(Minghui.org) ตลอดประวัติศาสตร์ เทือกเขาหิมาลัยเป็นพื้นที่ที่มีผู้บำเพ็ญธรรมมากมาย ประชาชนที่นั่นใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ทุกคนร้องเพลงและเต้นรำ พวกเขาบูชาพุทธธรรมด้วย เกือบ 1,000 ปีก่อน มีผู้บำเพ็ญในดินแดนนี้ชื่อมิลาเรปะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วชีวิตและผ่านภัยพิบัติมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญจนสำเร็จ มิลาเรปะกลับบรรลุอานุภาพแห่งเต๋อ (เวยเต๋อ) ที่เทียบเท่ากันในชั่วชีวิตเดียว และต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งนิกายขาวของพุทธศาสนาในทิเบต

(ต่อจาก ตอนที่ 6)

เรชุงปะถามท่านมิลาเรปะว่า “ท่านอาจารย์ ท่านได้ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์มาร์ปะ และอาศัยอยู่ที่นั่นอีกสองสามปีหรือเปล่า”

ท่านอาจารย์ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นานขนาดนั้น หลังจากอยู่ที่นั่นได้พักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็กลับไปบ้านเกิด ข้าพเจ้าจะบอกเหตุผลที่กลับบ้านเกิด”

“ขณะแยกตัวฝึกสมาธิอยู่คนเดียว ข้าพเจ้าฝึกอย่างขยันหมั่นเพียรในความสงบและก้าวหน้าอย่างมาก ข้าพเจ้าแทบไม่ได้นอนเลย แต่เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกง่วงและหลับไป ข้าพเจ้าฝันว่าได้กลับบ้านที่เมืองคยังกัตซา ข้าพเจ้าเห็นบ้านเกิดที่มีเสา 4 ต้น และคาน 8 คาน ที่ทรุดโทรมคล้ายใบหูของลาแก่ สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดมาที่ล้ำค่าที่สุดของครอบครัวคือคัมภีร์พระสูตรมหารัตนกูฏถูกน้ำฝนรั่วเปียกโชกและขาดจนเหลือทน พื้นที่แห่งสามเหลี่ยมออร์มาปกคลุมด้วยพงหนามและวัชพืชเลื้อยไปทั่ว แม่ของข้าพเจ้าเสียชีวิตแล้ว และน้องสาวก็กลายเป็นขอทานที่เร่ร่อนไปในแดนไกล เมื่อนึกถึงเรื่องเศร้าที่ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่วัยเยาว์และไม่ได้พบกับแม่มาหลายปี หัวใจของข้าพเจ้าก็เจ็บปวดอย่างที่สุด ข้าพเจ้าร้องไห้และตะโกนว่า 'แม่ ! เปตาน้องสาวของเรา !’ ข้าพเจ้าตื่นขณะร้องไห้ และเสื้อผ้าของข้าพเจ้าก็เปียกชุ่มด้วยน้ำตา เมื่อนึกถึงแม่ ข้าพเจ้าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และตัดสินใจกลับไปเยี่ยมเธอ

“รุ่งเช้า ข้าพเจ้าพังทางเข้าถ้ำโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องนอนของอาจารย์เพื่อขออนุญาตกลับบ้านเกิด อาจารย์กำลังหลับอยู่ ข้าพเจ้าคุกเข่าอยู่หน้าเตียงของท่านเพื่ออธิบาย

“อาจารย์ตื่นนอนแล้ว

“ในขณะนั้น แสงยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องกระทบศีรษะของอาจารย์มาร์ปะที่หนุนหมอนอยู่ ขณะเดียวกัน ภรรยาของท่านก็เข้ามาพร้อมอาหารเช้า อาจารย์มาร์ปะถามว่า ‘ลูกชาย เหตุใดเจ้าจึงออกจากสมาธิอย่างกะทันหัน ปีศาจขัดขวางหรือเปล่า รีบกลับไปฝึกอย่างสงบเถอะ !'

“ข้าพเจ้าเล่าความฝันให้อาจารย์ฟังและบอกว่าคิดถึงแม่มากเพียงไร

“อาจารย์พูดว่า ‘ลูกชาย เมื่อเจ้ามาที่นี่ครั้งแรก เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ห่วงเรื่องครอบครัวและชาวบ้านในหมู่บ้านแล้ว นอกจากนี้ เจ้าได้ออกจากบ้านเกิดมาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะกลับไป เจ้าก็อาจจะไม่ได้เจอแม่ของเจ้าอีก สำหรับคนอื่น ๆ เราไม่แน่ใจว่าเจ้าจะพบพวกเขาอีกหรือไม่ เจ้าอาศัยอยู่ที่อู-ซังมาหลายปี และต่อมาก็อยู่ที่บ้านของเราอีกหลายปี หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะกลับไป เราก็จะปล่อยให้เจ้าไป เจ้าบอกว่าจะกลับไปที่หมู่บ้านของเจ้าแล้วค่อยกลับมาที่นี่ในภายหลัง เจ้าอาจจะคิดเช่นนั้น แต่บางทีจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อเจ้าเข้ามา เรากำลังหลับอยู่ นั่นเป็นสัญญาณว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วในชาตินี้ !'

“‘อย่างไรก็ดี แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องของเรา หมายความว่าธรรมะของเจ้าจะฉายแสงไปสิบทิศเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า ที่จริง แสงแดดส่องมาที่ส่วนบนสุดของศีรษะของเรา หมายความว่าธรรมะของเจ้าจะแผ่ขยายและเจริญรุ่งเรือง พอดีเวลานั้นดักเดมาเข้ามาพร้อมอาหาร บ่งชี้ว่า เจ้าจะเลี้ยงตัวเองได้ด้วยสมัยา [คำปฏิญาณ หรือศีล]

"‘เฮ้อ ! ดูเหมือนว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยอมให้เจ้าไป ดักเมมาช่วยเตรียมเครื่องบูชาดี ๆ ให้หน่อย'

“หลังจากภรรยาของอาจารย์เตรียมเครื่องบูชาแล้ว อาจารย์ก็จัดตั้งมณฑลและประกอบพิธีอภิเษกให้กับข้าพเจ้า พร้อมกับมอบหนทางสู่ความสุกงอมที่ฑากินีสอนด้วยวาจา ท่านยังมอบบทสวดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเกี่ยวกับการหลุดพ้นให้ข้าพเจ้าด้วย

“อาจารย์พูดว่า ‘โอ บทสวดเหล่านี้เป็นคำทำนายของท่านอาจารย์นาโรปะ และท่านขอให้เราสอนบทสวดเหล่านี้แก่เจ้า เจ้าควรปฏิบัติตามคำทำนายของฑากินีและส่งต่อบทสวดเหล่านี้ให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีรากฐานดีที่สุดจนถึงรุ่นที่ 13’

“‘หากผู้ใดสอนธรรมะนี้เพื่อแลกกับเงิน ชื่อเสียง ความเคารพนับถือ หรือความชอบส่วนบุคคล นั่นเป็นการละเมิดคำสอนของฑากินี เจ้าควรเห็นคุณค่าคำสอนด้วยวาจาเหล่านี้เป็นพิเศษ และปฎิบัติตามบทสวดเหล่านี้ ถ้าเจ้าพบลูกศิษย์ที่มีรากฐานดีมาก แม้เขาจะยากจนและไม่มีสิ่งของใด ๆ เป็นของถวาย เจ้าก็ยังควรประกอบพิธีอภิเษกและให้บทสวดแก่เขา และช่วยเขาเพื่อให้เขาเผยแพร่ธรรมะต่อไป สำหรับการทรมานทุกชนิดที่อาจารย์ติโลปะมอบให้ท่านอาจารย์นาโรปะ หรือความทุกข์ทรมานทุกประเภทที่เรามอบให้แก่เจ้า วิธีการเหล่านี้ไม่มีประโยชน์กับคนที่มีรากฐานต่ำ ดังนั้นอย่าใช้วิธีเหล่านั้นอีกต่อไปเลย เดี๋ยวนี้แม้แต่ในอินเดีย การปฏิบัติธรรมก็ย่อหย่อน ดังนั้นวิธีการที่เข้มงวดอย่างมากเหล่านี้จึงไม่เหมาะสมกับทิเบตอีกแล้ว

“‘ธรรมะของฑากินีทั้งหมดมี 9 ชุด และเราได้สอนเจ้าแล้ว 4 ชุด สำหรับที่เหลืออีก 5 ชุด ลูกศิษย์คนหนึ่งของเราจะเดินทางไปอินเดียในภายหลังและเรียนรู้จากลูกศิษย์ของนาโรปะ ธรรมะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อสรรพชีวิต และเจ้าควรแสวงหาธรรมะนี้

“'เจ้าอาจคิดว่า ตัวเรายากจนมากและไม่มีของถวาย อาจารย์จะสอนบทสวดทั้งหมดให้เราหรือ ขอให้เจ้าอย่าได้มีความสงสัยเหล่านี้ เจ้ารู้ว่าเราไม่ใส่ใจกับของถวายที่เป็นวัตถุเลย ถ้าเจ้าขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติ และใช้สิ่งนี้เป็นของถวาย นั่นคือของถวายที่เราชอบอย่างแท้จริง เจ้าต้องพยายามด้วยความขยันหมั่นเพียรและประสบความสำเร็จ !

“‘เราได้สอนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งหมดจากอาจารย์นาโรปะและคำสอนด้วยวาจาจากฑากินีให้แก่เจ้าแล้ว อาจารย์นาโรปะสอนบทสวดเหล่านี้ให้แก่เราเพียงผู้เดียว และไม่ได้สอนให้ศิษย์คนอื่นเลย เราส่งต่อให้เจ้าเหมือนการเทน้ำจากขวดหนึ่งไปยังอีกขวดหนึ่งโดยไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เพื่อแสดงให้เจ้าเห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริงและเราไม่ได้พูดเกินจริงเลย บัดนี้เราขอสัญญาต่อหน้าอาจารย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและเทพทั้งปวง’

“หลังจากพูดเช่นนั้น ท่านก็วางมือบนศีรษะของข้าพเจ้าแล้วพูดว่า 'ลูกชาย การเห็นเจ้าจากไปในครั้งนี้ ทำให้เรารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก แต่ธรรมะที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งหมดล้วนไม่เที่ยง ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้ เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปเลย อยู่ที่นี่อีกสองสามวันเพื่อทบทวนบทสวดทั้งหมด หากเจ้ามีคำถาม จงถามเรา เราจะช่วยตอบคำถามเหล่านั้น'

“ข้าพเจ้าทำตามคำแนะนำของอาจารย์ ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นอีกหลายวันและสะสางความสงสัยทั้งหมด อาจารย์พูดว่า 'ดักเมมา ช่วยเตรียมเครื่องบูชาที่ดีที่สุดเพื่อการอำลามิลาให้หน่อย' ภรรยาของอาจารย์ได้เตรียมเครื่องบูชาสำหรับอาจารย์ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ฑากินี และเทพผู้พิทักษ์ รวมถึงการจัดงานเลี้ยงให้กับพี่น้องวัชระด้วย อาจารย์แสดงความสามารถเหนือธรรมชาติของท่านอย่างเต็มที่ บางครั้งท่านปรากฏตัวเป็นเทพแห่งเหวัชระ บางครั้งก็ปรากฏตัวเป็นเทพแห่งจักรสมวรา และบางครั้งก็ปรากฏเป็นเทพแห่งคุหยะสมาชะ เครื่องประดับอันงดงามของท่าน ได้แก่ ระฆังวัชระ สากวัชระ วงล้อ อัญมณี ดอกบัว และดาบ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน เสียงโอม อา และฮูม (คำว่า โอม อา ฮูม เป็นพื้นฐานของบทสวดลับทั้งหมด โดยโอมคือสีแดง อาคือสีขาว และฮูมคือสีน้ำเงิน) สามคำนี้เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ปรากฏออกมาทุกรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจารย์พูดว่า ‘ทั้งหมดนี้เป็นเพียงพลังเหนือธรรมชาติของร่างกายเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างกว้างขวาง แต่มันก็ยังเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาโดยมีประโยชน์เพียงเล็กน้อย เราแสดงมันออกมาในตอนนี้ มิลาเรปะ เพราะว่าวันนี้พวกเรากำลังอำลาเจ้า’

“เมื่อเห็นอาจารย์ที่มีคุณธรรมดั่งพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างที่สุด โดยคิดว่า 'เราจะบำเพ็ญอย่างหนักและบรรลุถึงพลังเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกับอาจารย์ให้ได้'

“อาจารย์ถามว่า 'เจ้าเห็นไหม ตอนนี้เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่หรือไม่’

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'กระผมเห็นแล้ว ท่านอาจารย์ ! กระผมอดไม่ได้ที่จะเกิดความมุ่งมั่น กระผมปรารถนาที่จะบำเพ็ญอย่างเต็มที่ และได้รับพลังเหนือธรรมชาติเหมือนท่านอาจารย์ในอนาคต’

“อาจารย์พูดว่า 'ใช่ เจ้าต้องบำเพ็ญให้ดี ขอให้จำคำสอนจากเรา ประหนึ่งภาพลวงตา และฝึกจนบรรลุอาณาจักรเขตแดนนั้น สำหรับสถานที่บำเพ็ญ เจ้าควรใช้ถ้ำในภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ หุบเขาชัน และป่าลึก ในบรรดาถ้ำต่าง ๆ เจ้าอาจไปยังสถานที่ที่ปรมาจารย์ชาวอินเดียเคยปฏิบัติธรรม หรือไปที่ลาปชิคังครา ซึ่งเป็น 1 ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 24 แห่ง นอกจากนี้ยังมีโยลโมคังครา ตามที่ทำนายไว้ในพระสูตรอวตังสกะ และจูบาร์แห่งดริน ซึ่งฑากินีมักจะมารวมตัวกัน สถานที่ทั้งหมดนี้เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการทำสมาธิ นอกจากนี้ สถานที่ห่างไกลอื่น ๆ ที่ไม่มีผู้คนก็อาจเหมาะสมเช่นกันหากมีบุญวาสนากำหนดไว้แล้ว เจ้าควรจะประสบความสำเร็จในขณะที่ฝึกในสถานที่เหล่านี้’

“'ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในทิศตะวันออกด้วย แต่บุญวาสนาที่กำหนดไว้ยังไม่มาถึง เมื่อเจ้าเผยแผ่ธรรมะในอนาคต จะมีบางคนเเติบโตและเจริญรุ่งเรืองในสถานที่เหล่านี้

“'เจ้าควรไปปฏิบัติในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามคำพยากรณ์ดังกล่าวข้างต้น เมื่อเจ้าบรรลุผลสำเร็จ ความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นเครื่องบูชาให้อาจารย์ เป็นรางวัลให้พ่อแม่ และเป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิตด้วย นอกจากการบรรลุพุทธภาวะแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ถือว่าเป็นเครื่องบูชาที่ดีที่สุด การตอบแทนคุณขั้นสูงสุดและความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง หากไม่บรรลุความสำเร็จ แม้จะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี ก็เป็นเพียงการใช้ชีวิตนานขึ้นเพื่อก่อกรรมมากขึ้นในชีวิตนี้ ดังนั้นเจ้าต้องละทิ้งความโลภในชีวิตและความปรารถนาใด ๆ ต่อโลกนี้ อย่าเกี่ยวข้องกับคนที่หลงระเริงอยู่กับเรื่องทางโลก หรือพูดพร่ำเพรื่อเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ แต่เจ้าควรมุ่งหน้าบำเพ็ญด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างเต็มที่ !’

“ขณะที่อาจารย์พูดเช่นนั้น อาจารย์ก็หลั่งน้ำตา ท่านมองดูข้าพเจ้าด้วยความเมตตา แล้วพูดต่อว่า ‘ลูกชาย ในฐานะบิดาของเจ้า เราจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้วในโลกใบนี้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้า จงอย่าลืมเราเช่นกัน หากเจ้าทำตามคำพูดของเราได้ เราจะได้พบกันอย่างแน่นอนที่ธักปา คัดโร (หนึ่งในดินแดนบริสุทธิ์) ในอนาคต ลูกชาย เจ้าควรจะมีความสุข !

“'เมื่อเจ้าฝึกปฎิบัติในอนาคต เจ้าจะพบกับอุปสรรคจากการไหลเวียนของพลังงานถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง ถึงเวลานั้น เจ้าสามารถเปิดสิ่งนี้และอ่านได้ กรุณาอย่าเปิดมันก่อนถึงเวลานั้น' อาจารย์มอบจดหมายปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำคำพูดของอาจารย์ด้วยใจและรู้สึกว่ามันมีประโยชน์เกินกว่าจะบรรยายได้ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของอาจารย์ ความเมตตาของข้าพเจ้าจะเพิ่มมากขึ้น และข้าพเจ้าจะก้าวหน้าในการบำเพ็ญ พระคุณอันล้ำลึกของท่านอาจารย์นั้นเกินจะบรรยายเป็นคำพูดได้จริง ๆ !

“จากนั้นอาจารย์ก็พูดกับภรรยาของท่านว่า 'ดักเมมา ช่วยเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของชายผู้ทรงพลังมิลาในวันพรุ่งนี้ด้วย แม้ผมจะรู้สึกเศร้าใจอย่างที่สุด แต่ผมจะไปส่งเขาด้วย ลูกชาย คืนนี้เรามาอยู่ด้วยกันเถิด เพื่อให้เราพ่อลูกได้คุยกันเต็มที่'

“คืนนั้นข้าพเจ้าพักอยู่ที่ห้องของอาจารย์พร้อมกับท่านและภรรยาของท่าน ภรรยาของท่านเศร้ามากและร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์พูดว่า ‘ดักเมมา คุณร้องไห้ทำไม เขาได้เรียนรู้บทสวดของฑากินีที่ลึกซึ้งที่สุดจากอาจารย์แล้ว และกำลังจะไปทำสมาธิในถ้ำ มีอะไรให้ร้องไห้ล่ะ สรรพชีวิตมีจิตพุทธโดยธรรมชาติ เนื่องจากความไม่รู้ พวกเขาจึงไม่สามารถตระหนัก แต่กลับเสียชีวิตด้วยความเจ็บปวด แท้จริงแล้ว ผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์แต่ไม่ปฏิบัติธรรมต่างหากที่น่าสงสารที่สุด พวกเขาคือคนที่เราควรสงสาร แต่ถ้าคุณจะร้องไห้ให้พวกเขา คุณจะต้องร้องไห้ทั้งวัน’

“ภรรยาของอาจารย์พูดว่า 'คำพูดของคุณถูกต้อง แต่จะมีใครที่มีความเมตตาขนาดนั้น ลูกชายของเรามีความฉลาดเป็นเลิศทั้งทางโลกและทางธรรม เขาคงจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่เขากลับเสียชีวิต และฉันเจ็บปวดที่สุด ตอนนี้ศิษย์ผู้นี้ซึ่งเชื่อฟังเสมอ ไม่เคยทำผิด ดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา ปัญญา และความเมตตา เขากำลังจะจากไป ฉันไม่เคยมีศิษย์ที่ดีเท่านี้มาก่อน ฉันจึงอดเศร้าใจไม่ได้...' ก่อนที่เธอจะพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาอีก และเธอก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง

“ข้าพเจ้าก็อดร้องไห้ไม่ได้เช่นกัน และอาจารย์ก็เอามือของท่านเช็ดน้ำตาของตัวเองอยู่ตลอด เราไม่อยากจากกัน เราทุกคนจึงเจ็บปวดและพูดกันน้อยมาก ดังนั้นในคืนนั้น ที่จริงเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย

“เช้าวันต่อมา พวกเรา 13 คน อาจารย์และเหล่าลูกศิษย์ เดินหลายไมล์พร้อมของถวายที่เป็นอาหารเพื่อส่งข้าพเจ้า ทุกคนอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเนื่องจากการจากลา เมื่อมาถึงเนินเขาเผยแพร่ธรรมซึ่งมองเห็นได้ไกลทุกทิศทุกทาง เราก็นั่งลงเพื่อจัดตั้งพิธีบูชา

“อาจารย์จับมือข้าพเจ้าแล้วพูดว่า 'ลูกชาย ตอนนี้เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปที่อู-ซัง มีโจรมากมายในซัง และเราคิดว่าจะส่งคนไปกับเจ้าด้วย แต่เพราะเหตุผลแห่งกรรม เจ้าจึงจำเป็นต้องเดินทางคนเดียว แม้ว่าเจ้าจะอยู่คนเดียว เราจะอธิษฐานขอความคุ้มครองจากท่านอาจารย์ เทพ ฑากินี และผู้พิทักษ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าจะปลอดภัยบนท้องถนน อย่างไรก็ตาม เจ้าควรระวังตัวด้วย’

“'เจ้าควรไปยังสถานที่ของลามะง็อกตันก่อน และเปรียบเทียบบทสวดกับเขาเพื่อดูว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ จากนั้นเจ้าควรกลับบ้าน เจ้าควรอยู่ที่บ้านเกิดเพียง 7 วัน หลังจากนั้น เจ้าควรไปนั่งสมาธิบนภูเขาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น’

“ภรรยาของอาจารย์เตรียมเสื้อผ้า หมวก รองเท้า และอาหารสำหรับการเดินทางของข้าพเจ้า เธอมอบสิ่งเหล่านี้ให้ข้าพเจ้าแล้วพูดทั้งน้ำตาว่า 'ลูกชาย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงทรัพย์สินทางวัตถุ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้เห็นเจ้าในฐานะแม่ของเจ้า เราขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยและมีความสุข ได้โปรดสัญญาว่าเราจะพบกันอีกในโอดดิยานา (ดินแดนของฑากินี) !'

“หลังจากที่เธอพูดจบ ภรรยาของอาจารย์ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้งด้วยความโศกเศร้า หลายคนที่มาส่งข้าพเจ้าก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน ข้าพเจ้าก้มกราบอาจารย์และภรรยาของท่านด้วยความจริงใจ เอาศีรษะแตะที่เท้าของพวกท่านเพื่อรับพร แล้วเราก็จากกัน

''ข้าพเจ้าหันกลับไปมองเป็นระยะ ๆ ทุกคนที่มาอำลายังคงร้องไห้ ข้าพเจ้าอดที่จะมองกลับไปไม่ได้ ถนนบนภูเขาค่อย ๆ โค้งเลี้ยวไป และข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ มองเห็นอาจารย์และภรรยาของท่านน้อยลงจนมองไม่เห็นอีกเลย

“หลังจากเดินไปได้สักพักและข้ามลำธารสายหนึ่ง ข้าพเจ้าหันกลับไปมอง มันก็ไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าแยกอาจารย์จากคนอื่น ๆ ที่ยังคงมองมาทางนี้ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่จนแทบจะอยากวิ่งกลับไป ในทางกลับกัน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้บทสวดเพื่อบรรลุความสำเร็จบริบูรณ์แล้ว ตราบใดที่ข้าพเจ้าไม่ทำกรรมชั่ว คิดถึงอาจารย์และบูชาอาจารย์อยู่เสมอ ก็เปรียบเสมือนว่าข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าจะได้พบท่านอาจารย์และภรรยาของท่านที่ธักปา คัดโรอย่างแน่นอน คราวนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านก่อน แล้วจึงกลับมาเยี่ยมอาจารย์ก็ได้ ใช่ไหม ข้าพเจ้าจึงระงับความเศร้าในใจแล้วเดินไปยังสถานที่ของลามะง็อกตัน

“หลังจากพบพบกับลามะง็อกตัน ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบบทสวดของข้าพเจ้ากับของท่าน ท่านอธิบายตันตระและอธิบายธรรมได้ดีกว่าข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าท่านในด้านบทสวดเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญ โดยเฉพาะคำสอนด้วยวาจาจากฑากินี ที่จริงข้าพเจ้ารู้มากกว่าท่าน ในที่สุดข้าพเจ้าก็หมอบกราบท่าน ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วก็มุ่งหน้ากลับบ้าน

“ปกติระยะทางนี้ใช้เวลาเดินเท้า 15 วัน แต่ข้าพเจ้ามาถึงภายใน 3 วัน ข้าพเจ้าคิดว่า 'ผลของการทำสมาธิช่างอัศจรรย์จริง ๆ !'”

เรชุงปะถามว่า “ท่านอาจารย์ หลังจากที่ท่านกลับไปบ้านเกิดแล้ว เหมือนกับที่ท่านฝันหรือไม่ ท่านได้พบแม่ของท่านหรือไม่”

ท่านอาจารย์ตอบว่า “สถานการณ์ที่บ้านของข้าพเจ้าเหมือนกับที่ฝัน ข้าพเจ้าไม่ได้พบแม่”

เรชุงปะพูดว่า “ตอนที่ท่านกลับบ้านเกิดเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพบใครในหมู่บ้านหรือไม่”

“เมื่อข้าพเจ้าเดินทางเข้าใกล้บ้านเกิด ข้าพเจ้าหยุดอยู่ที่แม่น้ำสายหนึ่งซึ่งอยู่ทางต้นน้ำของหมู่บ้าน ที่จุดนั้นสามารถมองเห็นบ้านของข้าพเจ้าได้ มีเด็ก ๆ หลายคนอยู่ที่นั่นพร้อมกับแกะ ข้าพเจ้าถามเด็ก ๆ ว่า 'สหาย ขอถามหน่อย ใครอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นั้น'

“เด็กโตในกลุ่มตอบว่า 'บ้านหลังนี้เรียกว่าบ้านสี่เสาแปดคาน นอกจากผีแล้ว ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น'

“'เจ้าของบ้านหลังนั้นเสียชีวิตหรือเปล่า หรือย้ายออกไปแล้ว’

“'ครอบครัวนี้เคยร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน และพวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียว เนื่องจากผู้เป็นพ่อเสียชีวิตเร็วและจัดการพินัยกรรมได้ไม่ดี ญาติ ๆ จึงยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวไปเมื่อเขาเสียชีวิต หลังจากลูกชายโตและทวงทรัพย์สินคืน ญาติ ๆ ไม่ยอมคืนให้ ลูกชายจึงปฏิญาณว่าจะเรียนคาถา จากการร่ายคาถาเรียกพายุลูกเห็บ เขาคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายและทำให้หมู่บ้านเสียหายร้ายแรง ทุกคนในหมู่บ้านของเรากลัวเทพผู้พิทักษ์ของเขา เราไม่กล้าเหลือบมองบ้านของเขา ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปในบ้านหลังนั้น ! ผมคิดว่าบ้านหลังนั้นมีเพียงศพของแม่ของเขาและผีเท่านั้น ลูกชายคนนี้มีน้องสาวคนหนึ่งซึ่งมีฐานะยากจนมากและทอดทิ้งศพของแม่ เธอออกไปขอทานที่ไหนสักแห่ง ส่วนลูกชาย พวกเราไม่ได้ยินข่าวคราวของเขามาหลายปีแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ บางคนบอกว่ามีคัมภีร์มากมายในบ้านหลังนั้น ถ้าคุณกล้า ก็เข้าไปดูเถิด’

“ข้าพเจ้าถามเด็กเลี้ยงแกะคนนี้ว่า 'เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมากี่ปีแล้ว'

“เขาตอบว่า 'มารดาของเขาเสียชีวิตประมาณ 8 ปีแล้ว ผมจำเรื่องคาถาและพายุลูกเห็บได้ชัดเจน ผมได้ยินเรื่องอื่น ๆ จากผู้ใหญ่ตอนที่ผมยังเด็กมาก ตอนนี้ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว'

“ข้าพเจ้าคิดว่า 'ชาวบ้านกลัวเทพผู้พิทักษ์ของเราและไม่กล้าทำร้ายเรา' ข้าพเจ้ายังรู้ด้วยว่าแม่เสียชีวิตแล้ว และน้องสาวของข้าพเจ้าก็ออกไประเหเร่ร่อนขอทาน ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าลึก ๆ ในใจ

“ตอนพลบค่ำขณะที่ไม่มีคนอยู่ในบริเวณนั้น ข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำและร้องไห้อยู่นาน พอมืด ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปในหมู่บ้าน และทุกอย่างก็เหมือนในความฝัน สนามด้านนอกเต็มไปด้วยวัชพืชและไม้หนาม บ้านที่เคยงดงามและศาลาของครอบครัวที่ใช้สำหรับสักการะพระพุทธก็ชำรุดทรุดโทรมแล้ว เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าพบคัมภีร์พระสูตรมหารัตนกูฏที่ได้รับความเสียหายจากน้ำฝน มีเศษซากจากผนังและมีมูลนกติดอยู่ คัมภีร์นี้เกือบจะกลายเป็นรังของหนูและนกแล้ว

“เมื่อเห็นทั้งหมดนี้และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเศร้าที่ถาโถมเข้าสู่ในใจอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ประตูและเห็นกองสิ่งสกปรกกองใหญ่ปกคลุมไปด้วยวัชพืชและห่อด้วยเศษเสื้อผ้า ข้าพเจ้าใช้มือเขี่ยกองสิ่งสกปรกออกบางส่วน และเห็นกองกระดูกมนุษย์อยู่ข้างใต้ ตอนแรกข้าพเจ้าสับสน แล้วก็รู้ว่ามันเป็นกระดูกของแม่ ความโศกเศร้าจุกแน่นที่ลำคอของข้าพเจ้า และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจแสนสาหัส แล้วข้าพเจ้าก็หมดสติไป หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าก็ฟื้นขึ้นมา และนึกถึงบทสวดของอาจารย์ทันที ข้าพเจ้ากำหนดภาพนิมิต และผสานวิญญาณของแม่เข้ากับหัวใจของข้าพเจ้า พร้อมกับปัญญาของปรมาจารย์ที่ถ่ายทอดด้วยวาจา ข้าพเจ้าแนบศีรษะกับกระดูกของแม่แล้วตั้งสมาธิทั้งกาย วาจา และใจไว้ที่มหามุทราสมาธิ ไม่กล้าหลุดจากสมาธิแม้แต่น้อย เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทั้งบิดาและมารดาหลุดพ้นจากอาณาจักรเขตแดนแห่งทุกข์ และก้าวสู่ดินแดนบริสุทธิ์

“หลังจากผ่านไป 7 วัน ข้าพเจ้าก็ออกจากสมาธิ เมื่อพิจารณาทบทวนแล้ว ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า ธรรมะทั้งหมดเกี่ยวกับวัฏสงสารนั้นไร้ความหมาย เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีความหมาย ข้าพเจ้าคิดจะสร้างพระพุทธรูปด้วยกระดูกของแม่และวางพระสูตรมหารัตนกูฏไว้ข้างหน้าเพื่อเป็นเครื่องบูชา จากนั้นข้าพเจ้าจะไปที่ถ้ำดราการ์ ทาโซ (ถ้ำหินขาวฟันม้า) เพื่อบำเพ็ญเพียรอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าข้าพเจ้าไม่แน่วแน่และวอกแวกไปตามลมทั้งแปดของโลก (ความทุกข์และความสุข การสูญเสียและการได้ การดูหมิ่นและการสรรเสริญ ความสำเร็จและความล้มเหลว) ข้าพเจ้าจะขอตายดีกว่าจะถูกล่อลวงด้วยสิ่งเหล่านี้ หากใจของข้าพเจ้าแสวงหาความสะดวกสบายหรือความสุขแม้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าหวังว่าฑากินีและเทพผู้พิทักษ์จะปลิดชีวิตข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าตั้งปณิธานกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้หลายครั้ง

“สุดท้าย ข้าพเจ้าก็เก็บซากศพของแม่ และหลังจากทำความสะอาดมูลนกออกจากคัมภีร์พระสูตรมหารัตนกูฏแล้ว ข้าพเจ้าพบว่าความเสียหายจากน้ำฝนไม่ได้มากนัก และยังอ่านตัวหนังสือได้ ข้าพเจ้าแบกกระดูกของแม่และพระสูตรมหารัตนกูฏไว้บนหลัง ในใจข้าพเจ้ารู้สึกอ้างว้างอย่างที่สุด และข้าพเจ้ามุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะออกจากโลกแห่งวัฏสงสารนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจละทิ้งโลกนี้และปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องอย่างขยันหมั่นเพียร เมื่อเดินออกไปนอกประตู หัวใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ขณะเดิน ข้าพเจ้าร้องเพลงที่ตระหนักถึงความกระจ่างชัดเกี่ยวกับโลกนี้

“ข้าพเจ้าร้องเพลงและเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบ้านของครูที่เคยสอนข้าพเจ้าอ่านหนังสือ แต่ครูได้เสียชีวิตแล้ว ข้าพเจ้ามอบคัมภีร์พระสูตรมหารัตนกูฏทั้งหมดให้กับลูกชายของครูเป็นเครื่องบูชา และพูดว่า 'ผมขอมอบคัมภีร์นี้เป็นเครื่องบูชาให้แก่คุณ ได้โปรดสร้างพระพุทธรูปโดยใช้ซากศพของแม่ของผมได้ไหม'

“ลูกชายของครูตอบว่า 'ไม่ได้ ! ผมรับคัมภีร์ของคุณไม่ได้เพราะมันมีเทพผู้พิทักษ์อยู่เบื้องหลัง แต่ผมปั้นพระพุทธรูปให้คุณได้’

“ข้าพเจ้าพูดว่า 'ได้โปรดอย่ากังวลเลย ผมมอบเครื่องบูชานี้ให้แก่คุณด้วยตัวเอง เทพผู้พิทักษ์จะไม่รบกวนคุณอย่างแน่นอน’

“เขาพูดว่า 'เช่นนั้นผมก็มั่นใจ' แล้วเขาก็สร้างพระพุทธรูปจากกระดูกของแม่ของข้าพเจ้าและดินเหนียว หลังจากทำพิธีบวงสรวงแล้ว เขาก็วางพระพุทธรูปไว้ในเจดีย์ หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาพูดว่า 'โปรดพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด แล้วเราจะได้คุยกันให้จุใจ'

“ข้าพเจ้าตอบว่า 'ผมไม่มีเวลาคุยกับคุณนานนัก ผมต้องการไปบำเพ็ญโดยเร็วที่สุด'

“เขาพูดว่า 'ถ้าเช่นนั้น ผมขอเชิญคุณพักที่นี่กับผมสักคืนหนึ่งได้ไหม ผมยังต้องจัดหาอาหารให้คุณในวันพรุ่งนี้สำหรับการฝึกบำเพ็ญด้วย’ ข้าพเจ้าจึงตกลงว่าจะพักค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน เขาถามว่า ‘เมื่อคุณอายุยังน้อย คุณได้เรียนคาถาอาคม ตอนนี้คุณกำลังศึกษาธรรมะที่ถูกต้องอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก และคุณจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนในอนาคต คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า คุณได้พบกับปรมาจารย์แบบใด และคุณได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง’

“ข้าพเจ้าบอกเขาอย่างละเอียดว่า ในตอนแรก ข้าพเจ้าติดตามลามะนิกายแดง และได้รับธรรมะแห่งซกเช็น (ความสมบูรณ์ยิ่งใหญ่) และต่อมาได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์มาร์ปะ

“เขาได้ฟังเช่นนี้ก็พูดว่า 'นี่อัศจรรย์มาก ถ้าเช่นนั้น คุณก็น่าจะถืออาจารย์มาร์ปะเป็นแบบอย่างโดยหาบ้านและรับดีเซสซึ่งเป็นคู่หมั้นของคุณมาเป็นภรรยา การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีของอาจารย์ของคุณเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ’

“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘อาจารย์มาร์ปะแต่งงานเพราะท่านต้องการบำเพ็ญประโยชน์แก่สรรพชีวิตตามแนวทางนั้น ผมไม่มีความสามารถเช่นนั้น' 'ในสถานที่ที่สิงโตกระโดดข้ามได้ ถ้ากระต่ายประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปและพยายามกระโดดตาม กระต่ายตัวนั้นก็จะตกลงมาตายอย่างแน่นอน' นอกจากนี้ ข้าพเจ้ารังเกียจโลกแห่งวัฏสงสารนี้ที่สุด นอกจากบทสวดและธรรมะจากอาจารย์แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดจากโลกนี้เลย การไปนั่งสมาธิในถ้ำถือเป็นเครื่องบูชาที่ดีที่สุดแก่อาจารย์ ข้าพเจ้ากำลังสืบทอดประเพณีด้วยวิธีนี้ และยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้อาจารย์มีความสุข หากใครต้องการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและเผยแผ่พุทธธรรม ก็จะสามารถบรรลุได้ผ่านการฝึกบำเพ็ญเท่านั้น เช่นเดียวกับการช่วยเหลือพ่อแม่ หรือช่วยเหลือตนเอง นอกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ ไม่คิดใส่ใจ และไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย

“‘การกลับมาบ้านครั้งนี้ ผมเห็นบ้านที่ถูกทิ้งร้างและครอบครัวที่แตกแยก ทำให้ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าชีวิตนั้นไม่จีรังและคาดเดาไม่ได้ ผู้คนทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินหรือสะสมความมั่งคั่ง แต่สุดท้าย มันก็เป็นเพียงความฝัน ผมจึงยินดีที่จะจากโลกนี้ไปมากขึ้นกว่าเดิม'

“‘บ้านก็เหมือนบ้านที่ถูกไฟไหม้ ผู้ที่ยังไม่เคยประสบกับความทุกข์ทรมาน หรือผู้ที่ลืมว่าเราจะต้องตายในวันข้างหน้า และต้องเผชิญกับความยากลำบากในอาณาจักรเขตแดนที่ต่ำในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด เขาจะแสวงหาความสุขในโลกนี้ แต่ผมมองทะลุสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าเป็นความยากจน ความหิวโหย หรือการถูกผู้อื่นเยาะเย้ย ผมจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อการบำเพ็ญ เพื่อตัวเอง และเพื่อสรรพชีวิต'

“ความเสื่อมโทรมของบ้านของข้าพเจ้า การเสียชีวิตของแม่ของข้าพเจ้า และการจากไปของน้องสาวเป็นบทเรียนที่ไม่อาจลืมเลือน และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความไม่เที่ยง ข้าพเจ้าอดร้องไห้ไม่ได้อีกครั้ง 'จงไปนั่งสมาธิในภูเขาลึก' ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะละทิ้งความสุขสบายใด ๆ ทุ่มเทชีวิต และใช้เวลาทั้งหมดในการปฏิบัติธรรม”

(มีต่อ)