจะเดินได้ พวกเราจะหาเสลี่ยงเพื่อหามท่านไปที่นั่นได้หรือไม่”

ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “เราไม่ได้ป่วยจริง ๆ และการตายของเราก็ไม่ใช่การตายที่แท้จริง มันเป็นเพียงการแสดงออกของอาการป่วยและการตายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เสลี่ยง ศิษย์หนุ่มทั้งหลายบัดนี้พวกเจ้าออกเดินทางไปจูบาร์ได้เลย”

เมื่อเหล่าศิษย์หนุ่มมาถึงเมืองจูบาร์ ท่านอาจารย์ที่เคารพได้รอพวกเขาอยู่ที่นั่นแล้ว ศิษย์สูงอายุบางคนพูดว่า “พวกเราเป็นกลุ่มที่มาที่นี่พร้อมท่านอาจารย์” อีกคนหนึ่งพูดว่า “ท่านอาจารย์ป่วยและพักผ่อนอยู่ที่เรกปา ดุกเช็น” ทานบดีบางคนที่มาทีหลังพูดว่า “พวกเราเห็นท่านอาจารย์สอนธรรมะในซอง” ทานบดีบางคนพูดว่า “พวกเรามากับท่านอาจารย์” หลายคนพูดว่า “พวกเราแต่ละคนกำลังสักการะท่านอาจารย์อยู่ที่บ้าน” พวกที่มาถึงจูบาร์กลุ่มแรกพูดว่า “ท่านอาจารย์มาถึงจูบาร์ก่อน และพวกเรามาอารักขาท่าน” ด้วยวิธีนี้ บางคนบอกว่าท่านอาจารย์ตามมาทีหลัง บางคนบอกว่าท่านกำลังสอนธรรมะ บางคนบอกว่าพวกเขากำลังสักการะท่านอยู่ที่บ้าน พวกเขาโต้เถียงกันและไม่เชื่อกันและกัน ท่านอาจารย์ได้ยินทั้งหมด จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทุกคนพูดถูกแล้ว เราทำเช่นนี้เพราะอยากจะหยอกล้อพวกเจ้า”

(มีต่อ)