(Minghui.org) หลังจากนั้นหลายปี ในวันรำลึกถึงท่านอาจารย์ที่เคารพ สายรุ้งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ดอกไม้โปรยปรายลงมาจากสวรรค์ ดนตรีสวรรค์บรรเลง กลิ่นหอมชวนรื่นรมย์อบอวลในอากาศ พร้อมกับปาฏิหาริย์อีกมากมายหลายชนิด นอกจากนี้ ดอกไม้มหัศจรรย์นานาชนิดก็เบ่งบานทั่วแผ่นดิน พืชผลอุดมสมบูรณ์ติดต่อกันหลายปี และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บหรือสงคราม ปาฏิหาริย์ทุกประเภทเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากเกินกว่าจะเอ่ยถึง
(ต่อจาก ตอนที่ 11)
ท่านอาจารย์ที่เคารพดูเหมือนมีอาการป่วย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสัญลักษณ์อันเป็นมงคล ทั้งรุ้งกินน้ำและดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝนเหมือนตอนที่ท่านแสดงธรรม ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้ว่าท่านอาจารย์ที่เคารพจะไปสู่โลกอื่นจริง ๆ แล้ว เหล่าศิษย์ เช่น เรปะ จือวา โอ, งันซง เรปา และเซบัน เรปะ ได้ถามท่านอาจารย์ที่เคารพว่า “ท่านอาจารย์ ท่านจะไปยังดินแดนบริสุทธิ์แห่งใดหลังจากปรินิพพาน พวกเราเหล่าศิษย์ควรสวดภาวนาไปทางทิศใด”
ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะสวดภาวนาไปทางทิศใดก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเจ้ามีศรัทธาและสวดภาวนาด้วยความจริงใจ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างแน่นอน เราจะประทานพรตามที่พวกเจ้าอธิษฐานขออย่างแน่นอน”
“ครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าพระอักโษภยะพุทธเจ้า ณ ดินแดนบริสุทธิ์ทางตะวันออกแห่งอภิรติ ข้าพเจ้าได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าข้าพเจ้ายังมีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้าอีก นั่นคือความประสงค์และพินัยกรรมของข้าพเจ้า หลังจากข้าพเจ้า มิลาเรปะ สิ้นชีวิตแล้ว นอกจากของใช้ประจำวันเพียงไม่กี่ชิ้น เราไม่มีทรัพย์สินใดเหลืออยู่เลย พวกเจ้าจงมอบเสื้อผ้าฝ้ายและไม้เท้าของข้าพเจ้าให้แก่เรชุงปะ เขาจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้ ช่วยบอกเขาว่า ของสองชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปปาทของการปฏิบัติของเรา ก่อนที่เรชุงปะจะมาถึง ห้ามเคลื่อนย้ายร่างกายของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด
“ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมและการสังเกตที่ดีเพื่อเผยแผ่ธรรม หมวกของท่านอาจารย์ไมตรีปะและไม้กฤษณามอบให้กับอุปะ ตนปะ จือวา โอให้รับชามไม้ใบนี้ไป งันซงให้รับถ้วยหัวกะโหลกใบนี้ หินเหล็กไฟนี้มอบให้เซบัน เรปะ และช้อนกระดูกให้ดริกอม เรปะ ผ้าปูพื้นผืนนี้ให้ตัดเป็นชิ้น ๆ เพื่อแบ่งให้ศิษย์คนอื่น ๆ คนละ 1 ชิ้น สิ่งของเหล่านี้ไม่มีมูลค่าเป็นเงิน ข้าพเจ้ามอบพวกมันให้พวกเจ้าโดยหลักก็เพื่อแสดงถึงปฏิจจสมุปปาท
“ความประสงค์และพินัยกรรมที่สำคัญที่สุดของข้าพเจ้า คือทองคำที่ข้าพเจ้า มิลาเรปะ สะสมมานานหลายปี ทั้งหมดเก็บไว้ใต้เตาไฟนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าเสียชีวิตแล้ว ศิษย์ที่โง่เขลาหลายคนอาจทะเลาะกันเรื่องการจัดการพิธีศพของข้าพเจ้า ถึงเวลานั้น พวกเจ้าจงเปิดพินัยกรรมดู มันมีคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อให้พวกเจ้าปฏิบัติ
“บางคนที่เรียนธรรมะไม่มีบุญกุศลมากนัก พวกเขาทำพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่นี่หรือทำความดีบางอย่างเพื่อบุญกุศลที่นั่นเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและความเคารพ ที่จริง เมื่อเขาถวายของหนึ่งร้อย พวกเขาหวังผลกลับคืนมาหนึ่งพัน เมื่อฆราวาสเหล่านี้จัดพิธีกรรมทางศาสนาพุทธด้วยความละโมบในผลบุญ ก็เหมือนกับการผสมยาพิษในอาหารอันโอชะแล้วกินเข้าไป ดังนั้นพวกเจ้าไม่ควรดื่มยาพิษแห่งการแสวงหาชื่อเสียงในชาตินี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องละทิ้งสิ่งที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนเป็นธรรมะแต่ที่จริงเป็นเรื่องของโลกฆราวาสให้หมดสิ้น จงทุ่มเทและขยันหมั่นเพียรและปฏิบัติธรรมตามพุทธธรรมที่บริสุทธิ์”
เหล่าศิษย์ถามว่า “ถ้าเป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิต พวกเราสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางโลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้หรือไม่”
ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดว่า “ถ้าแรงจูงใจในการแสดงปรากฏการณ์ทางโลกปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิงก็ทำได้ แต่การทำเช่นนั้นเป็นเรื่องยากมากจริง ๆ ถ้าใครทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเนื่องจากความโลภของตนเอง เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วยเหลือผู้อื่น เปรียบเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นลงไปว่ายน้ำ เขาไม่เพียงว่ายน้ำไม่ได้ แต่ยังต้องจมน้ำตายอีกด้วย ดังนั้น ไม่ควรพูดถึงการทำสิ่งที่ดีเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นก่อนจะเข้าใจสัจธรรมของความว่างเปล่า ถ้าไม่บำเพ็ญตนและรับรู้ไม่ได้ การช่วยเหลือสรรพชีวิตก็เหมือนคนตาบอดนำทางคนตาบอด เขาจะตกเหวของความเห็นแก่ตัวในที่สุด ที่จริง พื้นที่ว่างนั้นไร้ขอบเขต และจำนวนสรรพชีวิตก็นับไม่ถ้วน หลังจากบำเพ็ญสำเร็จแล้ว เขาจะมีหนทางมากมายที่จะช่วยเหลือสรรพชีวิต เขาสามารถช่วยเหลือสรรพชีวิตได้ทุกที่ทุกเวลา ก่อนบำเพ็ญสำเร็จบริบูรณ์ พวกเจ้าควรมีเจตนาที่บริสุทธิ์และความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ เพียรพยายามในการแสวงหาพุทธภาวะเพื่อประโยชน์แก่สรรพชีวิต ให้ละทิ้งความคิดเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ชื่อเสียง และทรัพย์สมบัติ จงอดทนต่อความยากลำบากและแบกรับภาระไว้ในใจ นี่คือหนทางที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ นี่คือการช่วยสรรพชีวิต นี่คือการบรรลุหนทางธรรม ปฏิบัติ และบรรลุประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น”
ท่านอาจารย์มิลาเรปะที่เคารพกล่าวต่อว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก ขอให้จำคำพูดของข้าพเจ้าไว้และสานต่อประเพณีของข้าพเจ้าต่อไป” พอพูดจบ ท่านก็เข้าสู่สมาธิระดับลึกพร้อมแสดงปรากฏการณ์การละสังขารในวัย 84 ปี ตอนนั้นเป็นเช้าตรู่ของวันที่ 14 ธันวาคม 1135 ดวงดาวเกือบหายไปหมดแล้ว ดวงอาทิตย์ยามเช้ากำลังทอแสงแรกออกมา ร่างกายของท่านอาจารย์ที่เคารพได้เข้าสู่ธรรมธาตุและปรากฏสภาวะปรินิพพาน
ในขณะนั้น ภาพศักดิ์สิทธิ์จากการรวมตัวกันของทวยเทพและฑากินีนั้นยิ่งใหญ่และงดงามตระการตา รุ้งสีสันสดใสขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สดใสจนเหมือนจะเอื้อมมือไปสัมผัสได้ ทุกสีไขว้กันบนท้องฟ้า โดยมีดอกบัว 8 กลีบอยู่ตรงกลางของรุ้ง เหนือดอกบัวมีมันดาลาที่งดงามอย่างที่สุด แม้แต่จิตรกรที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่สามารถวาดภาพที่งดงามเช่นนี้ได้ เมฆห้าสีที่ปลายเปลี่ยนรูปร่างเป็นธงประดับ สร้อยคอ ฉัตร และรูปทรงอื่น ๆ ที่ไม่จำกัด ดอกไม้ทุกชนิดหลากสีร่วงหล่นลงมาจากฟ้าราวกับสายฝน เมฆหลากสีลอยวนรอบยอดเขาทั้งสี่ทิศ ก้อนเมฆรูปสถูปล้อมรอบใจกลางจูบาร์ ทุกคนสามารถได้ยินเสียงดนตรีและเสียงสรรเสริญจากสวรรค์ แผ่นดินอบอวลด้วยกลิ่นหอม แม้แต่คนธรรมดาในโลกก็ยังสามารถเห็นเทวดาและทวยเทพเต็มไปทั่วพื้นที่ว่างเพื่อถวายเครื่องบูชาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเห็นเทพเปลือยกาย มนุษย์ไม่ประหลาดใจ แต่เทวยเทพกลัวกลิ่นเหม็นจากเนื้อมนุษย์ จึงมักปิดหน้าขณะผ่านคน บางครั้งเทพและมนุษย์ก็พูดคุยหรือทักทายกัน ทุกคนได้เห็นฉากพิเศษเหล่านี้
ทานบดีในนยะนัมได้ยินข่าวปรินิพพานของท่านอาจารย์ที่เคารพ ทุกคนก็มาที่จูบาร์ พวกเขาบอกเหตุผลมากมายแก่ศิษย์เอกและทานบดีในจูบาร์เพื่อขอให้ย้ายร่างของท่านอาจารย์ไปยังนยะนัมเพื่อฝังที่นั่น แต่คำขอนี้ถูกเหล่าศิษย์เอกปฏิเสธ ทานบดีจากนยะนัมจึงขอให้เลื่อนพิธีศพออกไป เพื่อให้โอกาสผู้ศรัทธาในทุกสถานที่ได้พบท่านอาจารย์อีกครั้ง ทานบดีในจูบาร์เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ชาวนยะนัมกลับไปหารือกันและกลับมาพร้อมกับคนที่แข็งแรงกลุ่มหนึ่งเพื่อพยายามแย่งชิงร่างของท่านอาจารย์ไป พวกเขาโต้เถียงกับทานบดีในจูบาร์ และความโกลาหลเกือบนำไปสู่การใช้กำลัง เหล่าศิษย์เอกเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “พวกเราทุกคนต่างเป็นผู้ศรัทธาในท่านอาจารย์ โปรดหยุดทะเลาะกัน เนื่องจากท่านอาจารย์ไปปรินิพพานที่จูบาร์ จึงไม่เหมาะสมที่จะจัดพิธีศพที่นยะนัม โปรดรออยู่ที่นี่ หลังจากพิธีถวายเพลิงเสร็จสิ้น ท่านจะได้รับพระธาตุและอัฐิเป็นเครื่องบูชาอย่างแน่นอน” แต่ผู้คนจากนยะนัม คิดว่าพวกเขามีคนจำนวนมากจึงวางแผนที่จะแย่งร่างของท่านอาจารย์ไปให้ได้ ทันใดนั้น เทพองค์หนึ่งได้ปรากฏบนท้องฟ้า และพูดด้วยเสียงของท่านอาจารย์
ทานบดี ผู้ศรัทธา และสานุศิษย์ ต่างเบิกบานและปีติยินดีอย่างยิ่ง ราวกับได้พบท่านอาจารย์ที่เคารพอีกครั้ง พวกเขาหยุดทะเลาะกันและสวดภาวนาอย่างจริงใจ ในที่สุด ระหว่างการแปรเปลี่ยนร่างที่มหัศจรรย์ ผู้คนในนยะนัมได้รับร่างของท่านอาจารย์อีกร่างหนึ่งไป ส่วนศิษย์เอกและทานบดีในจูบาร์ได้เก็บอีกร่างหนึ่งไว้ พวกเขาอัญเชิญร่างไปถวายเพลิงที่ดูดุล พุก ที่ภูเขาหิมะลาปชิ รุ้งห้าสี เมฆหลากสี ดนตรีจากสวรรค์ กลิ่นหอม และปรากฏการณ์มงคลอื่น ๆ ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในขณะปรินิพพาน
ในจูบาร์ บรรดาศิษย์เอกและทานบดีได้สวดภาวนาอย่างจริงใจติดต่อกันเป็นเวลา 6 วัน ใบหน้าของท่านอาจารย์ที่เคารพก็เปล่งปลั่งขึ้นมาในทันใดราวกับเด็กอายุ 8 ขวบ ศิษย์เอกหลายคนคุยกันว่า “เรชุงปะอาจจะไม่มา ถ้าพวกเราชักช้ากว่านี้ เราอาจไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่อัฐิสำหรับบูชา เราทำพิธีถวายเพลิงโดยเร็วเถอะ” หลังจากหารือกันแล้ว พวกเขาก็ผลัดกันดูหน้าท่านอาจารย์ที่เคารพอีกครั้ง แล้วเคลื่อนศพไปที่หน้าถ้ำ พวกเขาจัดตั้งฐานสำหรับถวายเพลิง วางร่างไว้บนนั้น และวาดมันดาลา แม้จะเทียบกับเครื่องบูชาบนสวรรค์ไม่ได้ แต่มันก็เป็นการจัดเตรียมเครื่องบูชาที่ดีที่สุดในโลกมนุษย์ พิธีถวายเพลิงจะดำเนินการในช่วงเช้าตรู่หลังการสวดภาวนาและพิธีกรรมทั้งหมด แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร ก็จุดไฟไม่ติด ทันใดนั้น รุ้งก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับฑากินี 5 องค์
งันซงพูดว่า “ความประสงค์ของทั้งท่านอาจารย์ที่เคารพและฑากินีต่างบอกเราว่าอย่าเคลื่อนย้ายร่างของท่านอาจารย์ก่อนที่เรชุงปะจะมาถึง แต่เรชุงปะยังไม่มา และร่างอาจจะเน่าเปื่อยในไม่ช้านี้ พวกเราควรทำอย่างไร”
เรปะ จือวา โอ พูดว่า "ตามคำสั่งของท่านอาจารย์ที่เคารพและฑากินี รวมถึงการจุดไฟถวายเพลิงไม่ได้ แสดงว่าเรชุงปะจะมาเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ขอให้พวกเราสวดภาวนาอย่างจริงใจเถิด" พวกเขาจึงย้ายร่างของท่านอาจารย์กลับไปที่ถ้ำ และทุกคนก็สวดภาวนาอย่างจริงจังต่อไป
ตอนนั้น เรชุงปะกำลังนั่งสมาธิอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในโลโรโดล วันหนึ่งหลังเที่ยงคืน ในระหว่างรู้สึกถึงแสงสว่างขณะนอนหลับ เขาเห็นสถูปแก้วส่องสว่างทั่วพื้นที่ว่าง ฑากินีนับไม่ถ้วนได้อัญเชิญสถูปไปยังอีกโลกหนึ่ง พี่น้องวัชระและทานบดีมีอยู่ทุกแห่งบนโลก เสียงขับร้องของทวยเทพและฑากินีดังก้องไปทั่วท้องฟ้า พร้อมกับหมู่เมฆสุดจินตนาการทั่วทุกแห่ง เรชุงปะก้มกราบสถูป ทันใดนั้น ใบหน้าของท่านอาจารย์ที่เคารพก็ปรากฏในสถูปและพูดกับเรชุงปะว่า “ลูกชายเอ๋ย แม้เจ้าจะกลับไปไม่ทันเวลาตามที่ข้าพเจ้าขอ ข้าพเจ้าก็จะยินดีมากถ้าเราพ่อลูกจะได้พบกันอีกครั้ง เราอาจจะไม่ได้เจอกันบ่อยนักในอนาคต จงอย่าพลาดโอกาสอันล้ำค่านี้ เรามาคุยกันให้เต็มที่เถิด” เมื่อพูดจบ ท่านอาจารย์ก็วางมือของท่านลงบนศีรษะของเรชุงปะแล้วยิ้มให้เขา ด้วยความโศกเศร้าและความสุขปะปนกัน เรชุงปะมีศรัทธาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและสัมผัสถึงความรู้สึกอันงดงาม
เมื่อตื่นขึ้น เรชุงปะระลึกได้ว่าท่านอาจารย์ขอให้เขากลับไปให้ทันเวลา เขาตกใจมาก “ท่านอาจารย์ปรินิพพานแล้วหรือ” ความโศกเศร้าที่ไม่อาจทนได้และศรัทธาอันแรงกล้าผุดขึ้นมาในใจเขาทันที และเขาอธิษฐานอย่างจริงใจว่า “ท่านอาจารย์ กระผมรู้สึกเสียใจมากที่ไปไม่ทันเวลา แต่กระผมจะไปเดี๋ยวนี้ !” ขณะที่เขาคิดเรื่องนี้ ก็มีหญิงสาวสองคนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพูดกับเขาว่า “เรชุงปะ ตอนนี้ท่านอาจารย์ที่เคารพไปดินแดนบริสุทธิ์แล้ว หากท่านไม่รีบไปให้ทัน ชาตินี้ท่านอาจไม่ได้พบท่านอาจารย์อีก โปรดรีบไปเถิด !”
เพียงแค่คิดถึงท่านอาจารย์ในใจ เรชุงปะก็ปรารถนาที่จะกลับไปอย่างมาก เขาเริ่มออกเดินทางทันที นกที่วัดส่งเสียงร้องบอกเวลารุ่งอรุณ
เรชุงปะอธิษฐานในใจและใช้พลังเหนือธรรมชาติของเขา ในช่วงครึ่งเช้า เขาเหาะไปได้ระยะทางที่ม้าหรือลาใช้เวลาเดินทาง 2 เดือน เมื่อเขามาถึงดริน ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว และแสงแดดจ้า ขณะนั่งลงเพื่อพัก เขามองขึ้นไปเห็นเมฆมงคลอยู่ทุกหนแห่ง โดยเฉพาะบนยอดเขาที่ท่านอาจารย์ที่เคารพปรินิพพาน มีเมฆหมอกขนาดกว้างใหญ่ไพศาลแผ่รัศมีเจิดจ้า ทวยเทพและฑากินีนับไม่ถ้วนกำลังถวายเครื่องบูชาขนาดใหญ่สำหรับสัมผัสทั้งห้า เทพบางส่วนกำลังสวดภาวนา บางส่วนปฏิญาณตน บางส่วนก้มกราบ และบางส่วนกำลังร้องเพลงสรรเสริญ เมื่อเห็นเช่นนี้ เรชุงปะรู้สึกทั้งเศร้าและดีใจปะปนกัน ด้วยความสงสัย เขาจึงถามเทพองค์หนึ่งว่า “เหตุใดท่านจึงถวายเครื่องบูชานี้และสักการะ”
เทพองค์นี้พูดว่า “ท่านหูหนวกหรือตาบอดหรือ ท่านไม่รู้หรือว่านี่คือการชุมนุมครั้งพิเศษของสวรรค์และโลก มิลา เซปะ ดอร์เจ กำลังจะไปยังดินแดนบริสุทธิ์แห่งฑากินี ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหมดกำลังสักการะด้วยเครื่องบูชา ท่านไม่รู้หรือ”
เรชุงปะได้ยินคำพูดนั้นก็เจ็บปวดอย่างยิ่งราวกับมีมีดแทงทะลุหัวใจของเขา เขาวิ่งไปทางถ้ำที่ท่านอาจารย์ปรินิพพาน เมื่อไปถึงที่ราบสูงรูปทรงสถูป เหมือนความฝัน เขาเห็นท่านอาจารย์ยิ้มให้เขาและพูดว่า “นั่นเรชุงปะ ลูกชายของข้าพเจ้ามาหรือ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เรชุงปะก็ยินดีอย่างยิ่งและคิดว่าท่านอาจารย์ที่เคารพยังมีชีวิตอยู่ เขาก้มกราบและทักทายท่านอาจารย์ของเขา เขาถามท่านอาจารย์มากมายและได้รับคำตอบทีละข้อ ในที่สุด ท่านอาจารย์ที่เคารพก็พูดกับเรชุงปะว่า “ลูกเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องจากไปก่อน แล้วตามข้าพเจ้ามาทีหลังนะ ข้าพเจ้าจะรอรับเจ้า อย่าลืมคำพูดของข้าพเจ้า” เมื่อกล่าวจบแล้ว ท่านอาจารย์ก็หายวับไปทันที
ด้วยความว้าวุ่นใจ เรชุงปะมาที่จูบาร์และมาถึงถ้ำ เขาเห็นเหล่าศิษย์และทานบดีสวดภายนาอยู่รอบร่างของท่านอาจารย์ที่เคารพด้วยความโศกเศร้า ศิษย์ใหม่หลายคนไม่เคยเห็นเรชุงปะมาก่อน พวกเขาไม่ให้เรชุงปะเข้าไปใกล้ เรชุงปะร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าอย่างยิ่ง และร้องเพลง
“ท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้าดุจดังบิดาที่เปี่ยมเมตตา
ด้วยความเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไข;
ท่านอาจารย์ได้ยินเสียงร้องไห้ของข้าหรือไม่
ด้วยความเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไข;
ท่านสงสารข้าสำหรับความเจ็บปวดของข้าหรือไม่
โอ้ บิดาและท่านอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาของข้า”
เมื่อเสียงเพลงของเรชุงปะดังเข้าไปในถ้ำ ใบหน้าของท่านอาจารย์ก็เปล่งปลั่งราวกับยังมีชีวิตอยู่ ร่างของท่านลุกไหม้เองในทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงจากเรชุงปะ เรปะ จือวา โอ, งันซง เรปะ และศิษย์เอกอื่น ๆ รวมทั้งทานบดีก็ออกมาต้อนรับเขา เนื่องจากศิษย์ใหม่ไม่รู้จักเรชุงปะและไม่ยอมให้เขาเข้าไป เรชุงปะจึงเสียใจมากและไม่ได้เข้าไปจนร้องเพลงถวาย 7 เพลง บทเพลงที่เปี่ยมด้วยความรักและความจริงใจของเรชุงปะทำให้ท่านอาจารย์ที่เคารพประทับใจ แม้ท่านได้เข้าสู่ปรินิพพานแห่งความสว่างไสวและธรรมธาตุแล้ว ท่านลุกขึ้นนั่งท่ามกลางแสงสว่างและพูดกับศิษย์ใหม่ว่า “ศิษย์ของข้าพเจ้าที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรม อย่าทำเช่นนี้ เรชุงปะเปรียบเหมือนสิงโต เขาสมควรได้รับความเคารพจากพวกเจ้า” แล้วท่านก็พูดกับเรชุงปะว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเศร้าโศกเลย เจ้าจงมาหาบิดาของเจ้าที่นี่เถิด”
เมื่อเห็นปาฏิหาริย์นี้ ทุกคนต่างประหลาดใจและชื่นชม พวกเขามีความสุขมาก
เรชุงปะเข้าไปที่ร่างของท่านอาจารย์ เขากอดท่านอาจารย์ และร้องไห้เสียงดัง เขาโศกเศร้ามากจนหมดสติล้มลงกับพื้น เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาเห็นเหล่าศิษย์และทานบดีล้อมรอบแท่นบูชา ร่างของท่านอาจารย์เหมือนกับวัชระที่บริสุทธิ์ ร่างของท่านอาจารย์ไม่ได้นอนราบ แต่นั่งอย่างมั่นคงในเปลวเพลิงรูปดอกบัวแปดกลีบ ร่างของท่านอาจารย์เหมือนเกสรดอกไม้นั่งอยู่กลางดอกบัวแปดกลีบที่ลุกโชน มือขวาของท่านอยู่ในท่าแสดงธรรมเหนือปลายเปลวเพลิง ส่วนมือซ้ายประคองแก้มให้อยู่ในท่าร้องเพลง ท่านอาจารย์ที่เคารพพูดต่อหน้าเรชุงปะแลศิษย์อื่นว่า “จงฟังบทเพลงสุดท้ายจากข้าพเจ้า ชายชราผู้นี้” แล้วท่านก็ขับร้องบทเพลงหกสิ่งสำคัญบนแท่นบูชา
“ลูกชายที่รักของข้า เรชุงปะ
โปรดฟังความประสงค์และบทเพลงสุดท้ายของข้า;
การเวียนว่ายตายเกิดในทะเลเพลิงของตรีภูมิ
ขันธ์ห้าและกายมายาคือกุญแจสำคัญ;
โลภหาเครื่องนุ่มห่มและวิ่งทำธุระ
สิ่งทางโลกไม่มีทางสิ้นสุด
ละทิ้งสิ่งที่แสดงให้เห็นทางโลก เรชุงปะ !
ในการแปรเปลี่ยนที่เป็นมายา
จิตที่ไร้กายคือกุญแจสำคัญ;
หากจิตใจถูกควบคุมโดยกาย
ธรรมธาตุและสัจธรรมจะไม่มีวันบรรลุได้
จงรักษาจิตใจที่ดีงาม เรชุงปะ !
จิตและวัตถุ การเลือกและการปฏิเสธเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ปัญญาที่เป็นแก่นแท้คือกุญแจสำคัญ;
มุ่งสนใจที่การเปลี่ยนแปลงของกรรมสัมพันธ์
ไม่มีทางเข้าใจความหมายของการไม่เกิด
จงสังเกตชีวิตนิรันดร์ให้ดี เรชุงปะ !
ชีวิตนี้และชีวิตนั้น การเลือกและการปฏิเสธ
จิตและสัมผัสที่บาร์โดคือกุญแจสำคัญ;
มักคิดถึงร่างกายหรือไม่
ไม่มีทางเข้าใจความหมายของสัจธรรม
สังเกตสัจธรรมให้ดี เรชุงปะ !
หกภูมิในความวุ่นวายเหมือนเมืองที่ไร้แสงสว่าง
บาปและกรรมรวมกันเหมือนภูเขา;
เมื่อความทุกข์ยากยังคงอยู่เช่นความโลภและความโกรธ
ไม่มีทางรับรู้ถึงความเท่าเทียมกันของผู้คน
จงละทิ้งความโลภและความโกรธ เรชุงปะ !
พระพุทธเจ้าหลายพันองค์ในดินแดนบริสุทธิ์
มีวาทศิลป์และเก่งในการแสดงธรรม;
ถ้าตอบด้วยถ้อยคำไพเราะเมื่อพูดถึงหลักการที่คล้ายกัน
ไม่มีทางเข้าใจความหมายสูงสุด
จงละทิ้งคำสอนชั่วคราว เรชุงปะ !
อาจารย์ ทวยเทพ และฑากินี
รวมเป็นหนึ่งเพื่อสวดภาวนา;
ความเข้าใจที่เที่ยงตรง การกระทำดี และการปฏิบัติที่ถูกต้อง
จงทำสมาธิโดยสามสิ่งนี้ไม่ต่างกัน
ชีวิตนี้ ชีวิตหน้า และบาร์โด
ฝึกเป็นหนึ่งเดียว และจดจำธรรมให้ดี
นี่เป็นถ้อยคำสุดท้ายจากข้าถึงเจ้า
คือความปรารถนาสุดท้ายของข้า
ไม่มีคำพูดใดที่จะถ่ายทอดอีก
จงปฎิบัติตามเถิด ลูกเอ๋ย
หลังจากท่านอาจารย์ที่เคารพกกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น ท่านก็เข้าสู่ความสว่างและธรรมธาตุอีกครั้ง ทันทีที่ท่านอาจารย์ที่เคารพเข้าสู่ปรินิพพาน แท่นบูชาก็เปล่งแสงและกลายเป็นพระราชวังรูปทรงสี่เหลี่ยม มีเครื่องบูชาที่งดงามหลากหลายทุกประเภท รวมทั้งฉัตรที่สว่างสดใส เมฆหลากสีสัน และธงประดับ ในความสว่างไสวนั้นปรากฏเทพธิดานับไม่ถ้วนที่กำลังขับร้องเพลงและเต้นรำไปตามเสียงดนตรีอันไพเราะ เหนือแท่นบูชา เทพบุตรและเทพธิดาในพื้นที่ว่างต่างถือขวดที่มีน้ำทิพย์อยู่เต็มเป็นเครื่องบูชา ในบรรดาลูกศิษย์และทานบดี บางคนเห็นท่านอาจารย์เป็นเหวัชระอยู่บนแท่นบูชา บางคนเห็นท่านเป็นจักรสัมวราหรือคุหยะสมาชะ และบางคนเห็นท่านเป็นวัชราโยกินี ทุกคนต่างเห็นพระพุทธในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกรรมสัมพันธ์และรากฐานที่ต่างกัน
จากนั้น ฑากินีนับไม่ถ้วนที่อยู่ในพื้นที่ว่างก็ร่วมกันขับร้อง
“เมื่อท่านอาจารย์เข้าสู่ปรินิพพาน
มนุษย์และทวยเทพต่างโศกเศร้า;
บ้างร้องไห้อย่างหนักน้ำตาไหลไม่ขาดสาย
บ้างวิงเวียน ท้อแท้ หมดสติ
ความร้อนภายในก่อไฟขึ้นเอง
เปลวไฟเหมือนดอกบัวแปดกลีบ;
สมบัติทั้งเจ็ด มงคลแปด
เครื่องบูชานับพันปรากฏตามประสงค์
พิณ พิณโบราณ เครื่องดนตรีทั้งหมดพร้อมมูล
บรรเลงทำนองเพลงมหัศจรรย์สุดประมาณ;
เหล่าเทพธิดาออกมาจากเปลวไฟ
นำเครื่องบูชาทั้งภายในและภายนอกมาถวายมากมาย
รายล้อมด้วยกลิ่นหอมและบรรยากาศอันรื่นรมย์
ฉัตรและธงทิววิจิตรงดงาม;
เครื่องบูชามาจากเทพธิดาผู้เป็นมงคล
พระธาตุหายไปพร้อมกับร่างบริสุทธิ์
กายเนื้อถูกเผาจนไร้ขันธ์
สารีริกธาตุของท่านอาจารย์นั้นหายากและล้ำค่ายิ่ง;
ร่างแท้นั้นสูงเทียมพื้นที่ว่าง
ด้วยมหาเมตตา สัมโภคกายเป็นดั่งเมฆธรรม
ความสําเร็จของนิรมาณกายดั่งฝนดอกไม้
ทําให้สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนสู่ความสุกงอม;
ธรรมธาตุคือความว่างเปล่าและไร้การเกิด
ที่ซึ่งไม่มีการเกิดเลย
ความว่างเปล่าแตกต่างจากการเกิดและการตาย
การเกิดและการตายคือความว่างเปล่า
นี่คือความหมายอันลึกซึ้งของความว่างเปล่าและการดำรงอยู่
เจ้าอย่าได้สับสนในเรื่องนี้
หลังจากฑากินีร้องเพลงจบก็ใกล้ค่ำแล้ว ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง และไฟบนแท่นบูชาก็ดับลงแล้ว เหล่าศิษย์ประหลาดใจกับความสว่างภายในและภายนอกแท่นบูชา พวกเขาจึงมองเข้าไปข้างในและเห็นสถูปสว่างอยู่ตรงกลางแท่นบูชา ภายในสถูป บางคนเห็นจักรสมวรา บางคนเห็นวัชราโยกินีหรือเหวัชระ บางคนเห็นระฆังวัชระ สาก ขวด มุทรา และลักษณะต่าง ๆ ของร่างกาย วาจา และใจ ยังมีบางคนที่เห็นแสงสีทอง น้ำทะเล ไฟ หรือไม่เห็นอะไรเลย
เหล่าศิษย์เปิดประตูแท่นบูชาเพื่อระบายลมร้อน โดยวางแผนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้นเพื่อเก็บพระธาตุ ในเวลานั้นมีนิมิตอัศจรรย์สุดจินตนาการมากมาย คืนนั้นทุกคนนอนหันหน้าไปทางประตูแท่นบูชา ทันทีที่เรชุงปะตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาเห็นฑากินี 5 องค์มาที่แท่นบูชาเพื่อถวายสร้อยคอ เครื่องประดับกระดูก เครื่องประดับอัญมณีเป็นเครื่องบูชา และเครื่องบูชาที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งห้า หลังจากนั้นไม่นาน เขาเห็นฑากินีหลัก 5 องค์ ถือบางสิ่งที่ส่องสว่างจากแท่นบูชาแล้วเหาะจากไป เรชุงปะประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เขาตระหนักในทันทีว่าฑากินีได้เอาพระธาตุของท่านอาจารย์ไปแล้ว เขารีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนกและเห็นฑากินีลอยอยู่ในอากาศพร้อมพระธาตุแล้ว เรชุงปะจึงกลับไปปลุกศิษย์ทุกคนให้ตื่น เมื่อเปิดประตูแท่นบูชาและมองเข้าไปข้างใน พวกเขาไม่เห็นพระธาตุเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ด้วยความโศกเศร้าอย่างยิ่ง เรชุงปะจึงขอร้องให้ฑากินีแบ่งพระธาตุบางส่วนให้เหล่าศิษย์บนโลกมนุษย์ด้วย
ฑากินีตอบว่า “พวกท่านผู้เป็นศิษย์เอกได้รับพระธาตุที่ดีที่สุดและได้เห็นร่างแท้แล้ว ถ้ายังไม่พอ โปรดอธิษฐานขอท่านอาจารย์ที่เคารพเถิด ท่านอาจารย์จะให้พวกท่านแน่ สำหรับคนอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับท่านอาจารย์ที่เคารพผู้สว่างไสวดุจดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แล้ว พระธาตุอื่น ๆ ก็ไม่สว่างเท่าหิ่งห้อยด้วยซ้ำ พวกเขาต้องการพระธาตุไปเพื่ออะไร พระธาตุเหล่านี้เป็นของพวกเรา” จากนั้นพวกเขาก็หยุดนิ่งอยู่ในอากาศ เมื่อได้ยินและไตร่ตรองถ้อยคำของฑากินีแล้ว เหล่าศิษย์ก็รู้ว่าถ้อยคำนั้นถูกต้องและสำนึกผิดอย่างยิ่ง
จากนั้นพวกเขาเห็นรัศมีห้าสีแผ่ออกมาจากมือของฑากินีและพระธาตุของท่านอาจารย์ซึ่งมีขนาดเท่าไข่นกตกลงบนแท่นบูชา เหล่าศิษย์เห็นพระธาตุลงมา ทุกคนเอื้อมมือไปคว้าไว้ ทันใดนั้นพระธาตุก็ลอยขึ้นไปในอากาศและกลับไปรวมเข้ากับแสงที่แผ่ออกมาจากมือของฑากินี ทันใดนั้นแสงก็แยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งกลายเป็นบัลลังก์สิงโตพร้อมเบาะรองนั่งรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และอีกส่วนหนึ่งกลายเป็นสถูปที่เคลือบด้วยเซรามิก สถูปเปล่งแสงห้าสี คือ แดง ขาว น้ำเงิน เหลือง และเขียว แสงส่องสว่างไปทั่วโลกสามพันใบ ท่านมิลาเรปะที่เคารพนั่งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยพระพุทธเจ้าหนึ่งพันสององค์ ฑากินีหลายล้านมารวมกันเพื่อถวายเครื่องบูชา เทพธิดาสององค์ถือสถูปจากด้านล่าง
หลังจากบทเพลงจบ ฑากินีก็ถือสถูปและเตรียมพร้อมที่จะอัญเชิญท่านอาจารย์ที่เคารพไปยังดินแดนบริสุทธิ์แห่งฑากินี ในเวลานั้น เรปะ จือวา โอ คิดว่า “ในนามของสรรพชีวิตบนโลกนี้ เราควรอ้อนวอนฑากินีให้มอบสถูปนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชาให้กับเหล่าศิษย์บนโลกมนุษย์นี้” จากนั้นเขาก็อธิษฐานด้วยความเศร้าโศกและจริงจัง
ขณะที่เหล่าฑากินีถือสถูปและเหาะอยู่เหนือศิษย์เอก ทันใดนั้นก็มีรัศมีจำนวนมากเปล่งออกมาจากสถูป ศิษย์แต่ละคนมีรัศมีหนึ่งเส้นพุ่งออกจากศีรษะ ทุกคนเห็นท่านอาจารย์ที่เคารพเหาะจากกลางสถูปขึ้นไปในอากาศ แปลงเป็นเหวัชระ จักรสัมวรา คุหยะสมาชะ และพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วน ล้อมรอบด้วยฑากินี ในที่สุดพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหมดก็กลายเป็นแสงสว่างและรวมเข้าไปในหัวใจของท่านอาจารย์ที่เคารพ ท่านอาจารย์ที่เคารพได้รับการต้อนรับสู่ดินแดนบริสุทธิ์ทางตะวันออกแห่งอภิรติพร้อมกับเสียงดนตรีจากสวรรค์
ศิษย์บางคนเห็นสัมโภคกายของท่านอาจารย์ที่เคารพประทับอยู่บนบัลลังก์สิงโตพร้อมเครื่องประดับ ฑากินีสี่องค์อารักขาท่าน นำโดยคุหยะสมาชะ พวกเขาเหาะไปยังดินแดนบริสุทธิ์ทางตะวันออกแห่งอภิรติพร้อมด้วยดนตรีจากสวรรค์ที่สุดจินตนาการและเมฆที่เป็นเครื่องบูชา
เมื่อเห็นท่านอาจารย์ที่เคารพลับตาไป และไม่สามารถนำพระธาตุมาเป็นเครื่องบูชาได้ เหล่าศิษย์เอกทุกคนก็ร้องไห้เสียงดังและสวดภาวนาด้วยความโศกเศร้า ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงของท่านอาจารย์ที่เคารพบนท้องฟ้าว่า “ศิษย์ทั้งหลาย อย่าเศร้าไปเลย พวกเจ้าจะพบอักษรสี่ตัวอยู่ใต้หินที่หน้าผา หลังจากนั้นเจ้าจะพบเครื่องบูชา” พวกเขามองหาทุกที่บริเวณใกล้หน้าผาและเห็นคำจารึกบนหิน ซึ่งยังคงพบเห็นได้ที่วัดในจูบาร์จนทุกวันนี้
เหล่าศิษย์เห็นว่าท่านอาจารย์ที่เคารพไปสู่โลกอื่นแล้ว พวกเขาเศร้าโศกยิ่งนัก พวกเขารู้ด้วยว่าพวกเขาจะสามารถไปเกิดใหม่ในดินแดนบริสุทธิ์ของท่านอาจารย์ที่เคารพได้ นอกจากนี้พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าการแสดงออกของท่านอาจารย์ที่เคารพทั้งหมดนั้นก็เพื่อพุทธธรรมและสรรพชีวิต ด้วยความตั้งใจแน่วแน่และอุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น พวกเขาจึงไปอ่านพินัยกรรมของท่านอาจารย์และมองหาทองคำที่อยู่ใต้เตาไฟ
แม้ว่าพวกเขาจะทราบว่าท่านอาจารย์ที่เคารพไม่มีทองคำ แต่ทุกคนก็ทำตามความประสงค์ของท่านและตรวจสอบใต้เตาไฟ ตามที่พวกเขาคาดไว้ มีผ้าฝ้ายผืนหนึ่งอยู่ใต้เตา ภายในผ้าผืนนี้มีมีดขนาดเล็กที่มีใบมีดคมกริบและมีหนามแหลมติดอยู่ที่ด้ามจับ นอกจากนี้ ยังมีขนมหวานชิ้นเล็ก ๆ และหินลับมีดอันหนึ่งห่ออยู่ในผ้า พวกเขาตรวจดูมีดอย่างละเอียดและพบข้อความหลายบรรทัดว่า “จงใช้มีดนี้ตัดขนมหวานกับผ้า มันจะไม่มีวันหมด ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าจะสามารถแบ่งขนมหวานและผ้าให้ทุกคนได้ ทุกคนที่กินขนมหวานหรือรับผ้าไปจะไม่ตกสู่สามอบายภูมิ อาหารและเครื่องนุ่งห่มจากสมาธิของท่านมิลาเรปะได้รับการสนับสนุนจากท่านอาจารย์และพระพุทธเจ้า ทุกคนที่ได้ยินชื่อของข้าพเจ้าและมีศรัทธาจะไม่ตกสู่สามอบายภูมิภายในเจ็ดชั่วอายุคน และพวกเขาจะสามารถระลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ในอดีตได้เจ็ดชั่วอายุคน นี่เป็นคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ถ้าผู้ใดกล่าวว่า ท่านมิลาเรปะมีทองคำ ผู้นั้นควรกินอุจจาระ” ขณะที่เหล่าศิษย์โศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง พวกเขาได้อ่านประโยคสุดท้ายของพินัยกรรมแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทุกคนมีความสุข
จากนั้นพวกเขาก็ใช้มีดตัดขนม ไม่ว่าพวกเขาจะตัดกี่ครั้ง ก็ยังมีขนมเหลืออยู่เสมอ เช่นเดียวกับผ้า ไม่ว่าจะตัดกี่ครั้ง ผ้าผืนนี้ก็ยังคงมีขนาดเท่าเดิม หลังจากตัดหลายครั้ง ทุกคนก็ได้รับผ้าและขนมส่วนหนึ่ง หลังจากกินขนมหวานแล้ว คนที่ป่วยก็หายดี คนที่มีรากฐานต่ำและมีความทุกข์ยากก็ค่อย ๆ มีสติปัญญาและความเมตตาเพิ่มขึ้น
ในระหว่างพิธีศพ ดอกไม้ห้าสีโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ดอกไม้ส่วนใหญ่หายไปเมื่อลงมาถึงเหนือศีรษะของผู้คน และบางส่วนก็ตกลงกับพื้น เมื่อผู้คนหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่ากลีบดอกไม้บางและละเอียดอ่อนเหมือนปีกของผึ้งและสวยงามมาก
ดอกไม้สวรรค์โปรยปรายลงมาปกคลุมพื้นดินใกล้จูบาร์สูงเท่ากับเท้าหรือเข่า ในภูมิภาคอื่น ดอกไม้โปรยปรายลงมาเหมือนหิมะ เมื่อพิธีสิ้นสุดลง นิมิตมหัศจรรย์เหล่านี้ก็ค่อย ๆ หายไป
หลังจากนั้นหลายปี ในวันรำลึกถึงท่านอาจารย์ที่เคารพ สายรุ้งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ดอกไม้โปรยปรายลงมาจากสวรรค์ ดนตรีสวรรค์บรรเลง กลิ่นหอมชวนรื่นรมย์อบอวลในอากาศ พร้อมกับปาฏิหาริย์อีกมากมายหลายชนิด นอกจากนี้ ดอกไม้มหัศจรรย์นานาชนิดก็เบ่งบานทั่วแผ่นดิน พืชผลอุดมสมบูรณ์ติดต่อกันหลายปี และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บหรือสงคราม ปาฏิหาริย์ทุกประเภทเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากเกินกว่าจะเอ่ยถึง
(จบ)
ลิขสิทธิ์ © 1999-2025 Minghui.org สงวนลิขสิทธิ์
หมวดหมู่: วัฒนธรรมดั้งเดิม